***สัปคับบนหลังช้างจะมีอาวุธเก็บไว้สำหรับให้กลางช้างส่งให้กษัตริย์หรือแม่ทัพในการทำศึก อาวุธต่างๆได้แก่ ทวน ง้าว โตมร(รูปเหมือสามง่ามหรือตรี) ปืน หอกซัด เป็นต้น
***นักประวัติศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่า ในการทำยุทธหัตถีจริงของพระนเรศวรนั้น ไม่น่าจะมีสัปคับบนหลังช้าง เพราะสัปคับมีน้ำหนักมาก จะไม่สะดวกต่อการทำยุทธหัตถี น่าจะมีแต่ตำแหน่งกลางช้างและท้ายช้าง อยู่บนหลังช้างเปล่า ดังจะเห็นในรูปวาดตอนยุทธหัตถีประกอบหนังสือเรียนประวัติศาสตร์สมัยเรายังเด็ก ส่วนใหญ่จะวาดตามแนวคิดนี้
***แต่ก็เป็นไปได้ครับว่า ในคราวยุทธหัตถีระหว่างพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชมังกะยอชวานั้น มีสัปคับบนหลังช้างทั้งสอง เพราะว่าช้างทรงของทั้งสองพระองค์เป็นช้างทรงของกษัตริย์และทรงเป็นแม่ทัพด้วย ช้างทรงจึงน่าจะได้รับการแต่งเต็มยศเพื่อให้สมพระเกียรติในการนำทัพ
***อีกทั้งในความเป็นจริง ทั้งสองพระองค์ก็ไม่ได้ตั้งใจมาทำยุทธหัตถีกัน เป็นอุบัติเหตุที่ช้างทรงของพระนเรศวรไล่ตามตีกองหน้าของพม่าหลงเข้าไปถึงใจกลางทัพหงสาวดี ถ้าพระมหาอุปราชาสั่งให้ทหารพม่าลุมทำร้ายองค์พระนเรศวร สงครามครั้งนั้น อยุธยาก็คงพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบเห็นว่ามีเพียงวิถีทางเดียวที่จะชนะศึกได้ ก็ด้วยการชิงจังหวะท้าทายพระมหาอุปราชให้มาทำยุทธหัตถีชนช้างกัน และพระองค์ทรงเล็งเห็นแล้วว่า ด้วยขัติยะมานะของกษัตริย์ พระมหาอุปราชจำต้องรับคำท้าทายดังกล่าว
***จากเดิมพันที่ไทยเป็นรองสุดกู่ทั้งจำนวนพลในกองทัพ (พม่า 240,000 นาย ไทย 100,000 นาย) และเป็นรองทั้งสถานการณ์ในจังหวะนั้น (แม่ทัพตกไปอยู่กลางวงล้อมข้าศึก) ด้วยพระปรีชาสามารถขององค์กษัตริย์ไทย จึงสามารถพลิกสถานกาณ์กลับมาเป็นฝ่ายชนะได้อย่างเหลือเชื่อจริงๆ
***และการชนช้างทำยุทธหัตถีในคราวนั้น น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์แล้วครับ เพราะว่าในสมัยนั้น มีการนำปืนไฟมาใช้ในการศึกกันอย่างแพร่หลาย การนำช้างศึกเข้าไปทำสงครามระยะประชิด จะเป็นเป้าเด่นชัดของปืนไฟ เป็นอันตรายอย่างสูงต่อแม่ทัพผู้อยู่หลังช้าง |
|