ชื่อพระเครื่อง | ...(((หาตังค์ซื้อของขวัญให้เเม่ครับ))) เเดงไวๆทุกรายการครับ ภาพสเก็ต ขาวดำ รุ่นเเรก ปี2509 หลวงปู่เผือก วัดสาลิโข ขนาดห้อยคอ... |
รายละเอียด | ประวัติ หลวงปู่เผือก วัดสาลีโข จังหวัดนนทบุรี และวัตถุ มงคลต่างๆ หลวงปู่เผือก (พระครูธรรมโกศล) วัดสาลีโขภิตาราม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เป็นชาวเมืองพระนครศรีอยุธยา มิได้ปรากฏหลักฐานว่าบิดามารดา ของท่านมีชื่อเสียง เรียงนามว่ากระไร และตั้งบ้านเรือนอยู่ในตำบลไหน ทราบแต่ว่า ตอนที่ หลวงปู่เกิด ท่านเป็นเด็กผิวขาวจัดจนผิดปกติกว่าเด็กทั่วไป บิดามารดาจึงตั้งชื่อตามนิมิตว่า "เผือก" เพื่อให้ตรงกับผิวพรรณของท่าน
พออายุ ๑๓ ขวบ เด็กชายเผือก ได้บรรพชาเป็น สามเณร ณ วัดใกล้บ้าน เริ่มศึกษา อักขรสมัยในสำนักวัดนั้น จนแตกฉานพอสมควร ก็สนใจศึกษาคาถา เวทมนตร์ต่างๆ ต่อมาได้เข้ามาศึกษาในสำนักวัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นสำนักที่มีชื่อ ที่สุดในยุคนั้น ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดใกล้ๆ บ้านเกิด ได้ศึกษาอักขระสมัยและเวทมนต์คาถา ตามประเพณีนิยมจนแตกฉาน จากนั้นก็ได้ไปศึกษาต่อที่ วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นสำนักพุทธาคมและไสยศาสตร์อันขึ้นชื่อของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งสำนักวัดป่าแก้วนี้ก็เป็นที่พำนักของ สมเด็จพระพนรัต ผู้เป็นพระอาจารย์ใน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สำนักนี้เป็นสำนักที่รวบรวมสรรพวิชาทางพทธาคมและไสยศาสตร์เอาไว้มากมายหลายแขนงวิชา แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าตำราเหล่านี้ได้มีการพลัดกระจายไปหลายแห่งเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2310
มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า หลวงปู่เผือกเป็นพระเถระผู้มักน้อย นิยมสันโดษ และยินดีเจริญสมณธรรม อยู่ในเสนาสนะอันสงบ สงัดตามป่าเขา ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยได้บรรลุผลตามสมควร พร้อมทั้งเป็นผู้คงแก่เรียนในพุทธศาสตร์วิทยาคมชั้นสูง รอบรู้ตำรับพิชัยสงคราม และศาสตร์อื่นๆ อีกนานาประการ ชอบออกปฏิบัติธุดงควัตรเป็นนิจมิได้ขาด
เมื่อมีอายุครบ 20 ปี หลวงปู่เผือกก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่ วัดป่าแก้ว นั้นเอง และได้ศึกษาทั้งวิปัสสนากรรมฐานกับวิทยาคมมาโดยตลอด เมื่อถึงเวลาออกพรรษาท่านก็จะออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรเป็นประจำทุกปี แม้วัยของหลวงปู่เผือกตอนนั้นจะยังหนุ่มๆ อยู่แต่ก็มีความศักด์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านแล้วเหมือนกัน ต่อมาเมื่อครั้งที่พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาและก่อนที่กรุงจะแตกนั้น ได้เกิดอาเพศขึ้นหลายอย่างอันเป็นลางบอกเหตุร้ายของแผ่นดิน โดยเฉพาะที่วัดป่าแก้วได้ปรากฏมีอีกาตัวหนึ่ง บินมาปะทะยอดนพศูลพระเจดีย์องค์ใหญ่ภายในวัด แล้วถูกเหล็กแหลมบนยอดนพศูลเสียบตายอยู่บนยอดนั้น หลวงปู่เผือกเห็นเป็นนิมิตร้าย จึงซักชวนลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านที่นับถือศรัทธาอพยพหนีภัยข้าศึกลงมาทางใต้ของกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้นได้มีลูกศิษย์และชาวบ้านอพยพมากับหลวงปู่เผือกหลายสิบครอบครัว ระหว่างทางก็ยังมีชาวบ้านร่วมอพยพสมทบอีกก็หลายครอบครัว เนื่องจากชาวบ้านร่วมเดินทางมาเป็นจำนวนมาก และต้องคอยหลบหลีกกองทัพพม่าระหว่างทางด้วย หลวงปู่เผือกจึงได้สร้างเครื่องรางของขลังตลอดจนลงอักขระบนผิดหนังให้แก่ชาวบ้านเหล่านั้น เพื่อเป็นสิ่งบำรุงขวัญกำลังใจและคุ้มครอบป้องกันอันตราย และได้ปลุกเสกใบไม้ให้นำไปติดหรือเหน็บไว้ตามเกวียนและข้าวของต่างๆ ในขบวนอพยพ เพื่อเป็นเครื่องกำบังตาจากทหารพม่า ระหว่างทางหากว่าชาวบ้านในขบวนอพยพเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงปู่เผือกก็จะเสกน้ำมนต์ให้ดื่มและใช้คาถาอาคมรักษา
ขบวนอพยพที่มีหลวงปู่เผือก ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพระอาจารย์หนุ่มเป็นผู้นำ ได้เดินทางโดยยึดเอาฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหลักระหว่างทางได้สวนกับกองทัพพม่าเป็นบางครั้ง แต่ทหารพม่ากลับมองเห็นขบวนอพยพเป็นดงไม้ขนาดใหญ่จึงไม่สนใจ ขบวนอพยพจึงเดินทางลงใต้มาเรื่อยๆ จนถึงทุ่งสามโคก เมืองปทุมธานี ก็พอดีมีขบวนชาวบ้านที่อพยพมาที่หลังได้ตามมาทันที่นี้พอดี และบอกว่าตอนนี้กรุงศรีอยุธยาได้เสียแก่ทหารพม่าแล้ว หลวงปู่เผือก จึงเร่งขบวนอพยพให้รีบเดินทางลงใต้ โดยมีจุดหมายอยู่ที่เมืองธนบุรี แต่พอมาถึงบริเวณ บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ในปัจจุบัน ก็ได้พบชาวบ้านจากเมืองธนบุรีอพยพสวนทางขึ้นมา แล้วแจ้งข่าวว่าเมืองธนบุรีก็ถูกทหารพม่าตีแตกแล้ว และจะพากันขึ้นไปพึ่งกรุงศรีอยุธยาหลวงปู่เผือกจึงบอกว่ากรุงศรีอยุธยาก็ถูกทหารพม่าตีแตกแล้วเหมือนกัน ขบวนชาวบ้านที่อพยพจากกรุงศรีอยุธยาและจากเมืองธนบุรีจึงต้องชะงักอยู่ที่ตรงนั้น ซึ่งนับแล้วก็มีเป็นพันๆ คน บังเอิญหลวงปู่เผือก นึกขึ้นมาได้ ว่าที่ตรงแนวโค้งเบื้องหน้าแม่น้ำเจ้าพระยาตรงข้ามกับเกาะเกร็ด มีทุ่งนาข้าวสาลีขึ้นเต็ม เจ้าของที่นาเป็นผู้หญิงสองคนพีน้องชื่อ บุญมี กับ บุญมา ได้เคยถวายที่ตรงนี้แก่หลวงปู่เผือกเมื่อครั้งที่ท่านเดินธุดงค์ผ่านมาที่ตรงนี้ และครั้งนั้นหลวงปู่เผือกก็ได้สร้างเป็นสำนักสงฆ์เล็กๆ ขึ้นเพื่อให้พระสงฆ์ได้พำนักและจำพรรษาที่ทุ่งข้าวสาลีแห่งนั้นด้วย
เมื่อนึกขึ้นได้หลวงปู่เผือกก็นำชาวบ้านในขบวนอพยพเหล่านั้น มาพักหลบซ่อนตัวจากทหารพม่าที่ทุ่งข้าวสาลีแห่งนั้นและได้ประกอบพิธีบูชาพระรัตนตรัยและบวงสรวงเทพยดาที่สำนักสงฆ์ เพื่อขอความเป็นสิริมงคล และปราศจากภัยอันตรายต่างๆ ทั้งปวงหลวงปู่เผือกและชาวบ้านจึงพำนักที่ทุ่งข้าวสาลีนั้นมาตลอดระหว่างที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาวการณ์ของสงคราม ต่อมาเมื่อ สมเด็จพระเจ้าตามสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราชของบ้านเมือง แล้วปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ขึ้นครอบราชย์ และปราบชุมนุมต่างๆ จนราบคาบจนบ้านเมืองเริ่มเข้าสู่ปกติสุข หลวงปู่เผือกจึงให้สร้างวัดขึ้นที่ทุ่งข้าวสาลีแห่งนั้นขึ้น และตั้งชื่อวัดว่า วัดสาลีโข โดยถือเอาสถานที่ตั้งของวัดเป็นนิมิตหมายมงคลซึ่งหมายถึง วัดที่มีข้าวสาลีขึ้นเต็มท้องทุ่ง ส่วนชาวบ้านที่อพยพมาหลบภัยกับหลวงปู่เผือกนับเป็นพันๆ คนนั้น เมื่อเห็นว่าบ้านเมืองกลับเข้าสู่ปกติดีแล้ว ต่างก็พากันกราบลาหลวงปู่เผือกกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม แต่ชาวบ้านบางส่วนก็ตั้งรกรากอยู่ที่บริเวณทุ่งข้าวสาลีแห่งนั้นต่อไป
ครั้งเมื่อเข้าสู่ สมัยรัตนโกสินทร์ กิตติศัพท์ของหลวงปู่เผือกก็เป็นที่กล่าวขวัญกันมากขึ้น มีชาวบ้านมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์กันมาก ส่วนมากก็จะมาขอเครื่องรางของขลัง บ้างก็มาขอให้หลวงปู่เผือกลงกระหม่อม หรือสักยันต์บนลำตัวให้ ส่วนกิจการทางพระศาสนาหลวงปู่เผือกก็ทำนุบำรุงเป็นอย่างดี จนเมื่อ - พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงทราบในเกียรติคุณ จึงทรงพระราชทานสมณศักดิ์แก่หลวงปู่เผือกเป็น พรครูธรรมโกศล ในปี 2399 และมอบตราประจำตัวหลวงปู่เผือก คือตราสัญจกร ตำแหน่งของหลวงปู่เผือก ทำหน้าที่เป็น สังฆปาโมกข์ คือเป็นพระครูหัวหน้าสงฆ์ ซึ่งตอนนั้นหลวงปู่เผือกมีอายุเกือบๆ จะหนึ่งร้อยปีแล้ว แต่ร่างกายของท่านยังแข็งแรงและคล่องแคล่วดีอยู่
ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมอบหมายให้หลวงปู่เผือกเป็น สังฆปาโมกข์สระบุรี และเป็นแม่งานคุมงานนมัสการพระพุทธบาทสระบุรีเป็นประจำทุกปี พร้อมก็ได้ทรงถวายเรือหลวงและฝีพายพร้อมสำหรับหลวงปู่เผือกออกตรวจการคณะสงฆ์ในแต่ละครั้ง หลวงปู่เผือกได้ปฏิบัติสาสนกิจอย่างขันแข็งมาโดยตลอด เป็นที่นับถือศรัทธาของชาวบ้านกันกว้างขวางหลายหัวเมือง จนกระทั่งมรณภาพ ปี พ.ศ. 2405 อย่างสงบในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ด้วยโรคชราขณะมีอายุได้ 106 ปี แม้ว่าหลวงปู่เผือกจะได้มรณภาพไปนานร้อยกว่าปีแล้ว แต่บารมีความศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็ยังคงปกป้อมคุ้มกรองลูกศิษย์ลูกหา และชาวบ้านที่ศรัทธามาจนตราบเท่าทุกวันนี้
รูปถ่ายรุ่นแรก ๆ ของหลวงปู่เผือก ธัมมโกสโล วัดสาลีโขภิตาราม ปากเกร็ด นนทบุรี แน่นอนครับ เพราะรูปนี้จะมีลักษณะที่ "มิได้ถ่ายภาพจากองค์หลวงปู่เผือกที่เป็นรูปหล่อมาโดยตรง" หากใช้รูปหลวงปู่เผือกที่เป็นการ "สเก็ตช์" หรือ "วาด" ขึ้นตามคำบอกเล่าของท่านเมื่อตอนประทับทรงองค์หลวงพ่อสาลีโขโดยอาจารย์จิตร์ บัวบุศม์ เป็นผู้วาด(((กล่าวคือนิมิตร เฉกเช่น หลวงปู่ทวดเเละอาจารย์ทิม วัดช้างไห้))) เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการหล่อรูปเหมือนหลวงปู่เผือกนั่งสมาธิขนาดประมาณเท่าครึ่งของคนจริงในปี พ.ศ. 2509
ดังนั้น คณะศิษย์จึงขออนุญาตต่อหลวงปู่เผือกและหลวงพ่อสาลีโข ใช้รูปวาดขาวดำนี้ทำเครื่องมงคลขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีด้วยกัน 2 ขนาด คือ ภาพหลวงปู่เผือกล้อมด้วยอักขระเลขยันต์เต็มอัตราศึกขนาดบูชาประมาณ 5 คูณ 7 นิ้ว และภาพขาวดำลงอักขระ(ในตัวมิใช่จารสด)ขนาดห้อยคอ ส่วนภาพนี้ขนาด 3 คูณ 4.1 ซม. สวยครับ
จัดราคาพิเศษทุกรายการครับ
เก็บเล็กผสมน้อย จัดราคาพิเศษ ทุกรายการครับ หาตังค์ซื้อของขวัญให้เเม่้ 12 ส.ค.54ครับ
...พระสวย พระสะสมผมเองครับ เปิดราคาเเดงไวๆครับ
...โอนเเล้วรบกวนเมล์เเจ้งหรือโทรบอกด้วยครับ เพราะบางทีมียอดเข้ามาตรงกัน ผมจะได้ไม่เสียเวลาตรวจสอบว่าเป็นยอดเงินท่านใด เเละจะได้ทำการจัดส่งให้ทันทีครับ
...รับประกันพระเเท้ตามกฏให้หมดใจครับ |
ราคาเปิดประมูล | 100 บาท |
ราคาปัจจุบัน | 820 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!) |
เพิ่มขึ้นครั้งละ | 20 บาท |
วันเปิดประมูล | - 09 ส.ค. 2554 - 21:30:45 น. |
วันปิดประมูล | - 10 ส.ค. 2554 - 21:38:32 น. (ปิดประมูลแล้ว) |
ผู้ตั้งประมูล | pigcity (2.5K)
|