(0)
เหรียญรุ่นแรก ครูบาขันแก้ว วัดสันพระเจ้าแดง จ.ลำพูน ปี พ.ศ. 2520






รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องเหรียญรุ่นแรก ครูบาขันแก้ว วัดสันพระเจ้าแดง จ.ลำพูน ปี พ.ศ. 2520
รายละเอียดประวัติ ครูบาขันแก้ว วัดสันพระเจ้าแดง ลำพูน
หลวงปู่ครูบาขันแก้ว อุตตโม หรือ “ท่านพระครูอุดมขันติธรรม” “อดีตเจ้าอาวาสวัดป่ายาง(สันพระเจ้าแดง)” ตำบลห้วยยาบ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน เกิดเมื่อวันอังคารที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๔๒ ตรงกับวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (เดือนยี่เหนือ) ปีกุล ณ ตำบลห้วยยาบ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน

หลวงปู่มีชื่อเดิมว่า “ขันแก้ว” นามสกุล “อิกำเหนิด” โยมบิดาชื่อ “นายอินตา อิกำเหนิด” โยมมารดาชื่อ “นางสม อิกำเหนิด” หลวงปู่มีรูปร่างสันทัด ผิวสีเนื้อดำแดง เป็นบุตรชายคนโตของน้องสาว ๓ คนและน้องชาย ๑ คน..

โยมปู่ของหลวงปู่ชื่อว่า “ปินตา อิกำเหนิด” โยมย่าชื่อ “ปรก” ได้อพยพครอบครัวมาจากตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน มาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินคือทำนาที่ตำบลห้วยไซ แล้วจึงได้ย้ายลงมาอยู่ที่ตำบลห้วยยาบ

ในครั้งนั้นโยมปู่ของท่านได้อพยพมาพร้อมกับพี่น้องรวม ๖ ครอบครัวและได้มาตั้งรกรากใกล้กับ “วัดสันพระเจ้าแดง” ซึ่งเป็นวัดร้างโดยโยมปู่ของท่านได้เป็นหัวหน้าบูรณะซ่อมแซมก่อสร้างจนกลายเป็นวัดขึ้นมา

หลวงปู่ครูบาขันแก้ว อุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๔๖๓ ณ พันธสีมา “วัดต้นปืน” อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน โดยมี “พระอธิการแก้ว (หลวงปู่ครูบาอินทจักโก)” วัดป่าลาน เป็นพระอุปัชฌาย์ “พระบุญเป็ง ปัญญาวโร” วัดบ้านธิหลวง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ “พระพุฒ ปันทวงศ์” วัดห้วยไซ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลวงปู่ได้รับฉายาว่า “อุตตโม” ครับ

เล่ากันว่าหลวงปู่ท่านเป็นพระที่มีอุปนิสัยไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย ถ้าท่านทำงานหนักไม่ได้ ท่านก็จะทำงานเบาๆ เช่นเขียนยันต์ ทำตะกรุด แม้แต่งานกวาดลานวัดท่านก็จะทำเองในทุกเวลาเช้า

จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีนักแสวงบุญที่ชื่อ “คุณหมอสมสุข คงอุไร” แห่ง “คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก” เป็นผู้ที่เดินทางมาเปิดขุมทรัพย์แห่งธรรมอันนั้น จาก”บันทึกเรื่องการพบหลวงปู่ขันแก้ว อุตตโม ของคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก” ได้เขียนไว้อย่างละเอียดแต่ด้วยความจำเป็นในเรื่องความยาวขออนุญาตสรุปใจความดังนี้ครับ

“ในระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก โดยการนำของ ‘คุณพ่อหมอสมสุข คงอุไร’ ได้เดินทางขึ้นไปเยี่ยมอาการอาพาธของ ‘หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก’ วัดวังมุย จังหวัดลำพูน ซึ่งขณะนั้นท่านครูบาชุ่ม พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสวนดอกนครเชียงใหม่

ในวันนั้นได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งครองจีวรสีกลัก เดินทางเข้ามาเยี่ยมและตรงเข้าไปกอดเอวและพูดคุยด้วยภาษาคำเมืองกับครูบาชุ่มอย่างสนิทสนม

ขณะที่คุณพ่อหมอสมสุข ท่านได้นึกตำหนิพระรูปนั้นอยู่ในใจ หากแต่การตำหนินั้นไม่สามารถปกปิด อภิญญาจิต เจโตปริยญาณ ของหลวงปู่ครูบาชุ่มได้

หลวงปู่ครูบาชุ่ม ได้เรียกคุณพ่อหมอสมสุขให้เข้าไปหาและแนะนำว่าพระภิกษุที่ครองจีวรสีกลักนั้นชื่อว่า ‘ครูบาขันแก้ว’ เป็นเพื่อนรักร่วมรุ่นเดียวกับท่าน...”

สมัยนั้น “หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก” เจ้าอาวาสวัดวังมุย เป็นพระที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของแผ่นดินล้านนา ความเชี่ยวชาญในเชิงเวทย์และคุณธรรมของท่านเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไป

ในช่วงเวลาที่ครูบาศรีวิชัย ยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่ครูบาชุ่มคือหนึ่งในผู้ร่วมสร้างทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ท่านได้รับความเมตตาจากครูบาศรีวิชัยเป็นอันมาก โดยครูบาศรีวิชัยได้มอบ “พัดหางนกยูงพร้อมกับไม้เท้า” ให้กับท่าน พร้อมกับสั่งว่า “เอาไว้เดินทาง เทศนาเผยแพร่ธรรมแทนท่านด้วย...”

ภายหลังเมื่อหลวงปู่ครูบาชุ่มได้มรณภาพลง คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโกได้ดำเนินการสร้างรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของท่าน คณะกรรมการวัดวังมุยได้นิมนต์พระอาจารย์ต่างๆมาจากจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน แต่ในจำนวนรายชื่อทั้งหมดกลับไม่มีชื่อของหลวงปู่ครูบาขันแก้ว โดยคณะกรรมการวัดวังมุยให้เหตุผลว่า

“ไม่เคยทราบหรือเคยเห็น หลวงปู่ครูบาขันแก้วเคยได้ร่วมในพิธีปลุกเสกพระในที่ใดมาก่อน อีกทั้งยังไม่เคยได้ข่าวว่าท่านเคยสร้างวัตถุมงคลอะไรเลย”

เรื่องราวที่เริ่มจะบานปลายเนื่องจากคุณหมอสมสุข ท่านไม่ยอมเพราะเห็นว่าหลวงปู่ครูบาขันแก้วท่านเป็นเพื่อนรักกับหลวงปู่ครูบาชุ่ม อีกทั้งในระหว่างการจัดงานศพ หลวงปู่ครูบาขันแก้วท่านก็ได้มาช่วยงานทุกคืน ในที่สุดคณะกรรมการวัดวังมุยจึงต้องไปนิมนต์หลวงปู่ครูบาขันแก้วมาร่วมในงานปลุกเสกและเบิกเนตรรูปหล่อของหลวงปู่ครูบาชุ่มในครั้งนี้ด้วย

เล่ากันว่าในขณะที่เริ่มประกอบพิธีปลุกเสก พระเกจิอาจารย์ที่ได้รับนิมนต์มา ๓ รูปได้นั่งหลับตาและแผ่อำนาจจิตปลุกเสกแต่หลวงปู่ครูบาขันแก้วกลับนั่งลืมตาและเคี้ยวเมี่ยง

เล่นเอาชาวบ้านแถววัดวังมุยเริ่มจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันว่าใครหนอไปนิมนต์พระที่ปลุกเสกไม่เป็น “บ่อมิไก๊” มาร่วมในงานพิธีปลุกเสกครั้งนี้และเมื่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มดังขึ้น
ท่านพระครูนวลที่มาเป็นพระควบคุมพิธีในครั้งนี้ได้เข้ามาบอกกับคุณหมอสมสุขว่า

“โยมหมอใครไปนิมนต์ตุ๊ลุงองค์นี้มา ดูสินั่งลืมตา ยันเมี่ยงอยู่จับๆ ไม่เห็นปลุกเสกอะไรเลย...”

คุณหมอสมสุข จึงตอบไปว่าท่านเป็นคนที่นิมนต์หลวงปู่ครูบาขันแก้วมาเอง แต่ขอให้ดูกันต่อไปอีกสักพัก....จากเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ทุกวันนี้เราได้รู้จักพระที่ทรงกิตติคุณเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งองค์ครับ เหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกบันทึกไว้ดังนี้ครับ....

“หลวงปู่ครูบาขันแก้วเริ่มเปลี่ยนอิริยาบถ เอาผ้าห่มขนหนูคลุมที่ไหล่ทั้งสองข้าง(ต่อมาภายหลังทราบว่าท่านกำลังป่วยเป็นไข้) หลังจากพิธีผ่านไปแล้วประมาณ ๑๐-๑๕ นาที หลวงปู่ครูบาขันแก้วได้นั่งห้อยเท้าลงมา

ตาของท่านเริ่มเป็นประกายกล้าแรงขึ้น ขณะนั้นช่างภาพประจำคณะของเราได้เข้าไปใกล้ที่ท่านนั่งปรกอยู่ แล้วก็ถ่ายรูปในอิริยาบถนั้น....

ทันทีที่แสงไฟแฟลชสว่างจ้าขึ้นเป็นประกาย นัยน์ตาของหลวงปู่ครูบาขันแก้วก็มิได้กระพริบเลย...

ช่างภาพอีกคนก็เข้าไปถ่ายบ้าง แสงไฟแฟลชสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง แต่นัยน์ตาของหลวงปู่ก็ลืมอยู่อย่างปกติ

‘ลืมตาอยู่อย่างไร ก็ลืมตาเปิดตากว้างอยู่อย่างนั้น..’

คุณพ่อและพวกเราที่นั่งดูอยู่อย่างใกล้ ทุกคนจ้องดูอย่างตั้งใจก็เห็นกันทุกคนว่า

‘นัยน์ตาของหลวงปู่ไม่กระพริบเลย’

คราวนี้ก็ให้ช่างภาพทั้ง ๒ คนของพวกเราเข้าไปขนาบทั้งซ้ายและขวา ก่อนจะยิงแฟลชถ่ายรูป ให้อธิษฐานในใจขอขมาก่อน พวกเราก็นั่งคอยดูกันจนแสงไฟแฟลชได้สว่างขึ้นทั้งซ้ายและขวาพร้อมกัน แต่นัยน์ตาของหลวงปู่ขันแก้วก็ไม่กระพริบอีกตามเคย

ช่างภาพหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ๒ ฉบับซึ่งได้ไปทำข่าวก็เข้าไปถ่ายอีก คราวนี้แฟล็ชแรงกว่าของพวกเรา เพราะเมื่อเห็นว่าพวกเราถ่ายรูปหลวงปู่องค์นี้มากก็เข้าไปถ่ายบ้าง ผลปรากฏออกมา .....‘ตาของหลวงปู่ขันแก้วก็มิได้กะพริบเลย เป็นเวลานานหลายๆนาที’ คนธรรมดาสามัญย่อมทำไม่ได้อย่างแน่นอน...”

ในหมู่นักนิยมพระเครื่องบางท่านอาจจะกล่าวว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติทั่วไป ข้อนี้ผมไม่สามารถโต้แย้งได้...

แต่กับเรื่องที่คนธรรมดาสามารถลืมตาโดยไม่กระพริบต่อเนื่องยาวนานเป็นสิบๆนาที อันนี้สิครับเป็นเรื่องที่ต้องคิดและสิ่งที่เราต้องมาตีลังกาคิดอีกสามตลบคือการที่ดวงตาต้องกระทบกับแสงแฟลชครับ

เพราะโดยสัญชาติญาณแล้วคนเราโดยทั่วไปไม่สามารถทำได้หรอกครับ ดังนั้นการที่หลวงปู่ครูบาขันแก้วสามารถทำได้นั่นย่อมหมายความว่า ณ ขณะนั้นจิตของท่านเข้าสู่สมาธิจริงๆ

“ว่ากันว่าการจะทำสิ่งใดด้วยความพยายามที่เกินกว่ากำลังความสามารถ มักจะให้ผลเสียหายมากกว่าผลดี

หากแต่บางครั้งเส้นแบ่งของการทำเกินกำลังความสามารถที่เกิดจากการกระทำด้วยความชำนาญในศาสตร์ของตนเอง

มันก็เป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าจะหามาตรฐานใดมาเป็นตัวกำหนด....”

พระอาจารย์ชนินทร์ ท่านบอกกับพวกเราว่าในชีวิตของท่านได้ศึกษาวิชาอาคมต่างๆมาพอสมควร แต่สุดท้ายแล้วท่านก็จบลงตรงที่หลวงปู่ครูบาขันแก้ว

ท่านว่า...”หลวงปู่ครูบาขันแก้ว ถือว่าเป็นที่สุดแล้ว”

ความเป็นที่สุดของหลวงปู่ครูบาขันแก้วนี้ หมายรวมไปถึงหลักการปฏิบัติและแนวทางการเจริญสมาธิ เพื่อหวังผลให้ถึงเป้าหมายของชีวิตคือ “การหลุดพ้น”

“ถ้าคนเรานั่งสมาธิเพื่อต้องการความสงบ ความสุข ของจิตใจ เราสามารถเจริญสมาธิในแบบใดก็ได้ แต่ถ้าหากหวังถึงมรรค ผล นิพพาน นั่นคือเราจะต้องเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง...”
ราคาเปิดประมูล100 บาท
ราคาปัจจุบัน2,400 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ100 บาท
วันเปิดประมูล - 02 ก.พ. 2559 - 23:59:47 น.
วันปิดประมูล - 06 ก.พ. 2559 - 16:32:35 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลtixkyplus (530)(2)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     2,400 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     100 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    pigky (287)

 

Copyright ©G-PRA.COM
www1