(0)
พระผงเจ้าสัว ๑ (รุ่นแรก) รุ่นเศรษฐีเฮงพันล้าน หลวงปู่เฮง วัดบ้านด่านพัฒนาช่องจอม เนื้อผงพุทธคุณผสมว่านกายสิทธิ์ เกศา,ตะกรุดเงิน + ตะกรุดทองแดง โค๊ด “เฮง” รวม 2 องค์ สวยเดิม เคาะแรก








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องพระผงเจ้าสัว ๑ (รุ่นแรก) รุ่นเศรษฐีเฮงพันล้าน หลวงปู่เฮง วัดบ้านด่านพัฒนาช่องจอม เนื้อผงพุทธคุณผสมว่านกายสิทธิ์ เกศา,ตะกรุดเงิน + ตะกรุดทองแดง โค๊ด “เฮง” รวม 2 องค์ สวยเดิม เคาะแรก
รายละเอียดพระผงเจ้าสัว ๑ (รุ่นแรก) รุ่นเศรษฐีเฮงพันล้าน หลวงปู่เฮง วัดบ้านด่านพัฒนาช่องจอม เนื้อผงพุทธคุณผสมว่านกายสิทธิ์ เกศา,ตะกรุดเงิน + ตะกรุดทองแดง โค๊ด “เฮง” รวม 2 องค์ สวยเดิม
เคาะแรก
พระผงเจ้าสัว ๑ (รุ่นแรก) รุ่นเศรษฐีเฮงพันล้าน หลวงปู่เฮง ปภาโส วัดพัฒนาธรรมมาราม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ พุทธาภิเษกเมื่อ วันพุธ ที่ 1 พฤศจิกายน 2560 (ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีระกา ราชาฤกษ์) เนื้อผงพุทธคุณผสมว่านกายสิทธิ์ เกศา,ตะกรุดฝาบาตร โค๊ด “เฮง” (ภาษาจีน)
ประวัติ
หลวงปู่เฮง ปภาโส วัดพัฒนาธรรมาราม
(วัดบ้านด่านพัฒนาช่องจอม ) บ้านด่านพัฒนา ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์
พ่อแม่เป็นชาวกัมพูชาโดยกำเนิด ได้อพยพมาอยู่ประเทศไทยในสมัยที่ฝรั่งเศสปกครอง
ประเทศกัมพูชา ได้มาอยู่หมู่บ้านปราสาท ต.ตาอ็อง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ประกอบอาชีพทำนาทำสวน สมรสมีบุตรด้วยกัน 13 คน(หลวงปู่เฮง ปภาโส)เป็นบุตรคนที่ 7 ปีเถาะ วันพฤหัสบดีที่ ที่ 11 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2470 ที่หมู่บ้านปราสาทในวัยเด็กอายุประมาณ 13-14 ปี หลานของแม่คือพระอาจารย์เฉิด ธมฺมกโร ซึ่งท่านเป็นลูกผู้พี่ลูกของป้า(พี่สาวของแม่) ท่านได้เดินทางธุดงค์มาจากประเทศกัมพูชาท่านได้เดินทางมาเยี่ยมญาติพี่น้องที่ประเทศไทย ท่านบอกจะเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ ก่อนที่ท่านจะไปท่านได้บอกกับแม่ว่า โยมอาฉันอยากจะขอให้น้องไปด้วยโยม
อาจะว่าอย่างไร ฉันจะได้สอนให้น้องได้หัดเรียนเขียนอ่านจะได้รู้หนังสือแม่บอกว่า ตามใจจะไปก็ไปถ้าน้องอยากจะกลับก็ให้พระมาส่งน้องก็แล้วกัน
หลังจากนั้นก็ออกเดินทางธุดงค์ไปตามป่าเขาตามแนวเขตชายแดนกัมพูชาเจอลานหินใหญ่ๆท่านก็พาหยุดพักค้างคืน แต่ก่อนที่จะนอน อาจารย์ท่าน จะเดินรอบๆลานหินก่อน 3 รอบ และขีดเป็นวงกลมให้นั่งให้นอนอยู่ในบริเวณที่ขีดไว้ห้ามออกนอกพื้นที่ เจอที่พักท่านจะทำแบบนี้เป็นประจำทุกครั้ง ท่านจะสอนให้เขียนให้อ่านภาษาขอมภาษาบาลีท่านสอนอะไรมาหลวงปู่ก็เข้าใจง่ายเพราะว่าตอนอยู่บ้านโยมพ่อก็ได้สอนให้หัดเขียนหัดอ่านอยู่บ้างแล้ว และยังมีคาถาอยู่
บทหนึ่งที่ท่านบอกให้ท่องให้ได้เขียนเอาไว้ท่องให้ขึ้นใจ เพราะเป็นคาถาที่สำคัญที่สุด
ในเวลาที่คับขันจะได้ใช้เป็นคาถาบังตัวแคล้วคลาดปลอดภัยเมตตามหานิยม
ท่องเอาไว้ให้ได้ ระยะเวลาที่เดินธุดงค์ไปกับท่าน ทำให้หลวงปู่แปลกใจ
อยู่หลายเรื่องแต่ก็ไม่กล้าถามมีอยู่วันหนึ่งท่านบอกให้นั่งหลับตา หลวงปู่ก็นั่งหลับตา
ตามที่ท่านบอก สักพักหลวงปู่ก็แอบลืมตาดูท่าน แต่ก็ไม่เห็นท่านนั่งอยู่เลย
เห็นแต่เสือแต่ช้างเดินอยู่ข้างลานหินเต็มไปหมด หลวงปู่ก็กลัวก็เลยหลับตาต่อ
ลืมตาอีกครั้งก็เห็นท่านนั่งอยู่ที่เดิม แปลกใจจริงๆเวลาฝนตกเหมือนกัน
แปลกใจทำไมไม่เปียก นั่งอยู่ที่ลานหินที่พักไม่มีอะไรบังแดดบัง ฝนก็ตกแรงน้ำไหลเต็มไปหมดท่านก็ไม่เปียก หลวงปู่ก็ไม่เปียก อัศจรรย์จริงๆตอนเช้าก็เหมือนกันไม่รู้ไปบิณฑบาต เอาข้าวเอาน้ำมาจากไหน ตอนเดินธุดงค์ก็ไม่เคยเดิน ผ่านหมู่บ้านเลยสักหลัง เวลากินข้าวท่านจะให้กินวันละ 7 คำเท่านั้น แต่ก่อนจะกินท่าน จะเสกให้กินทุกครั้ง แล้วก็ออกเดินทางต่อทั้งวันไม่รู้สึกหิวเลย เวลานอนก็เหมือนกัน เสื่อไม่มีปูนอนผ้าก็ไม่มีห่มแต่ก็ไม่มียุงกัดหนาวก็ไม่หนาว ร้อนก็ไม่ร้อน
เวลานอนท่านจะหักใบไม้มาปัดกวาดให้ก่อน แล้วก็ขีดเป็นวงกลมรอบๆลานหิน
ที่พักก่อนที่ท่านจะให้นอนตลอดระยะเวลาที่เดินธุดงค์อยู่ในป่ากับท่านนานถึง 14 เดือน
ได้รู้ได้เห็นอะไรหลายอย่างที่ท่านได้สั่งสอนอักขระจนแตกฉานทุกตัวท่านก็กลับพามาส่งประเทศไทยแล้วท่านก็เดินทางกลับประเทศกัมพูชาและท่านก็ได้มรณภาพอายุ 97 ปี
ที่ประเทศกัมพูชาเมื่อหลายสิบปีแล้ว ท่านคือครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาอาคมให้
หลวงปู่ คือ พระอาจารย์เฉิด ธมฺมกโร ญาติท่านเอง
หลังจากท่านได้ส่งหลวงปู่กลับบ้าน ตอนนั้นหลวงปู่อายุประมาณ 15-16 ปี
โยมพ่อโยมแม่ก็ให้บวชเณรเรียนหนังสือไทยและบาลีเพิ่มเติม สอบได้นักธรรมโท
พออายุครบ 21 ปี ก็ไปเป็นทหารอยู่ที่ลพบุรี ที่กรมทหารม้าลพบุรี เลี้ยงม้าขี่ม้าอยู่กรมทหาร 3 ปีก็ปลดจากการเป็นทหาร ตอนนั้นก็ได้เริ่มออกเที่ยวไปในหลายจังหวัดหลายอำเภอ เที่ยวไปเที่ยวมาก็กลายเป็นเสือเป็นนักเลง ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายต่อหลายครั้งไม่ได้รับอันตรายเลย แคล้วคลาดปลอดภัยทุกครั้ง ในหลายจังหวัดอยู่ไม่ได้ชัยภูมิ-ร้อยเอ็ด-ศรีสะเกษ-บุรีรัมย์-สุรินทร์ที่ปะทะกับเจ้าหน้าที่นานที่สุดคือที่หมู่บ้านกระดาษ – บ้านโคกทม จังหวัดสุรินทร์ นานถึง 8 ชั่วโมง ก็หนีรอด และต่อมาก็ได้ย้อนกลับมาบ้าน เพราะคิดถึงโยมแม่ พอมาถึงบ้านพ่อแม่ตกใจเพราะหายไปนาน แม่บอกว่าเมื่อเช้านี่เองแม่ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ แม่นึกว่าเองตายไปแล้วเห็นหายไปนานถึงว่าสิแม่ผมอยู่ไม่ถูกเลย มันร้อนรนบอกไม่ถูก อยากจะกลับมาหาแม่ แม่บอกว่า อย่าอยู่เลยลูกเอ๋ยให้หลบไปก่อน ตำรวจมาตามหาที่บ้านทุกวันเลย จากนั้นในปี 2492 ก็ได้เดินทางหลบไปอยู่ที่ประเทศกัมพูชา 3 ปี และในปี พ.ศ.2495 ได้กลับมาที่ จังหวัดจันทบุรี อยู่ระยะหนึ่งก็ได้บวชอยู่กับ หลวงพ่อคง สุวณฺโณ ที่วัดวังสรรพรส ต.บ่อ อ.ขลุง จ.จันทบุรี ตอนที่จำพรรษาอยู่ วัดวังสรรพรสท่านให้เป็นผู้จารอักขระวัตถุมงคลที่ท่านสร้างท่านจะเขียนเป็นภาษาไทยมาให้ หลวงปู่ก็จะจาร
เป็นภาษาขอมให้ท่านเพราะว่าตอนนั้นท่านยังไม่เก่งภาษาขอม หลวงปู่เป็นผู้จารท่านจะเป็นผู้ปลุกเสกตอนหลัง ท่านเรียนรู้ท่านก็เก่งมากมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านทำพิธีปลุกเสกปลัดขิกของท่าน ท่านได้นิมนต์หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ มานั่งปลุกเสกร่วมท่านจะทำที่นั่งอยู่ที่สูงมาก จุดธูปเทียนอยู่ข้างบนท่านจะนั่งคู่กัน อยู่ที่สูงๆและหย่อนด้ายสายสินธุ์ลงมาที่กะละมังใบใหญ่ที่ท่าน ใส่น้ำลอยปลัดขิกเอาไว้ สายสินธุ์ที่ท่านหย่อนมาเส้นใหญ่มากๆเส้นเท่าแขน และท่านก็นิมนต์พระมานั่งล้อมรอบจับด้ายสายสินธุ์นั่งปรกอธิษฐานจิตที่กะละมังปลัดขิกอยู่ชั้นล่าง หลวงปู่ก็ได้นั่งปลุกเสกร่วมกับท่านด้วยเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ปลัดขิกวิ่งวนชนกันอยู่ในน้ำที่กะละมังใบใหญ่ ท่านบอกว่าตัวไหนมันตายจะไม่วิ่ง มันจะจมน้ำ ตัวไหนที่มันไม่ตายมัน จะวิ่งวนชนกันอยู่อย่างนั้นแหละ หลวงปู่เห็นกับตาอัศจรรย์จริงๆ ตอนนั้นหลวงปู่ไม่ได้จำพรรษาอยู่ กับท่านได้ออกธุดงค์และได้พัฒนาสร้างวัดสร้างศาลาสร้างพระอุโบสถไว้หลายแห่งที่ จ.จันทบุรี พ.ศ.2532 หลวงพ่อคงมรณภาพ จึงได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าอาวาสวัดวังสรรพรสแทน แต่อยู่ได้เพียง 6 พรรษา ก็ขอลาออกและธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับมาบ้านเกิดอยู่จำพรรษาที่วัดบ้านด่านช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ จนถึงปัจจุบันเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ชาวอีสานใต้และชาวกัมพูชาแถบชายแดน ให้ความเลื่อมใสศรัทธา ด้วยเป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม ยามได้รับกิจนิมนต์ไปงานบุญต่างๆ ไม่เคยปฏิเสธ แม้ว่าอายุจะย่างเข้าสู่วัยชราและมีปัญหาด้านสุขภาพตามวัย อีกทั้งเมื่อท่านรับกิจนิมนต์แล้วท่านจะต้องเดินทางไปถึงสถานที่งานก่อนเป็นประจำ ส่วนกิจนิมนต์ในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลตามวัดต่างๆ ท่านต้อง เดินทางเข้าร่วมพิธีเสมอ แม้จะไกลหรือจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ก็มีความสุขที่ได้ปฏิบัติเช่นนั้น ศิษย์ผู้คอยดูแลปรนนิบัติก็ไม่สามารถ ทัดทานได้ ด้านวัตถุมงคลที่อธิษฐานจิตปลุกเสกนั้น ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์เล่าขาน ทำให้บรรดานักสะสมนิยมพระเครื่องวัตถุมงคลต่างเสาะแสวงหามาบูชาครอบครองติดตัว เกียรติคุณบารมี รวมทั้งพุทธาคมและพลังจิตของท่าน ทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดสุรินทร์
ราคาเปิดประมูล80 บาท
ราคาปัจจุบัน100 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ20 บาท
วันเปิดประมูล - 05 ก.ย. 2565 - 13:22:41 น.
วันปิดประมูล - 06 ก.ย. 2565 - 17:03:48 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลthriphop09 (11K)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 05 ก.ย. 2565 - 13:22:59 น.



ตะกรุดเงิน


 
ราคาปัจจุบัน :     100 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     20 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    chatrchai_chan (1.5K)

 

Copyright ©G-PRA.COM