(0)
พระรอดเมืองใต้ พระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องพระรอดเมืองใต้ พระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ
รายละเอียดประวัติพระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ
ขรัวอีโต้ หรือหลวงพ่อขรัวอีโต้ เป็นภิกษุรูปหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย คือสมัยเสียกรุงครั้งหลังสุด (พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ประชาชนถูกกวาดต้อนไป เป็นเชลยยังกรุงหงสาวดีเป็นอันมาก รวมทั้งพระสงฆ์สามเณรด้วย ในจำนวนนั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง ได้ร่วมไปในกลุ่มเชลยศึกพร้อมทั้งโยมหญิง โยมชาย พี่ร่วมท้องน้องร่วมสายโลหิต ต้องตกไปเป็นเชลยพม่าอยู่เป็นเวลาแรมปี ภายหลังเมื่อโยมบิดามารดาที่ชราอยู่แล้ว และต้องตกระกำลำบากจากบ้านเกดเมืองนอนไปอยู่แดนศัตรู มีความทุกข์ระทมใจเป้นอย่างมากก็ถึงแก่ความตายทั้งสองท่าน

พระภิกษุรูปนั้นจึงหดความห่วงใย ไม่คิดจะอยู่ในหงสาวดีต่อไป ท่านจึงเล่าความในใจให้น้องสาวของท่านฟัง น้องสาวของท่านเห็นดีตามที่พระพี่ชายคิดไว้ พอได้ฤกษ์งามยามดีในราตรีกาลวันหนึ่ง พระภิกษุและน้องสาวจึงหลบหนีจากแดนเชลยในหงสาวดี มุ่งหน้าสู่กรุงศรีอยุธยา โดยเหตุที่ท่านเป็นผู้เรืองวิชาอาคม ท่านจึงพาน้องสาวของท่านหลบหนีข้าศึก รอนแรมมาในระหว่างทาง ค่ำที่ไหนก็หยุดพักนอนที่นั่น โดยใช้มีดอีโต้ที่ถือติดมือมาเล่มเดียว วางไว้ตรงกลางระหว่างตัวท่านนอนข้างหนึ่ง น้องสาวของท่านนอนข้างหนึ่ง รอนแรมเรื่อยมาเป็นเวลาแรมเดือน เล่ากันมาว่าจนผมยาวดังองคุลี เป็นที่ผิดสังเกต เพราะสมัยนั้นพระสงฆ์ 15 วันปลงผมครั้งหนึ่ง เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยาและบ้านเกิดแล้ว เห็นแต่บ้านร้างเมืองว่างเปล่าปรักหักพังไม่มีผู้คนอาศัย ต้องย้ายไปอยู่บางกอก ท่านจึงพาน้องสาวของท่านเดินทางต่อไปยังบางกอก แล้วพักอยู่จำพรรษาที่วัดเลียบ หรือวัดราชบุรณะในปัจจุบัน

ในวันสองวันนั้น ก็มีเหตุไม่ดีงามเกิดขึ้น โดยประชาชนโจทก์ขานกันว่า ท่านเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์บ้าง เป็นปราชิกบ้าง เพราะอยู่ร่วมด้วยสตรีมาเป็นเวลานาน ท่านไม่โต้ตอบด้วยประการใด แต่ยืนยันว่า ศีลของท่านยังบริสุทธิ์อยู่ ไม่ด่างพร้อยแม้แต่น้อย ประชาชนค้านว่า ใครจะเชื่อท่านได้ ท่านตอบว่า เราและน้องเรารู้ดี และอีโต้เล่มนี้แหละเป็นพยาน แล้วท่านก็ถืออีโต้เล่มนั้นเดินไปที่สระน้ำพร้อมกับประชาชน (สระนี้ เมื่อวัดอยู่ในสภาพเดิม ตั้งอยู่ระหว่างคณะ 14 กับคณะ 16 กว้างประมาณ 10 วา ยาวประมาณ 20 วา อยู่กลางวัด) สำหรับพระสงฆ์ใช้เป็นน้ำฉัน ผู้ใหญ่เล่าว่า เมื่อสมัยก่อน สระน้ำนี้เป็นสระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ มีหินใหญ่ลอยอยู่แผ่นหนึ่ง พระเณรเวลาจะเข้าแปลหนังสือเป็นมหาบาเรียญมักมาขออาบน้ำในสระนี้ ฯลฯ ต่อมามีคนไปทำสกปรกหินเลยจมหายไป ภายหลังเป็นที่ต่อมามีคนไปทำสกปรกหินเลยจมหายไป ภายหลังเป็นที่ปล่อยเต่า-ปลา มีเต่าใหญ่ ๆ ปลาใหญ่ ๆ มากปัจจุบัน ถูกถมเป็นที่สร้างเป็นอาคารพานิชซึ่งตรงข้าม ร.ร.สวนกุหลาบฝั่งวัดขณะนี้ พลางตั้งสัตย์อธิษฐานว่า "หากศีลจารวัตรของข้าพเจ้ายังบริสุทธิ์อยู่ ขอให้มีดโต้เล่มนี้จงลอยอยู่ผิวน้ำปรากฏแก่สายตาคนทั้งหลาย หากข้าพเจ้าวิบัติโดยศีลจารวัตรแล้ว ก็ขอให้มีดเล่มนี้จงจมลงในน้ำนี้ตามสภาพเถิด" อธิษฐานแล้วท่านก็โยนมีดลงไป ปรากฏเป็นที่มหัศจรรย์ยิ่ง เพราะมีดเล่มนั้นลอยน้ำประจักษ์แก่สายตาของประชาชนทั่วไปที่มุ่งดูอยู่ในที่นั้น

ด้วยความมหัศจรรย์นี้ ทำให้กิตติศัพท์ของท่านขจรไปอย่างรวดเร็ว ว่าท่านมีศีลาจารวัตรบริสุทธิ์จริง ๆ ประชาชนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ถึงกับขนานนาม ท่านว่า "ขรัวอีโต้ลอยน้ำ" เมื่อท่านแสดงความบริสุทธิ์ให้ปรากฏดังนั้นแล้ว จึงเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไปตลอด จนกระทั่งเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ จนสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพระราชทานสมณศักดิ์ที่ "สมเด็จพระศรีสมโพธิราชครู" แต่ประชาชนยังเรียกท่านว่า หลวงพ่อขรัวอีโต้ และสืบปากคำต่อกันมาจนปัจจุบันนี้ ในสมัยพระพุทธเลิศนภาลัย สมเด็จพระศรีสมโพธิราชครูได้ทิ้งผลงาน ที่ท่านสร้างไว้คือ พระเครื่องขนาดเล็กที่เรียกว่า "พระขรัวอีโต้ลอยน้ำ" ปรากฏหลักฐานการสร้างในจารึกแผ่นทอง ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือเล่มนี้

ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2472 ทางราชการได้สร้างสะพานพุทธฯ ขึ้นจึงได้รื้อเจดีย์ที่บรรจุออก ได้พระเครื่องเนื้อดินผสมที่เรียกกันว่า พระขรัวอีโต้จำนวน 84,000 องค์ และพิมพ์อื่น ๆ อีกหลายพิมพ์มากพอสมควร พระขรัวอีโต้จึงได้มีผู้นำไปสักการบูชาเป็นเครื่องรางของขลัง แพร่หลายไปในที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพา ทางวัดได้แจกแก่ทหารตำรวจ ตลอดจนพ่อค้าประชาชน เพื่อเป็นเครื่องบำรุงขวัญโดยมิได้มูลค่าแต่อย่างใด ในขณะนั้นไม่มีผู้นิยมเท่าไรนัก เพราะเห็นว่าเป็นพระใหม่ ๆ

ครั้งหนึ่ง พระเทพโสภณ (เมื่อท่านยังเป็นพระมหานิยมอยู่) กับนายโถม ศุภสุข กำนัน ต.เสนา อ. อุทัย จ.อยุธยา ได้ไปที่บ้านคุณพระศุลีสวามิภักดิ์ถนน พระสุเมรุ (ท่านคุณพระผู้นี้ เป็นผู้มีเกียรติที่ได้รับยกย่องโดยทั่วไปในหน้าที่กรรมการประกวดพระเครื่องพระบูชา ต้นไม้ สังคม ประเภทนี้รู้จักกันดี) เพื่อจะสนทนากับท่านด้วยธุระบางประการ และขอให้ท่านดูพระเครื่องสมเด็จให้ด้วย เมื่อท่านดูพระให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านจึงถามขึ้นว่า "คุณมหาอยู่วัดไหน เจริญพร อยู่วัดเลียบ" "อ้าวทำไมท่านไม่หาพระขรัวอีโต้วัดเลียบไว้บ้างล่ะ" แล้วท่านจึงเล่าให้ฟังว่า พระขรัวอีโต้มีอภินิหารมากเคยเสด็จมาอยู่ในกระเช้ากล้วยไม้ที่ผมแขวนไว้บนนี้ (ชั้น 2 ) ซึ่งชั้นนี้ไม่เคยมีใครขึ้นมา นอกจากผมกับยายเท่านั้น (หมายถึงคุณนายของท่าน) ผมเห็นทองสีเหลือง ๆ ชั้นต้นนึกว่าไม่ใช่พระ เมื่อหยิบขึ้นมาดูแล้วจึงรู้ว่า "เอ๊ะ นี่ พระขรัวอีโต้ เอ๊ะมาอย่างไร" ทำให้ท่านเกิดพลังความเลื่อมใสยิ่งขึ้น ท่านเล่าว่าท่านเลยต้องไปขอท่านเจ้าคุณธรรมดิลก (โสม) วัดราชบุรณะมาให้คุณนายอีก 1 องค์

เรื่องอภินิหารของพระขรัวอีโต้ มีผู้เล่าลือกันมากว่ามีอภินิหารเท่า ๆ กับสมเด็จวัดระฆังหรือพระรอดก็ว่า ที่ว่ามีอภินิหารนั้นคือ ดีทางค้าขาย เมตตามหานิยม อยู่คง แคล้วคลาด คลอดลูกง่าย ฯลฯ จะจริงหรือไม่นั้น ขอผู้สนใจโปรดติดตามดูตามฟังด้วยตนเถิด

แต่จะอย่างไรก็ตาม ที่สำหรับอภินิหารนั้น น่าจะขึ้นอยู่แก่ผู้นับถือกราบไหว้บูชา ดังจะขอนำเรื่องมาเล่าให้ฟังพอเป็นเครื่องระงับดับร้อนอีกเรื่องหนึ่ง นายขัน ภารโรง ร.ร.เทศบาลวัดราชบุรณะ มาปรารภกับอาจารย์ผู้เขียนว่า ผมรู้สึกลำบากใจมาก งาน ร.ร. ก็ยุ่ง แม่เด็กก็ท้องก่ใกล้จะคลอด เมื่อคลอดแล้วอ้ายเล็กกับอ้ายออด (หมายถึงลูกคนหัวปีและคนรอง) เอาชีวิตแทบไม่รอด ต้องส่งโรงพยาบาล ทั้งสองครั้ง แม้ส่ง ร.พ. แล้วก็ยังคลอดยากเย็นทบปางตาย คราวนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ผมก็อยู่กันเพียงสองคนเท่านั้น

อาจารย์ผู้เขียนจึงปลอบใจว่า ไม่ต้องตกใจจะให้สมเด็จขรัวอีโต้สัก 1 องค์ เขาเล่ากันว่าทำน้ำมนต์เสดาะวิเศษนักโดยเมื่อเริ่มเจ็บท้องก็ตักน้ำมา 1 ขัน แล้วจุดธูปเทียนบูชาหลวงพ่อขรัวอีโต้ใส่ลงไปในขันน้ำมนต์พอธูปไหม้ประมาณครึ่งดอก ก็ใช้ได้แล้วก็นำน้ำมนต์นั้นให้ผู้เจ็บท้องอธิษฐานก่อนแล้วดื่ม และเอาน้ำมนต์จบศีรษะ 3 ครั้ง จะคลอดง่าย

ครั้นถึงวันจะคลอดในเวลาต่อมา นายขันก็จัดแจงตั้งขันน้ำมนต์และจุดธูปเทียนแล้วอธิษฐานขอบารมีสมเด็จขรัวอีโต้ดังกล่าว เมื่อเวลาล่วงไปเล็กน้อย ก็ให้ภรรยา(นางองุ่น) ดื่มน้ำมนต์แล้วตบศีรษะ 3 ที ต่อจากนั้นก็เดินออกไปหน้าวัด เพื่อจะไปตามนางบุญมาหมอตำแย ซึ่งขณะนั้นพักอยู่ที่หน้าวัด ระยะเวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที หมอตำแยยังมิทันถึงบ้านพักใน ร.ร. ภรรยาของนายขันก็คลอดลูก และปลอดภัยทุกอย่าง ซึ่งนับว่าเป็นปาฎิหาริย์ของหลวงพ่อขรัวอีโต้จริง ๆ

รุ่งขึ้นอีก 2 วัน เป็นเวลากลางคืน นายขันนำพระเครื่องของแกที่สะสมไว้นานมาแล้ว 1 ห่อ มาถวายอาจารย์ผู้เขียน โดยกราบขอบคุณแล้วขอบคุณอีก และพูดว่า "พระห่อนี้เก่าใหม่มีหลายองค์ ผมถวายท่าน ผมถือองค์เดียวที่ท่านให้พอแล้ว" แล้วนายขันก็อมพระขรัวอีโต้ไว้ในปากเสมอ ตั้งแต่สมัยนั้นจนกระทั้งบัดนี้ ซึ่งขณะนี้ได้เปิดร้านตัดผมอยู่ที่บ้านเศรษฐกิจฝั่งธนบุรี
ราคาเปิดประมูล100 บาท
ราคาปัจจุบัน1,100 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ50 บาท
วันเปิดประมูล - 27 ก.พ. 2567 - 20:56:32 น.
วันปิดประมูล - 29 ก.พ. 2567 - 00:27:27 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลRainbow1990 (359)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 27 ก.พ. 2567 - 20:57:04 น.



...


 
ราคาปัจจุบัน :     1,100 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     50 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    wiseleo (1.1K)

 

Copyright ©G-PRA.COM