(0)
รูปหล่อลอยองค์-พิมพ์ ล.พ.พระใส ((เนื้อนวะ-องค์นี้แก่สัมริดเหลือง)) ล.พ.พระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย รุ่นเสาร์ห้า ปี 2536 ประสบการณ์สูง-รองจากรุ่น 2520 เครื่องบินตก ((พร้อมเลี่ยมพลาสติกใส))








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องรูปหล่อลอยองค์-พิมพ์ ล.พ.พระใส ((เนื้อนวะ-องค์นี้แก่สัมริดเหลือง)) ล.พ.พระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย รุ่นเสาร์ห้า ปี 2536 ประสบการณ์สูง-รองจากรุ่น 2520 เครื่องบินตก ((พร้อมเลี่ยมพลาสติกใส))
รายละเอียด---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

....................((เคาะแรก....แดงเลยครับ))......................
....................((เคาะแรก....แดงเลยครับ))......................
....................((เคาะแรก....แดงเลยครับ))......................

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.........รุ่นนี้.....ทางวัดจัดสร้างเป็น 2 พิมพ์....คือ

...........1)พิมพ์ใหญ่-ไม่มีฐาน..... และ
...........2)พิมพ์กลาง-ไม่มีฐาน....คือพิมพ์ที่กำลังนำเสนอท่านสมาชิกอยู่ขณะนี้ครับ......ขนาดองค์จะเล็กกว่าพิมพ์ใหญ่นิดหนึ่ง-ไม่มากครับ..........

.................((วัดจะไม่สร้างพิมพ์เล็ก-วัดเขาเรียกว่าพิมพ์กลางโดยไม่เรียกว่าพิมพ์เล็กนะครับ-อาจเป็นเพราะขนาดแตกต่างกันไม่มากก็เป็นไปได้))..................

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

..............รายละเอียด...............................

.........1)พิมพ์ใหญ่-ไม่มีฐาน......จัดสร้างด้วยเนื้อทองระฆังเพียงเนื้อเดียว.....(ไม่มีกล่องบรรจุ)....ตอกโค๊ตเส้นรอบวงกลม 1 วงใต้ฐาน........ใหญ่ราวๆเม็ดข้าวโพด........

........2) พิมพ์กลาง-ไม่มีฐาน....คือพิมพ์นี้....ไม่มีโค๊ตตอกที่ใดแต่อย่างใดนะครับ....จัดสร้างขึ้นเป็น 4 เนื้อ.....คือ.....

...............2.1 เนื้อทองคำ.......มีกล่องบรรจุพระ
...............2.2 เนื้อเงิน............มีกล่องบรรจุพระ
...............2.3 เนื้อนวะ...........ไม่มีกล่องบรรจุพระ......คือองค์ที่กำลังนำเสนออยู่ขณะนี้......................
...............2.4 เนื้อสำริด-เหลือง.ไม่มีกล่องบรรจุพระ...............

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

...........เป็นพระใหม่แรกจอง....เก็บไว้เก่าเดิมๆ....ไม่ผ่านการใช้....สวยตามรูปครับ....อัดพลาสติกใสป้องกันผิว+องค์พระเสียหาย+พร้อมขึ้นคอ.....

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

...............รับประกันความแท้ให้ท่านแบบไม่จำกัดเวลาเลยครับ........

...............หากท่านดูแล้วชอบ-ก็เชิญท่านว่ากันต่อเลยนะครับ.........

.................((มีนำเสนอท่านเพียงองค์เดียวเท่านั้นครับ))............

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

..........แผ่นโค๊ตตะกั่วติดที่แผ่นหลังองค์พระแกะออกได้....ไม่ทำให้ผิวองค์พระเสียหายแต่อย่าใด....ติดไว้เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า....พระใสองค์นี้....ได้อัญเชิญญาณ ล.พ.พระใส+ญาณ ล.พ.องค์ตื้อ+ญาณอมิตพุทธเจ้า+ญาณที่ 10 (ภาค/ปางสุดท้าย) ขององค์เทพอาจารย์ปู่พระอรหันต์เจ้าสารีบุตรเถระ (นาม ปู่พรพระพรหม)....และอัญเชิญ ญาณที่ 10 (ภาค/ปางสุดท้าย) ขององค์เทพอาจารย์ปู่พระอรหันต์เจ้าโมคคัลลานะเถระ (นาม ปู่พันธุรัตน์)....ลงประทับร่างอาจารย์ฆราวาส สายทอง อยู่สุขเสกหนุน+และเสกเพิ่มพลังพุทธคุณที่ยังไม่มีประจุลงไปให้อีก....ณ สำนักปฏิบัติธรรมพรพระเทพ อ.บ้านนา จ.นครนายก.....เสกซ้ำๆให้หลายๆครั้งแล้ว.....

………………..รับรองว่าพุทธคุณไม่ธรรมดาแน่นอนครับ.....ทั้งๆที่พุทธคุณเดิมๆที่มีอยู่ก็ว่าแน่แล้ว.........................

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ราคาเปิดประมูล3,908 บาท
ราคาปัจจุบัน3,958 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ50 บาท
วันเปิดประมูล - 30 พ.ค. 2562 - 21:24:51 น.
วันปิดประมูล - 01 มิ.ย. 2562 - 00:25:03 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลราษีเมถุน (3.7K)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 30 พ.ค. 2562 - 21:26:15 น.



----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

............ผมใคร่ให้ท่านสมาชิกที่อยากทราบว่า...มีญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่องค์ใดบ้างที่ท่านลงประทับเสกวัตถุมงคลของผมที่ขนไปแต่ละครั้งให้ท่านเสก......ก็จะมีอัญเชิญญาณของท่านวนเวียนอยู่เพียงเท่านี้ในช่วงนั้นครับ.......

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

….......1)....ญาณที่ 10 (ภาค/ปาง สุดท้าย) ขององค์เทพอาจารย์ปู่พระอรหันต์เจ้าสารีบุตรเถระ (นามปู่พรพระพรหม)
….......2)....ญาณที่ 10 (ภาค/ปาง สุดท้าย) ขององค์เทพอาจารย์ปู่พระอรหันต์เจ้าโมคคัลลานะเถระ (นามปู่พันธุรัตน์)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.........3) ญาณของพระพุทธรูป พระประธานโบสถ์ นาม หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย อ.เมือง จ.หนองคาย-และ
.........4) ญาณของพระพุทธรูปพระประธานโบสถ์ นาม อมิตตพุทธเจ้า จากวัดโพธิ์แมน เขตยานนาวา.....
.........5) ญาณของพระพุทธรูป พระประธานโบสถ์ นาม หลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ วัดสีชมพู อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
.........6) ญาณ องค์เทพอาจารย์ ปู่ทวด วัดช้างไห้
.........7) ญาณองค์เทพอาจารย์ปู่โต วัดระฆัง กทม.
.........8) ญาณองค์เทพอาจารย์ปู่หมุน วัดบ้านนาน (เฉพาะ2-3 ครั้งที่ผ่านมา ปี 2561)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

…………โอกาสต่อไปจะขอให้อาจารย์ท่านอัญเชิญญาณ ล.พ.โสธร / ล.พ. พุทธชินราช / ล.พ.ทองคำ/ ล.พ.สัมฤทธิ์
/ล.พ.เกษม เขมโก ลำปาง และ ล.พ.คูณ ปริมุทโธ วัดบ้านไร่.....เพื่อให้ท่านมีโอกาสสร้างบารมีแบบนี้อีกทาง

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

............ส่วนการเสกวัตถุมงคลที่เป็นรูปรอยองค์เทพต่างๆ.....ก็จะอัญเชิญญาณของ....
.........ก) องค์เทพอาจารย์ปู่ท่านท้าวเวสสุวรรณ....
.........ข) ) องค์เทพอาจารย์ปู่ท่านท้าวพญาครุฑ.....
.........ค) องค์เทพอาจารย์ปู่ท่านท้าวพิฆเนศวร์.......

..........ญาณขององค์เทพต่างที่ท่านเป็นเทพโดยตรง-ไม่ได้บวชพระมาก่อน....ท่านก็จะเสกได้เฉพาะรูปรอยของท่านเองและรูปรอยเทพองค์อื่นที่มีญาณบารมีเสมอกัน/ต่ำกว่า.....

...........ทุกๆญาณที่ได้อัญเชิญมาลงประทับเสก-ต่างมาต่างวัน เวลากัน (ตามที่ผมไปสำนักฯ)-ท่านเสด็จมาประทับร่างอาจารย์ฆราวาส สายทอง อยู่สุข ((อาจารย์เจ้าสำนักผู้สอน-ชี้แนะการฝึกเข้าสมาธิของสำนักที่ผมไปฝึกปฏิบัติ)) .....ผมจะสนทนากับทุกๆญาณขององค์เทพจนท่านแจงให้เข้าใจหลายๆเรื่องที่อยู่ในสมาธิแล้วยังไม่เข้าใจ......

........ก่อนอื่นท่านจะเสกบทหนุนพลังพุทธคุณที่มีประจุอยู่ในแต่ละชิ้นเดิมๆแล้ว-ให้เข้มขลังเต็มพิกัดของเขา....แล้วท่านถึงจะเสกวิชา/บทพุทธคุณของท่านประจุเสริม+เพิ่มเข้าให้อีกหลายๆบทให้อีกต่างหาก....ไม่เคยมีองค์ไหนบอกเลยว่าพลังพุทธคุณที่มีอยู่เดิมๆเต็มแล้ว-เสกประจุเข้าไปอีกไม่ได้.....

............((.เกือบลืมบอกท่านครับ))....ว่า.....บทพุทธคุณทุกๆบทที่ท่านเสกเสียงดังออกผ่านปากอาจารย์ฆราวาสนั้น-จะเป็นภาษาเทพนะครับ....ไม่ใช่ภาษาบาลีที่เป็นภาษาของมนุษย์พระสงฆ์ใช้กัน.....

..........มีอยู่ครั้งหนึ่ง....ที่อัญเชิญญาณของ ล.ป.โต แห่งสำนักวัดระฆัง กทม.ลงประทับร่างของอาจารย์สายทองฯ.....นานมากกว่าท่านจะยอมลง-เพราะท่านเห็นว่ากายหยาบ/ร่างของอาจารย์ที่จะลงเป็นเพศหญิง....ในที่สุดท่านก็เหมือนจะจำยอมลงประทับให้......ผมทักทายญาณท่านครั้งแรกด้วยภาษาไทยเรานี่แหละ-เห็นท่านงง+เงียบอยู่นาน.....ไม่น่าเชื่อว่าท่านลืมภาษามนุษย์/ภาษาไทยไปแล้วครับ....ผมต้องทัก/สื่อสารกับท่านด้วยภาษาเทพ.....ท่านบอกว่าอาตมาลืมไปแล้วว่าเขาพูดกันอย่างไร....ซึ่งสรรพนามที่ท่านใช้แทนเมื่อเรียกตัวท่านๆเองยังติดใช้คำว่าอาตมาอยู่เลยทั้งๆที่ท่านเป็นญาณขององค์เทพไปแสนนานแล้ว.....ผมเลยขำหัวเราะหึๆออกมาปู่ท่านก็ยิ้มๆ.......แต่ท่านพูดน้อยมาก.....จนให้รู้สึกเกรงใจท่าน.....หลังญาณท่านถอยออกไป-ถามอาจารย์สายทองว่าตอนไปเชิญปู่โตนั้นทำไมนานจัง.....อาจารย์ก็บอกว่าปู่เขากำลังเข้าฌาณบริกรรมสวดมนต์อยู่จะไม่ยอมมา-ต้องตื้อเชิญอยู่นาน-ขัดไม่ไหวเลยจำใจมาให้....ถึงว่ามิน่าท่านถึงไม่ค่อยพูดคุยอะไรเท่าใด.....เลยให้รู้สึกเกรงใจท่าน.....รีบกราบน้อมส่งญาณท่านเลย...

..........ผมรับรองว่าอานุภาพพลังพุทธคุณที่ประจุไว้ในพระองค์นี้-เหนือกว่าองค์อื่นๆ ในรุ่นเดียวกันแน่นอนครับ....(ผมติดโค๊ตเป็นเครื่องหมายไว้ทุกองค์ที่ผ่านการเสกเพิ่ม)

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

.................ภาพนี้เป็นภาพตอนญาณของ ล.พ.พระใส ท่านเสด็จมาเบิกเนตร+เสก กำกับ องค์พระพุทธรูปท่านที่ผมจองบูชาจากวัดไว้ 3 ขนาดในรุ่นเดียวกัน คือรุ่น สามบารมี เองครับ.....((ท่านดูกองวัตถุมงคลที่ผมนำไปให้เสกแต่ละครั้งสิ-น้องๆภูเขาครับ-เสกซ้ำแล้วซ้ำอีก-จนถูกปู่ท่านเย้าแหย่ว่าเอามาช้าจแบ๊ตอีกแล้วนะ-ผมก็จะตอบเนียนๆๆว่าก็ปู่ยังขยักไว้เสกประจุลงให้ยังไม่หมดทุกบทนี่ครับ-อันที่จริงผมจะบอกความจริงให้ท่านรู้ว่าเมื่อญาณองค์เทพ/ญาณของพระพุทธรูปท่านลงมาแล้วก็อยากให้ท่านได้สร้างบารมีเต็มที่ก็คือให้ท่านได้สวดบทพุทธคุณต่างๆให้มากบทที่สุดประจุลงไป-สุดท้ายผมก็จะเก็บคำหมากของท่านจากในปากไว้บูชาเองทุกๆครั้ง-เพราะนั่นคือสุดยอดของพุทธคุณจากทุกๆองค์ที่มีอยู่ในนั้นครับ)).....


ข้อมูลเพิ่มเติม 2 - 30 พ.ค. 2562 - 21:27:08 น.



........((ลืมบอก))......ด้วยผมเป็นคนที่ฝึกปฏิบัติสมาธิมา 30 ร่วมจะ 40 ปี จนจิตสามารถเคลื่อนเข้าถึงซึ่งสมาธิได้นานมาแล้ว หลังการฝึก-เมื่อถอนจิตออกจากสมาธิกันเสร็จ.....ทุกๆครั้งก็จะขอให้อาจารย์ฆราวาส สายทอง อยู่สุข อาจารย์เจ้าสำนักผู้ชี้แนะในการฝึกปฏิบัติสมาธิให้แก่ศิษย์ ให้ท่านได้อัญเชิญญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่หลายๆท่านได้ลงองค์ประทับร่างท่านเพื่อขอชมบารมี+สนทนาธรรมนอกสมาธิ-เพื่อความสะดวกในการสนทนาธรรม-กว่าการสนทนาในสมาธิ.....หลังเสร็จจากการสนทนา....ก็จะกราบขอความเมตตาต่อญาณองค์เทพฯทุกๆพระองค์ และทุกๆครั้งได้แผ่เมตตาสร้างบุญบารมีด้วยการเสกประจุพลังพุทธคุณบทต่างๆที่ท่านฝึกฝน+เรียนรู้มาจนชำนาญหลายภพหลายชาติเพิ่มประจุเข้าไปในวัตถุมงคลต่างๆที่นำไป-ทั้งที่เป็นรูปรอยพระพุทธ+รูปรอยพระเกจิต่างๆ+รูปรอยองค์เทพต่างๆ....ซึ่งบางองค์ท่านบอกเป็นบทที่มีมาแต่สมัยพุทธกาลโน่น.....

..........(ญาณขององค์เทพที่ท่านจะเสกวัตถุมงคลที่เป็นรูปรอยองค์พระพุทธ และองค์เทพได้นั้น....ท่านจะต้องเคยบวชเป็นพระสงฆ์มาก่อนที่ญาณท่านจะมาเป็นเทพเท่านั้น....หากไม่เคยบวชเป็นพระแต่มาเป็นเทพ-ญาณท่านจะเสกได้แต่วัตถุมงคลที่เป็นรูปรอยองค์เทพที่มีญาณบารมีเสมอกัน/หรือต่ำกว่าได้เท่านั้น-ท่านจะเสกพระไม่ได้นะครับ-เป็นความรู้ใหม่แต่ผมก็รู้มานานแล้วเมื่อมานั่งสมาธิเป็นครับ)........

.........อีกความรู้ที่ได้รู้เพิ่มเข้ามาใหม่เมื่อนั่งสมาธิเป็นก็คือ........การประจุพลังพุทธคุณบทต่างๆลงไปยังวัตถุมงคลที่เป็นรูปรอยต่างๆนั้น....เท่าที่สนทนากับองค์เทพอาจารย์ปู่มาหลายๆองค์+หลายๆเรื่อง....พอที่จะจับใจความรวบรวมได้ว่า.....องค์เทพอาจารย์ปู่ท่านบอกไว้ว่ามี 2 วิธี คือ....(1)การเสก และ (2)การอธิษฐานจิต......

........(1)การเสก ก็คือการสวดบทพุทธคุณตรงไปยังวัตถุมงคลโดยตรง....จะต้องเปล่งวาจา/เสียงสวดบทพุทธคุณต่างๆออกมาจากปาก-ซึ่งผู้อื่นจะได้ยินด้วย.....

.......(2)การอธิษฐานจิต ยังแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี คือ.....
...........(2.1) การใช้กระแสจิต/ของตนเอง-เพ่งพลังไปยังวัตถุมงคล-แล้วสวดอธิษฐานอยู่ในใจ....จะไม่ได้เปล่งเสียงวาจาออกมาจากปากให้ได้ยินเสียงสวดบทพุทธคุณต่างๆออกมาให้ผู้อื่นได้ยินครับ.....จึงเรียกการกระทำแบบนี้ว่า การอธิษฐานจิตครับ.....
...........(2.2) การใช้กระแสจิตของตนสื่อสารอัญเชิญญาณขององค์เทพครูบาอาจารย์ของตนได้เสด็จลงมาอธิษฐานจิตสู่วัตถุมงคลให้แทนอีกต่อ-โดยตนไม่ต้องทำอะไร-ปล่อยให้องค์เทพ ครูบาอาจารย์ท่านทำให้.....

..........((เกือบลืมบอกอีกอย่างครับ))....เวลาญาณองค์เทพอาจารย์ปู่ท่านเสกโดยสวดบทพุทธคุณต่างๆลงประจุยังวัตถุมงคลที่ผมนำไปให้ท่านเสกให้นั้น....องค์เทพอาจารย์ปู่ ท่านจะเสกมนต์เป็นภาษาเทพนะครับ....มิได้ใช้ภาษาบาลีที่เป็นภาษาของมนุษย์(ภาษาเสกของพระสงฆ์พระสงฆ์)เสกให้นะครับ....โปรดเข้าใจ.....

........เวลาปกติของญาณองค์เทพต่างๆที่ท่านทำกันในภพภูมิสวรรค์ของท่านเป็นกิจวัต-เท่าที่ญาณผมได้เห็นมาตอนเข้าสมาธิ คือเหล่าเทพ-เทวดา ท่านก็มีแค่ท่องบ่นสวดมนต์ภาวนา+และการรักษาศีลเท่านั้นเองครับ......เมื่อมีมนุษย์ ที่มีกายหยาบ/ร่างกาย ที่สามารถสื่อสารกับท่านและสามารถที่จะมีบารมีรองรับญาณบารมีของท่านได้-ยอมให้ท่านลงประทับร่ากายได้.....แทบทุกองค์ท่านจะยินดีตอบรับลงมาประทับร่างสร้างบุญบารมีอีกแบบเช่นเหมือน ตอนที่ท่านเป็นมนุษย์ ท่านจะดีใจมากๆครับ....

.........มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยสนทนาธรรมกับญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่ลำดับที่ 1) ซึ่งท่านจะให้ความเมตตาต่อผมค่อนข้างมาก......โดยผมเคยถามท่านว่า.....ปู่ครับ-ระหว่างบวชเป็นพระแล้วปฎิบัติสมาธิ...กับ...การที่เรายังเป็นฆราวาสอยู่แล้วปฎิบัติสมาธิ...อยู่ในสภาวะไหนที่น่าจะดีที่สุดในการฝึกปฎิบัติสมาธิ.....ปู่ตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า....เป็นฆราวาส ดีที่สุด....เพราะไม่ต้องมีข้อแม้(ศีล)มากมายที่ต้องถือเช่นพระในระหว่างการฝึก....เราฝึกไปเรื่อยๆแค่เรารักษาศีล 5 ศีล 8 / 10 ก็พอ.....แต่ถ้าเป็นพระ หากได้บุญบารมีก็จะได้มากกว่าฆราวาส 2-3 เท่า....แต่หากผิด-ก็จะติดลบ 2-3 เท่า เช่นกันนะ..

........((ต่อไปนี้-ข้อความนี้คือความคิดเห็นส่วนตัว))...ผมคิดเอาเองนะครับ....เพราะเท่าที่สังเกตุดูอากัปกิริยาของญาณองค์เทพที่ถูกอัญเชิญลงมาประทับร่างของอาจารย์สายทองนั้น.....เข้าใจว่าท่านคงถือโอกาสลงมายืดเส้นยืดสายแบบมนุษย์ดูบ้าง....เป็นการหวนคืนสู่เหย้า-คิดลองกลับมาใช้ญาณวิถึชีวิตมนุษย์เช่นเดิมที่ท่านเคยเป็นมนุษย์มาก่อนดูบ้างซักหน่อยก็ดี....555.....

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.........ทุกๆครั้งที่ เดินทางไปสำนักปฏิบัติธรรมพรพระเทพ ที่ อ.บ้านนา จ.นครนายก...เพื่อการฝึกต่อยอดสมาธิ....ผมจะขนทั้งพระเก่า+พระใหม่/แม้กระทั่งขนไปซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายๆครั้งในกล่อง/ลังเดียวกัน.....จำนวนมากใส่รถไปให้องค์เทพอาจารย์ปู่หลายๆองค์ที่ได้อัญเชิญท่านมา-ลงเสกให้.....เมื่อองค์ไหนผ่านการเสกแล้ว-จะถูกติดโค๊ตแผ่นตะกั่วกลมแบนเป็นเครื่องหมายไว้ให้รู้.....องค์นี้ก็เช่นกันครับ......


ข้อมูลเพิ่มเติม 3 - 30 พ.ค. 2562 - 21:28:02 น.



......((ขอบอก-เกรงท่านสมาชิกเข้าใจผิดเป็นอื่นครับ))........สำนักปฏิบัติธรรมพรพระเทพ อ.บ้านนา จ.นครนายก ((แรกเริ่มเดิมทีเมื่อราวร่วม 10 ปี ก็อยู่ใน กทม.นี่แหละครับ)) ที่ผมต้องดั้นด้นตามไปฝึกปฏิบัติสมาธิต่อยอดกับอาจารย์ฆราวาส สายทอง อยู่สุข อาจารย์ผู้ชี้แนะในการฝึกร่วม 10 ปี ยังที่นั้นบ่อยๆครั้งตลอดมานั้น.....

.........ใช่ว่าสำนักฯแห่งนี้จะเป็นสถานที่รับทรงเจ้าเข้าผีนะท่าน....โปรดอย่าได้เข้าใจผิดกัน...คนละแบบเลยครับ-ต่างกันลิบลับเลยครับ-คนละแนวทางเลย...บอกได้ว่าที่แห่งนี้ฝึกสอน/ชี้แนะเข้าสมาธิเป็นไปในแนวทางที่พุทธองค์ทรงค้นพบของเดิมที่มีอยู่ก่อนที่พระองค์จะมาพบอยู่แล้ว......เท่านั้นครับ....สำนักแห่งนี้มิได้ทำมาหากินจากการนี้เลย.....การที่อาจารย์และศิษย์ฝึกฝนการสื่อสาร ติดต่อกับองค์เทพครูบาอาจารย์ต่างๆได้นั้น....ใช่ว่าจะเกี่ยวดองท่านได้ง่ายๆนะครับ-เพราะที่ผมเอ่ยนามแต่ละท่านมานั้น ล้วนแต่เป็นองค์เทพที่เป็นใหญ่/มีตำแหน่งใหญ่กันทั้งนั้น-เมื่อเข้าฌาณสมาธิเพื่อไปพบท่านนั้น-เข้าถึงท่านยากห่างท่านหลายๆชั้นครับ-เพราะมีฌาณบารมีขององค์เทพดวงอื่นที่บารมีแกร่งกว่าเราเขาบดบังตามลำดับอยู่....ในโลกมนุษย์หากบารมีคนอัญเชิญไม่ถึงขั้นแล้ว+กับลูกศิษย์ของอาจารย์ผู้อัญเชิญแต่ละคนยังไม่สามารถที่จะเข้าฌาณสมาธิเบื้องต้นได้กันแล้ว....ใช่ว่าจะสื่อสารอัญเชิญท่านลงประทับ-เพื่อมาสนทนาธรรมกันกับท่านได้ง่ายๆนะครับ-นี่ท่านได้ให้ความเมตตาแก่เรามาก.....((ยังมีรายละเอียดอื่นๆที่ผมยังไม่ได้บอกท่านอีกหลายอย่างก็มีนะ-เพราะเกรงเป็นการอวดอุตริมนุษย์ธรรมครับ)).....

........การที่อาจารย์ท่านยอมใช้ร่างท่านอัญเชิญให้ญาณขององค์เทพครูบาอาจารย์องค์ต่างๆ ให้ท่านเหล่านั้นได้ลงประทับร่างของท่าน (หลังถอนจิตจากการเข้าสมาธิเสร็จกันแล้ว)....ก็เพื่อให้ศิษย์เช่นพวกผม-ที่บารมีน้อนยังฝึกได้ไม่ถึงขั้นได้ชมบารมี-นอกสมาธิกันครับ....จะได้สนทนาธรรมกันกับองค์เทพครูบาอาจารย์ท่านเหล่านั้นได้สะดวกกว่าในสมาธิที่ฌาณเราเข้าถึงท่านยากมากครับ......อาจารย์ฆราวาสสายทอง ท่านอัญเชิญได้ทุกองค์เทพ....แต่ก็ขึ้นอยู่แต่ละองค์ท่านจะมาลงประทับร่างกายหยาบของท่านหรือไม่เท่านั้นเองครับ.....ท่านก็ใช่ว่าจะลงมาประทับทุกองค์ที่อัญเชิญนะครับ......

.........ผู้ที่ฝึกสมาธิจนได้ฌาณชั้นสูงๆแก่กล้าเท่านั้นครับจึงจะสามารถอัญเชิญญาณองค์เทพใหญ่ๆมาลงประทับร่างได้...เพราะมีบารมีเพียงพอที่จะรับญาณบารมีขององค์เทพ นั้นๆได้...เพราะญาณท่านแต่ละองค์แรงมากมายมหาศาล....อย่างผมนี้เป็นการยากมากที่จะทนทานต่อแรงบารมีญาณของท่านตอนที่ท่านจะลงสู่ร่างเรา-ต้านไม่ไหวแน่....ปู่ท่านบอกว่าเองยังญาณบารมีไม่ถึงที่จะรองรับญาณบารมีของปู่ได้หรอก.....ให้ฝึกไปเรื่อยๆ-สักวันอาจจะได้ก็ได้...เฮ้อๆๆ...(หัวเราะขำเรา-ที่ขอเชิญท่านลงมาใช้ร่างของเราตลอด 24 ช.ม. ราวกับเป็นร้าน 7-11 แหนะ-เพื่อเป็นกายหยาบแทนให้ท่านในการสร้างบุญบารมีของท่าน-หากท่านมาอาศัยร่างกานเราลงประทับจริงๆเราก็จะพลอยได้อานิสงส์บุญบารมีสูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน))).....

........สำนักแห่งนี้ไม่ได้รับลงองค์ทรงเจ้าเข้าผี/ทำอะไรนอกจากฝึก+ขี้แนะการเข้าสมาธิให้เป็น/ให้ได้กันนะครับ.....เมื่อเวลาอัญเชิญญาณขององค์เทพท่านลงประทับร่างท่านก็จะสามารถลงได้เต็ม 100....ไม่ได้ลงแฝงแค่ 10-20 เปอร์เซนต์....เช่นพวกที่ออกโชว์พราวใน ทีวี หรือ ยูทูป นะครับ.....พวกลงแฝงนี้จะเป็นผู้ที่ยังเข้าถึงซึ่งสมาธิไม่ได้ดอก...แต่องค์เทพอยากเกาะร่างเขาเพื่อขออาศัยร่างกายหยาบของคนเหล่านี้เร่งสร้างบารมีร่วม.....ในขณะองค์เทพลงแฝง-ร่างพวกนี้จะได้ยิน+มองเห็น ลูกศิษย์ของเขา....เข็มแทงตัวจะมีความรู้สึกเจ็บ.....โดนเทียนหยดจะแสบสะดุ้งครับ.....นี่คือการลงได้แค่แฝงของญาณองค์เทพ-มิใช่ลงเต็มองค์ 100 เปอร์เซนต์ในร่างมนุษย์.....โปรดศึกษาเข้าใจถึงความแตกต่างตรงนี้กันด้วย....พวกที่แค่ญาณองค์เทพลงแฝงพวกนี้คือผู้ที่ยังเข้าสมาธิไม่ได้/ไม่เป็น กันนะครับจะบอกให้-แต่เขาชอบจะทำวางเขื่องเกินจริง-ทำท่าว่าเขานี่คือองค์เทพกันจริงๆ-เพื่อจะเรียกศรัทธาจากศิษย์....เมื่อองค์ลงแฝงเขาจะเป็นแค่ร่างกึ่งเทพกึ่งมนุษย์เท่านั้น+เขาจะใช้ความรู้สึก+นึกคิดของความเป็นมนุษย์ของเขาผสมเข้าไปกับของญาณองค์เทพที่ลงแฝง-มันมิใช่ความรู้สึกนึกคิดขององค์เทพจริงๆเต็ม 100 หรอก....ขอบอก....

........จากยูทูป+ทีวี ที่บันทึกไว้....ผมเข้าไปเปิดย้อนดู-เห็นว่ามีผ้วเมียหญิง-ชาย ชุดขาว....หญิงผู้เมียที่เป็นร่างทรงรายนี้พูดภาษาเทพโชว์ตามที่พิธีกรขอให้พูด-เขาก็ตั้งท่าทางพูดแต่ค่อนข้างแอคชั่น/เก๊กน้ำเสียงให้หล่อ/ดูดีมากเกิ้น-อันที่จริงพูดธรรมดาๆก็ได้-ไม่เห็นว่าต้องวางกิริยาที่ใส่สีตีไข่ให้มากเกิน-คงอยากให้ผู้คนที่ได้ดูได้เห็นเชื่อ+ศรัทธาตนกระมัง......แต่นั่นก็คือภาษาองค์เทพที่ท่านใช้สนทนากันจริงๆในภพภูมิของท่านครับ...อันนี้รับว่าเป็นภาษาเทพพูดกันจริงๆ....

........แต่สำหรับคำแปลที่พิธีกรในรายการให้เขาแปลเป็นไทยนั้นมิได้เป็นไปตามที่องค์เทพท่านพูดออกมาเลย.....แปลไปคนละทางคนละความหมายกันลิบลับ.....น่าจะเป็นความคิดความอ่าน/คิดเอาเองของร่างทรงเขา-มาเสกสรรปั้นแต่งให้วิจิตสวยหรูเอง-ตามจินตนาการของเขาที่คิดว่าตัวเองแปลได้เเลิศหรูแล้ว....ผมให้ละอายใจแทนเขาเลย.....เรื่องนี้ผมยืนยันให้ได้เลยครับ.....ว่าองค์เทพท่านพูดโดยไม่ได้พูดเช่นที่ร่างทรงเขาได้แปลออกมา.....((แต่ผมจะไม่แปลให้ท่านรู้หรอกนะ-ให้ท่านไปฝึกเข้าสมาธิกันให้ได้-แล้วท่านก็จะรู้ตามที่ผมว่ามา....ว่าใช่/ไม่ใช่กันแน่))..

……………การที่ญาณขององค์เทพต่างๆจะลงมาประทับร่างกาย/กายหยาบ ของมนุษย์ผู้นั้นได้นั้น-เจ้าตัวต้องเข้าสมาธิได้เสียก่อน+และเจ้าของร่างต้องอัญเชิญ/อนุญาตท่านจึงจะลงประทับได้ตามบุญบารมีของร่างมนุษย์ที่สามารถจะรองรับญาณนั้นๆได้ครับ
..................การที่ญาณขององค์เทพต่างๆ จะลงประทับยังร่างมนุษย์ ได้นั้น...จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ.....

........1) ลงประทับองค์แบบ...บุญฤทธิ์....คือท่านจะลงมาแบบกิริยาที่สวยงามพริ้วเบา-นิ่มนวล/เงียบๆ...และ

........ 2) ลงประทับองค์แบบ...อิทธิฤทธิ์......คือท่านจะลงมาแบบโฉ่งฉ่าง เสียงดังน่ากลัว-ตัวสั่นไปทั้งตัว-คล้ายๆพวกเล่นตลก/ละคร นำมาเล่นล้อเลียนกันให้ดูขำๆกันนั่นแหละครับ....

......ก็ไม่อยากไปโทษพวกเขาที่เอามาทำล้อเลียนเล่นทั้งในหนัง/ในละครกัน....หากแต่เรื่องแบบนี้-เกิดจากพวกองค์เทพจอมปลอมเช่นนี้-ทำให้เสียหาย.....เสื่อมเสียความนับถือแก่องค์เทพท่านที่มีอยู่จริงๆครับ....อันนี้ผมกล้ารับรองให้.......

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.........ขอบอกเสริมเพิ่มเติมให้ว่า.....ทำไม ญาณขององค์เทพถึงต้อง/อยากมาประทับ/สิงสู่ยังร่างของมนุษย์เราๆกัน......

........จากการที่ฝึกสมาธิมานาน+คลุกคลีอยู่ในแวดวงนี้นาน.....ก็พอประมวลให้เป็นหมวดหมู่ง่ายแก่การทำความเข้าใจได้เป็น 2 กรณี คือ.........

........(1).....ญาณขององค์เทพท่านต้องการลงมา....โปรดสัตว์......จึงต้องอาศัยกายหยาบ/ร่างกายของมนุษย์เราเป็นธาตุทั้ง 4 ที่สามารถจับต้องได้........กรณีนี้บุคคลนั้นต้องเป็นผู้ที่มีความผูกพันกันมาในภพชาติก่อนๆ/ หรือท่านเห็นแล้วว่าเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีงาม+สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง......มาชาติปัจจุบันญาณขององค์เทพนั้นๆ ท่านจะลงมาอาศัยกายหยาบ/หรือร่างกายของบุคคลนั้นๆ.....เป็นที่ลงประทับทรง....ทั้งๆที่ลงประทับได้เต็ม 100 กับ ที่ลงประทับได้แค่แฝงก็ได้....ท่านจึงต้องลงมาใช้ร่างนั้นๆเป็นที่โปรดสัตว์ร่วมกับท่าน.......((พวกนี้ต้องเป็นร่างทรง+มีตำหนัก-เพื่อช่วยสงเคราะห์มนุษย์-เป็นการสร้างบารมี-แต่ละปีตัวเองจะต้องมีการปลดปล่อยทุกข์ของมนุษย์ที่ตนได้ช่วยเหลือไว้ออกจากตัวเอง-เช่น การลุยไฟ/ตัดลิ้น/ถือศีล-กินเจ/ด้วยวิธีอื่นๆ ฯลฯ)).......


.......(2).....ญาณขององค์เทพท่านต้องการลงมา....คุ้มครองเรา......กายหยาบ/ร่างกายของมนุษย์เรา ....กรณีนี้บุคคลนั้นต้องเป็นผู้ที่มีความผูกพันกันมาในภพชาติก่อนๆ......มาชาติปัจจุบันญาณขององค์เทพนั้นๆ ท่านจะรู้และมองเลงเห็นแล้วว่าร่างนั้นๆกำลังจะกระทำ/หรือได้รับผลในสิ่งที่ไม่ดีในชีวิตต่อไปภายภาคหน้า.....ท่านจึงต้องลงมาคุ้มครองการกระทำนั้นว่าจะให้/หรือไม่ให้กระทำอีกต่อไป......กรณีนี้นานวันเข้า......หากจิตใจจองบุคคลนั้นโน้มนำมาทางโปรดสัตว์ภายหลังต่อไปก็ได้เช่นกันครับ........

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------


ข้อมูลเพิ่มเติม 4 - 30 พ.ค. 2562 - 21:29:12 น.



---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

…....(((เล่าสู่กันฟังเบาๆ)))......มานึกย้อนหลังไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา....มีเพื่อนที่ทำงานท่านหนึ่งถามผมว่า.....คุณๆจะมีวิธีไหนแนะนำให้ผมไปบอกภรรยาผมได้งัยบ้าง-เขาชอบให้ผมพาไปวัดโน้น วัดนี้ (เข้าใจว่าเขาคงจะทนเบื่อรับส่งมานานนะ...555) เพื่อไปเรียนการฝึกนั่งสมาธิ วัดโน้นวัดนี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆไม่อยู่เป็นที่-แล้วก็บ่นว่าสำนักนั้น/สำนักนี้สอนนั่งสมาธิไม่ดี-คงหมายความว่าตัวภรรยาเขาไปฝึกนั่งสมาธิ/ฝึกเดินจงกรมเพื่อทำสมาธิ ณ สำนักนั้นๆแล้ว-จิตเขาไม่สามารถเข้าถึงซึ่งสมาธิได้เลย-เธอจึงกระเสือกกระสน-ให้สามีพาตะลอนเปลี่ยนไปวัดนั้นวัดนี้เรื่อยๆตามที่ได้ยินมาจากปากคนอื่นๆ-เพื่อเสาะหาวัดที่ว่า สามารถที่จะสอนให้เธอฝึกจิตจนสามารถเข้าถึงซึ่งสมาธิได้จนเป็นผลสำเร็จหรือเปล่านั่นเอง.....

.....ผมพิเคราะห์จากคำบอกของเพื่อนผู้เป็นสามีเธอแล้ว-เห็นว่าข้อแรก-จิตของเธอนั้นเป็นผู้ที่มีความตั้งใจสูงมีความมั่นคงแน่วแน่+และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะฝึกจิตเขาให้เข้าถึงซึ่งความสงบ-จนจิตเคลื่อนเข้าถึงขั้นสมาธิให้ได้-....นับว่าเป็นทุนเดิมที่เข้มแข็งอยู่แล้ว....ไม่น่าจะเป็นการยากที่จะแนะวิธีให้เธอลองไปคิดสรุปยอดหาหนทาง/วิธีที่จะนำไปปฏิบัติดู-อย่าทำมั่วไปทุกอย่างเสียเวลา-ไม่ได้ผลหรอก....

........โดยผมบอกให้เขาไปบอกภรรยาว่า-ผมแนะนำให้เขาลองหาข้อสรุปแยกรูปแบบของวิธีการฝึกเข้าสมาธิที่เขาได้เข้าไปเรียนจากสำนักต่างๆมา-ไม่ว่าจะเป็นวิธีเข้าสมาธิโดยวิธีการเดินจงกม/การนั่งสมาธิ/การนอนสมาธิ-ให้เห็นรูปแบบที่ชัดเจนเข้าใจง่ายดูสิว่าเขาเข้าใจว่ามันจะมีกี่วิธี-แล้วค่อยๆทดลองฝึกหาว่าแต่ละวิธีนั้น-จะมีวิธีไหนบ้างที่ถูกกับจริตเรา+และคิดว่าน่าจะเอามาใช้สำหรับตัวเอง...แล้วจงเอาวิธีนั้นมาใช้ประจำตัวเราตลอดไป......(สำหรับผมใช้วิธีกลั้นใจกำหนดจิต-ผ่านทะลุกลางกระหม่อมพุ่งทะลุขึ้นฟ้าไปสุดๆแล้วไปแตกสว่างที่ข้างบนโน่นเลยทีเดียวครับ-ไม่เสียเวลา-แค่อึดใจเดียวเท่านั้น-ไม่ต้องมาดูลมหายใจเข้าพุทธ-หายใจออกโธ/ หรือต้องมาฝึกเดินจงกม-ยก-ย่าง-วาง...ไม่บ่อยนักช่วงพักเที่ยงกลางวัน-กินข้าวเสร็จ-ผมก็จะนั่งสมาธิที่เก้าอี้ทำงาน-ขึ้นไปพักผ่อนสมองบนนั้นเบาสมองคลายเครียดได้-ดีกว่าฟุบหลับที่โต๊ะ))....

.....ผมบอกเพื่อนว่า.....การที่ภรรยาของเขาเที่ยวตระเวนเสาะหาวิธีการที่จะเข้าถึงซึ่งสมาธิให้ได้จากสำนักสอนต่างๆนั้น-ก็น่าจะเป็นการดี-เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้หาความรู้/ได้เห็น วิธีการถ่ายทอด/วิธีการสอนของครูบาอาจารย์จากสำนักต่างๆ-ทำให้เราได้คิด-เกิดการเปรียบเทียบ และทำให้มีทางเลือกหลายวิธีที่จะเอามาลองฝึกดู-คิดว่าเธอก็น่าจะพบสัก 1 วิธีที่เข้าไปเรียนรู้มาจากสำนักไหนสำนักหนึ่งที่สอนวิธีต่างๆนั้นให้-ในบั้นปลายเธออาจจะพบกับวิธีที่ถูกกับจริตเธอและยึดถือเอามาเป็นต้นแบบใช้ในการฝึกของตัวเองเป็นประจำก็ได้......

......ผมแนะว่าเราไปเรียนรู้วิธีการปฏิบัติจากสำนักต่างมาก็หลายสำนัก....เราก็ต้องรู้จักหาข้อสรุปให้ได้ว่า-จุดมุ่งหมายของแต่ละสำนักนั้น-เขาต่างก็มีวิธีการถ่ายทอด/สอน-เพื่อให้จิตเราเข้าถึงสมาธิได้อย่างไร-มีวิธีที่แตกต่างกันอย่างไร-จะเห็นได้ว่าหลักใหญ่ๆก็คือ ทุกคำสอน/ทุกๆวิธีที่แต่ละสำนักให้ฝึกปฏิบัตินั้นต่างก็มีจุดมุ่งหมายสุดท้ายเหมือนกันคือ....เพื่อให้ผู้เข้ามาฝึกฝนได้ฝึกฝนจิตสงบรวมเป็นหนึ่งเดียว-จนจิตของเราสามารถเคลื่อนเข้าถึงซึ่งสมาธิได้ในที่สุดนั่นเอง.....

......แต่จะแตกต่างกันในวิธีการปฏิบัติที่สอนให้เดินทางไปถึงจุดสมาธินั้นได้อย่างไรเท่านั้นเอง....ซึ่งก็เป็นเทคนิคการถ่ายทอดให้แก่ศิษย์แต่ละสำนักได้เข้าใจกัน.....ไม่ว่าสำนักไหนจะมีวิธีการสอนให้นั่งภาวนาพุทโธ/สัมาอรหัง/ยุบหนอ-พองหนอ/เห็นหนอ/หรือสอนให้กำหนดจิตดูสัมผัสตามเส้นทางเดินเข้า-ออก ของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกรูจมูกทั้งสองของเรา....หรือให้กำหนดจิต(นึกเอาเอง)เห็นอสุภะ-คือให้มองดูกายเราตั้งแต่หัวลงมา-หากถลกหนังหัวเข้าไปเห็นทีละชั้น-เห็นกะโหลก-เห็นสมอง ตามลำดับ ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง....หรือการเดินจงกมโดยกำหนดจิตไว้ที่ปลายเท้าเมื่อย่างก้าวแต่ละก้าว-ก็ให้จิตมีสติอยู่ที่นั่นเพียงจุดเดียว-อย่าให้จิตส่าย-วอกแวก.....

.....นี่แหละครับ-คือวิธีการที่จะทำให้จิตของท่านนิ่งเป็นหนึ่งเดียวจนเคลื่อนเข้าสู่ความสงบ และเคลื่อนเข้าสู่สมาธิในที่สุด......ถ้าท่านทำจิตให้รวมอยู่ที่จุดเดียวได้จนสงบ จิตก็จะเคลื่อนเข้าสู่ความเป็นสมาธิโดยลำดับของเขาเองไปเรื่อยๆ....ต่อไปเราแค่พยุงสติเรา-โดยให้มีสติรู้ตัวเราว่าเป็นเราอยู่เสมอตามเขาเข้าไปเรื่อยๆ-อย่าเผลอปล่อยจิตให้ล่องลอย...ฝึกไปบ่อยๆ.แล้วท่านก็จะรู้ว่า.....มนุษย์เราๆทีมองเห็น/สัมผัสกันอยู่ทุกๆวันจนชินนี้.....มันสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนได้นะครับ....มิใช่มีแค่ตัวตนเราเพียงหนึ่งเดียว.....จิตกับร่างกายของเราเป็นคนละส่วนกัน-สามารถแยกออกจากกันได้ครับ....จิตจะเห็นกาย-กายจะเห็นจิต...ต่างส่วนต่างเห็นกันได้.....หากท่านฝึกสมาธิจนเข้าถึงซึ่งสมาธิได้-แล้วท่านก็จะรู้/จะเห็นตามที่ผมว่ามานี้เอง........ขอพอ-ให้รู้แค่นี้ก่อนนะครับ-นี่ก็พูดลึกมากไปแล้ว......ทุกเวลานาทีที่อยู่ในสมาธิเราต้องมีสติอยู่ตลอดเวลาอย่าได้เผลอไผลยินดีกับสิ่งที่ได้พบ/เห็น-ให้ใช้ปัญญาพิจารณา-บอกได้แค่นี้ครับ..

......สรุปแล้วก็คือการรวมจิตให้เป็นหนึ่งอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งจนแน่นิ่งไม่ส่ายไปที่อื่นสักพักแล้ว-จิตของเราก็จะเข้าสู่สภาวะสงบ และเคลื่อนเข้าสู่สมาธิลึกๆตามลำดับเองครับ.....

......เราไปเสาะหา/เรียนรู้วิธีการที่จะทำให้จิตของเราสงบ-จนเข้าถึงซึ่งสมาธิได้-จากสำนักต่างๆได้......แล้วนำเอาวิธีนั้นๆมาลองฝึกปฏิบัติที่บ้านเราก็ได้.....บางที-ผมว่าท่านไม่จำเป็นต้องไปค้างแรมที่วัดเป็นเวลานานเช่นภรรยาของเพื่อนผมที่เขามาถามผมหรอก....ฝึกเองที่บ้านเราก็ได้ครับ-ไม่จำเป็นที่จะต้องไปอยู่ที่วัดในหมู่คนที่มากมาย+มากเรื่อง....เพียงแค่-ก่อนที่ท่านจะล้มตัวลงนอนทุกครั้ง….แค่วันละ 10-30 นาที.+ความตั้งใจมั่น....ใช้เวลาราวๆ 3 เดือนน่าจะรู้ผล/มีการตอบสนองบางอย่างให้เราพอได้รู้กันแล้วนะว่ามาถูกทางแล้วครับ....((ภายหลัง-มารู้เคล็ดลับจากอาจารย์สายทอง ว่า-หากเราตั้งมั่นที่จะทำกัน/เข้าสมาธิให้ได้จริงๆ....ก็ให้กินเจใน 3 เดือนแรกที่จะเริ่มฝึกเข้าสมาธิกัน-โดยฝึกนั่งกันทั้งวันเลย.....ท่านว่า-จะทำให้เราเข้าถึงซึ่งสมาธิได้รวดเร็ว-ร่นระยะเวลาเห็นผลได้เร็วขึ้นนะ))...........

.......ถ้าท่านฝึกจนชำนาญคือจิตเราสามารถสงบนิ่งจน เข้า-ออก จากสมาธิได้กลับไปกลับมาจนชำนาญแล้ว.....ขั้นต่อไปท่านก็จะสนุก+อยากรู้อยากเห็นว่าในมิติใหม่ที่เราเพิ่งมาพบ/ซึ่งเป็นอีกโลกหนึ่งที่ต่างจากเรา/โลกหลังความตาย/โลกแห่งจิต-วิญญาณ-กายทิพย์-กายละเอียด -ผี (แล้วแต่สำนักไหนจะเรียกว่าอย่างไร) ที่ต่างจากเรานั้น....

.....เท่าที่ทราบมา....องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า.....วิธีที่จะฝึกจิตเราให้เข้าถึงซึ่งสมาธิได้มีอยู่ด้วยกัน 44 วิธี ((ต้องขออภัยต่อท่านผู้รู้ด้วย-หากคำบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ของผมคลาดเคลื่อน-เพราะจำได้คลับคล้ายคลับคลา เท่านั้นครับ)) ให้ลองเลือกไปใช้ฝึกดูว่า-วิธีไหนจะถูกกับจริตของเรา-เมื่อพบแล้ว-ก็จงใช้วิธีนั้นนั่นแหละเป็นแนวทางถือปฏิบัติในการฝึกฝนต่อไป.....แล้วท่านก็จะประสบความสำเร็จแน่นอนครับ.....

......ศาสนาพุทธของเรา....เป็นศาสนาที่ว่าด้วยเรื่องของจิต/วิญญาณ-กายทิพย์/ผี+สติแล้วจะทำให้เกิดปัญญา ครับ.....ดังนั้นตัวตนของเราที่เป็นคน/มนุษย์กันอยู่ทุกวันนี้แยกออกเป็น 2 ส่วนจากกันได้นะครับ....ส่วนแรกคือร่างกาย/กายหยาบ/กายสังขาร แล้วแต่สำนักไหนจะเรียกว่าอย่างไร.....ส่วนที่ 2 คือส่วนที่เป็นจิตใจ/จิต/วิญญาณ/ดวงวิญญาณ/กายทิพย์/กายละเอียด/ผี ครับ....ส่วนที่เป็นจิตนี้-ขณะที่เรามีชีวิต-ถ้าท่านฝึกสมาธิได้สำเร็จ-ก็จะสามารถแยกออกจากร่างเป็นคนละส่วนได้อย่างชัดเจน....แต่ถ้ายังฝึกสมาธิไม่ได้ถึงขั้นจิตเข้าสู่ความเป็นสมาธิได้แล้ว....ท่านก็จะแยกออกจากกายไม่ได้/ได้ยาก-เว้นแต่เมื่อจิตท่านตกใจอย่างแรง-เวลานั้นบางท่านจิตก็สามารถออกจากร่างได้เช่นกัน.....แต่แน่นอนที่สุดเมื่อท่านตายลงไป-ดวงจิต/จิต/ดวงวิญญาณ/กายทิพย์/กายละเอียด/ผี (แล้วแต่สำนักไหนจะเรียกว่าอย่างไร) เขาก็จะแยกออกจากร่างไปโดยธรรมชาติของเขาเองครับ.....

..........การที่พุทธองค์ทรงตรัสให้เราชาวพุทธเราได้ฝึกนั่งสมาธิกัน....พระองค์ทรงทราบอยู่แล้ว่า....มนุษย์เราสามารถฝึกแยกจิตออกจากร่างของเราในขณะที่เรายังไม่ตาย-โดยผ่านการฝึกนั่งสมาธิให้สำเร็จได้-และจะได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้-ดั่งพุทธองค์ทรงชี้ทาง/แนะ/โดยตรัสไว้ว่าสิ่งเหล่านี้....ปัจจัตตังเวธิตัพโพ....เป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยเฉพาะตัวเอง-จะบอกให้คนอื่นรู้+ให้เชื่อแบบที่เรารู้/เห็นมาไม่ได้-เพราะภูมิธรรมเราไม่เท่ากัน-บอก/สอนกันไปไม่รู้เรื่องแน่นอน-เผลอๆทะเลาะกันเปล่าๆ-เพราะหาว่าอีกฝ่ายที่บอกว่าบ้า/เพ้อเจ้อ-จะเกิดการเหยียดหยามเยาะเย้ย-ถากถาง-ดูแคลนกันครับ...เพราะภูมิธรรมไม่เหมือนกัน.....พุทธองค์ ถึงทรงต้องห้าม ยิ่งกับสงฆ์สาวกของพระองค์แล้ว กำหนดเป็นโทษปรับขั้นปาราชิก .เรียกว่าผิดศีล อวดอุตริมนุษย์ธรรม ต้องขาดจากความเป็นพระตลอดชีวิต ผมเองถึงจะเป็นฆราวาส แต่ก็ไม่สมควรที่จะบอก/พูดอะไรที่ได้รู้ได้เห็นมาขากการเข้าสมาธิให้ท่านได้รู้เช่นกันกับพระแต่ก็พูด/บอกท่านได้ในบางเรื่องบางอย่าง....ในนั้นก็มีกฏเกณฑ์ของเขา+และด้วยมารยาทของเราด้วยที่จะไม่บอก-ถึงแม้จะไม่มีกฏข้อห้ามใดๆครับ.......ถ้าท่านอยากรู้ตามที่ผมบอกมา-ก็ขอให้ฝึกนั่งสมาธิกันเอาเอง-เมื่อได้แล้วท่านก็จะรู้+เข้าใจตามที่ผมว่ามากันเองนะครับ.....ผมขอเป็นกำลังใจให้กับสมาชิกทุกๆท่านที่ตั้งใจจะลองฝึกปฏิบัติสมาธิกันนะครับ.....ผมบอกได้ว่าไม่ยากเกินกว่าที่ท่านจะสามารถทำกันได้ครับ....ผมทำมาได้กว่า 30 ปีแล้ว....ทุกท่านทุกคนก็ทำกันได้เช่นกัน.....ขอให้มีความมั่นคงในจิตเท่านั้นก็จะสำเร็จแน่นอน.....

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

........เพื่อบันทึกเหตุการณ์ในแต่ละครั้งไว้เป็นหลักฐาน+ประวัติ-ว่าได้มีการอัญเชิญญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่ต่างๆ/ญาณขององค์พระพุทธปฎิมา/หลวงพ่อต่าง.....ลงประทับร่างของอาจารย์ฆราวาสสายทอง อยู่สุข-เสกวัตถุมงคลให้จริงๆ....ผมจึงต้องมีการขยาย+ติดรูปของวัตถุมงคลบางพิมพ์ที่นำเข้าเสกซ้ำเหล่านี้ไว้เป็นประวัติ-หลักฐาน....เหมือนเช่นการพุทธาภิเศก ที่วัด/เกจิ ท่านเสก/อธิษฐานจิตให้แก่วัตถุมงคลต่างๆ เช่นกันครับ.....

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ข้อมูลเพิ่มเติม 5 - 30 พ.ค. 2562 - 21:34:20 น.



......ขออนุญาตท่านเจ้าของ ล.พ.พระใส องค์นี้....ขอนำมาเปรียบเทียบสีผิวเนื้อองค์พระ..ว่า..เป็นเนื้อนวะ-แก่เนื้อสัมริดเหลือง -เช่นกันกับองค์ที่ผมกำลังนำเสนออยู่ขณะนี้ครับ..........


 
ราคาปัจจุบัน :     3,958 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     50 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    Joejoe (123)

 

Copyright ©G-PRA.COM
www1