(0)
พระผงวิสุทธิเทพ พิมพ์หนา แก่น้ำมันชาตรี และมีจีวร และมวลสารสำคัญของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ มากมาย สร้างปี 2530








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องพระผงวิสุทธิเทพ พิมพ์หนา แก่น้ำมันชาตรี และมีจีวร และมวลสารสำคัญของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ มากมาย สร้างปี 2530
รายละเอียดพระผงวิสุทธิเทพ พิมพ์หนา หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง สร้างปี 2530 พิเศษพิมพ์หนาหายากสร้างน้อย กดพิมพ์ในวัดพระสร้างกันเองจึงรวมมวลสารผงหลวงพ่อมากที่สุด พอพุทธาภิเษกเสร็จหลวงพ่อสั่งให้เก็บไว้ จึงมีไม่มากนักเนื่องจากสร้างน้อยส่วนใหญ่จะได้เฉพาะพระที่วัดและลูกศิษย์
**************************************
พระคำข้าวรูปพระวิสุทธิเทพ พิมพ์หนาแก่น้ำมันชาตรี หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงสร้าง

พระรุ่นนี้สร้างออกมาราวๆปี 2530 ครับมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ ก็คือเป็นแบบพิมพ์บาง และพิมพ์หนา

--- ด้านหน้าเป็นรูปพระวิสุทธิเทพปางพระนิพพาน อักษร บนซ้ายเขียนว่า "พุท" ด้านขวาเขียนว่า "โธ" อักษรที่เหลือเป็นคำว่า "นะ มะ พะ ธะ" เป็นหัวใจของธาตุสี่ หรืออีกนัยนึงก็คือคำย่อของคำว่า "นมัสการพระพุทธเจ้า" เป็นคำที่ใช้ในการฝึกมโนมยิทธิ (ลูกหลานหลวงพ่อคงทราบดี)

--- ด้านหลังเป็นรูปยันต์เกราะเพชร

ส่วนพิมพ์หนานั้นจะเป็นเนื้อผงแก่น้ำมันชาตรี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพิมพ์หนานี้จะมีการผสมเกศาของหลวงพ่อ..มากกว่าพิมพ์บางครับ ทำให้พบเห็นเกษาได้ง่ายกว่าพิมพ์บางครับ และเท่าที่ทราบนอกจากเกศาแล้วยังมีเศษของผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม ผงพระคำข้าว มวลสารที่สำคัญอีกหลายอย่างของหลวงพ่อผสมด้วยครับ

ส่วนสีของน้ำมันชาตรีนั้น เวลาที่ผสมกับองค์พระไปแล้วก็จะมีสีต่างๆ เช่นสีเขียวหยก , สีส้มอ่อนออกเหลือง , สีส้มเข้มออกน้ำตาลไหม้เป็นต้นครับ

สำหรับองค์ในภาพนี้เป็นพิมพ์หนาแก่น้ำมันชาตรี พุทธานุภาพ ก็จะเด่นทางด้านป้องกัน และโชคลาภเป็นหลักส่วนที่เหลือแล้วแต่ลูกศิษย์จะอาราธนาขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ครับ

พระวิสุทธิเทพคือเทพที่บริสุทธิปราศจาก กิเลสทั้งปวง อยู่บนพระนิพพานทั้งหมด...

ข้อมูลที่ผมสอบถาม ผท่านที่มีซีดีบันทึก ที่หลวงพ่อได้กล่าวไว้ พอสรุปได้ดังนี้

เรื่องพุทธคุณก็ครอบคลุมทุกอย่าง หลวงพ่อ บอกว่าพิธีนี้สมบูรณ์ที่สุด (ครั้งที่ 1-8 ไม่เท่า) องค์สมเด็จฯ ท่านเสด็จมา และมวลสารนั้นเยอะมาก ๆ ขนาดเรื่องเกศาอย่างเดียว ครกหนึ่งใส่ทีละเป็นกำก็ว่าได้ ถ้าเป็นรุ่นอื่น ๆ ก็แค่หยิบใส่น้อย ๆ กลัวจะหมด ไหนจะจีวร ผงพุทธคุณ ของพิเศษที่หลวงพ่อเก็บไว้ ฯลฯ ซึ่งพระในวัดช่วยทำกันเองล้วน ๆ หลังเจริญกรรมฐาน ทำได้ประมาณ 10,000 องค์ และก็ผาติกรรมเผื่อตัวท่านเองไม่กี่องค์...
ราคาเปิดประมูล100 บาท
ราคาปัจจุบัน4,200 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ100 บาท
วันเปิดประมูล - 27 ก.พ. 2555 - 21:53:56 น.
วันปิดประมูล - 29 ก.พ. 2555 - 16:23:08 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลศุภกิจอธิคม (2K)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 27 ก.พ. 2555 - 21:54:47 น.



ด้านข้าง...เห็นมวลสารอื่นๆ และน้ำมันชาตรีชัดเจนครับ

อานุภาพน้ำมันชาตรี

น้ำมันสังคโรคหรือน้ำมันชาตรีตำรับหลวงปู่ปาน
ถาม : ..................................

ตอบ : น้ำมันสังคโรคก็คือน้ำมันชาตรีที่ หลวงปู่ปาน ท่านทำ ท่านเอามาให้พวกเราใช้ก่อนน้ำมันชาตรีหลายปี ท่านไม่ได้บอกว่าเป็นน้ำมันชาตรี คือว่าหลวงพ่อท่านกลับไป กลับไป วัดบางนมโค กลับไปเยี่ยมวัดเก่านั่นล่ะ แล้วท่านก็ขึ้นกุฏิเก่าของท่าน ท่านบอกว่าอะไรต่อมิอะไรมันปล่อยรกรุงรังหมด ข้าวของอะไรที่เคยเป็นของหลวงปู่ ที่หลวงพ่อท่านรักษาเอาไว้ดี มันก็ปล่อยกระทั่งฝุ่นจับหยากไย่ขึ้นเละเทะไปหมด
ท่านบอกว่าอะไรก็ไม่ว่าหรอก ไปเจอขวดน้ำมันชาตรีหลงอยู่มันแห้งเกือบจะติดก้นขวดท่านบอกว่าเห็นเข้าก็ดีใจแทบตาย ก็ไปถามเขาบอกว่าขอได้มั้ย ? เขาบอกว่าเอาไปเหอะขวดเก่าๆ น้ำมันชาตรีนี่มีอานุภาพพิเศษก็คือเติมเท่าไหร่ก็ตามอานุภาพยังเหมือนเดิม แต่ท่านไม่ได้บอกเราเพราะว่าอนุภาพของน้ำมันชาตรีถ้าเราสังเกตหลวงพ่อท่านจะเน้นเรื่องรักษาโรค

คำว่าสังคโรคมันแปลว่ารวมทุกโรค คราวนี้น้ำมันชาตรีนี่ท่านจะเน้นทางรักษาโรค เพราะว่าถ้าไม่เน้นคนมันเอาไปใช้นี่ดีไม่ดีเละ เพราะว่าเห็นคาๆ ตามาว่าคนโดน ๑๑ ม.ม. ชนิดที่กระสุนแบนแต็ดแต๋ติดเอวเลย เขาบอกไม่รู้สึกอะไร รู้สึกเหมือนกับตัวเเมงบินมาชน มันได้ขนาดนั้น แล้วลองคิดดูว่าถ้าเกิดคนมันเฮี้ยนขึ้นมามันไม่ตีกันกระจายทั้งบ้านทั้งเมืองหรือ ใครๆ รักจะเป็นนักมวยก็เอา

หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านขโมยน้ำมันชาตรีหลวงปู่มาครึ่งขวดยานัตถุ์ขโมยเลย พอหลวงปู่กลับมาถามว่าใครขโมยน้ำมันวะ ? บอกว่าผมเองครับ บอกแล้วมึงขโมยทำไมวะ ? ผมคิดค่าเฝ้ากุฏิครับ (หัวเราะ) ไม่ได้ขโมยค่าเฝ้ากุฏิ เออมีมึงคนเดียวล่ะที่กล้าพูดอย่างนี้ แล้วเสร็จแล้วท่านก็บอกว่าให้ เจ้าอั๋น ลูกศิษย์ที่จะขึ้นชกมวย เจ้าอั๋นเวลาขึ้นชกมวยใช้ชื่อนิตย์ ท่านก็เอาก้านไม้ขีดก้านธูปอะไรนั่นล่ะ จิ้มแล้วเจิมหัวให้มันไป ไปชกชนะน็อคเขามายกสาม ถามมันบอกตอนชกรู้สึกยังไง มันบอกว่าเวลาคู่ต่อสู้เตะมาต่อยมาโดนน่ะโดนจังๆ แต่รู้สึกว่ามันเบาเหมือนไม่มีน้ำหนัก

โบราณท่านถึงได้เรียกน้ำมันชาตรีว่า ลูกเบา โดนอะไรมันเบาไปหมด ไม่เบาได้ยังไงล่ะ ฟูลเมตัลเเจ๊คเก๊ตนะ หัวตันน่ะความเร็ว ๙๕๐ ฟูตต่อวินาที นี่แรงปะทะของมันนี่นักมวยปล้ำตีลังกาแล้วโยมผู้หญิงผอมๆ แห้งๆ โดนเข้าไปเต็มเอวแบนเเต๋ติดอยู่อย่างกับประเภทเอาดินเหนียวไปแปะเลยล่ะ นั่นล่ะเขาบอกมันรู้สึกเหมือนยังกะแมงมันบินมาชน เราก็ขอดูแผลมันแดงๆ หน่อยเดียวเอง เหมือนยังกับเราเอาอะไรไปขว้างแรงๆ ใส่หน่อยแค่นั้นน่ะ หนังมันเป็นสีแดงๆ

ถาม : อันนี้นี่คือทาไว้ก่อนหรือว่า ?

ตอบ : เขาบอกว่าเขากินวันละช้อน (หัวเราะ) หรืออาจจะเอาอย่าง พี่อาจินต์ ก็ได้ พี่อาจินต์เขากินวันละแก้ว พักเดียวอ้วนปี๋เลย ใครเห็นรูปเก่าๆ หลวงพี่อาจินต์ แหม....หนุ่มน้อยเอวบาง เล่นน้ำมันชาตรีวันละเเก้วพักเดียวล่ะ ตันตึ๊กเลย

ถาม : แล้วเวลาเติมนี่ต้องใช้น้ำมันอะไร ?

ตอบ : จริงๆ แล้วใช้ น้ำมันมะพร้าว ก็ได้ น้ำมันพืชก็ได้อะไรก็ได้ แต่ว่านิยม น้ำมันงา เพราะกลิ่นมันหอม ใช้น้ำมันชาตรีเติมลงไปในน้ำมันใหม่อย่าเอาของใหม่เททับของเก่า ถ้าของใหม่เททับของเก่าของเก่าจะเสื่อมไปด้วย ให้เอาของเก่าเทใส่ของใหม่ ไม่ต้องว่าคาถงคาถาอะไรทั้งนั้นล่ะเทลงไปเฉยๆ ด้วยความเคารพก็พอ

ถาม : หลวงพ่อค่ะทำไมน้ำมันงาแพงจังค่ะ ?

ตอบ : ก็มันอาจจะเป็นเพราะคนใช้น้อย เขาผลิตน้อยมันก็ต้องขายแพงหน่อยไม่งั้นมันไม่คุ้มต้นทุนเขาน่ะ

ถาม : แล้วจะใช้....?

ตอบ : จะกินจะทาอะไรก็ได้ แต่ว่าถ้ารักษาโรคลองเอาแตะเนื้อดูก่อน ถ้าหากว่าร้อนรักษาโรคไม่หาย แต่ถ้าหากว่าปกติหรือหากว่าเย็นโรคอะไรก็รักษาได้

ถาม : เฉพาะคนเหรอค่ะหลวงพ่อ ?

ตอบ : ถ้ารักษาสัตว์นี่เราไม่รู้จะลองยังไง มันบอกว่าเย็นได้มั้ยล่ะ ถ้ามันบอกได้ก็เอา น้ำมันชาตรีเป็นวิชาการที่ทำยากที่สุดตามสายของหลวงพ่อ ต้องรอพระท่านอนุญาตเท่านั้นถึงจะทำได้ ไม่งั้นต่อให้คุณได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ อะไรก็ไม่ได้ทั้งสิ้น หลวงพ่อท่านบอกว่าในชีวิตท่านเห็นแค่ ๒ องค์ที่ทำได้คือ หลวงปู่ปาน กับ อาจารย์โภคา ลืมถามท่านไปว่าอาจารย์โภคาอยู่วัดไหนหรือว่าเป็นฆราวาสที่ไหน

สมัยที่เคยได้ยินคำว่าน้ำมันชาตรีครั้งแรกก็ได้ยินจาก ครูเขตร นั้นล่ะ เพราะท่านสอนวิธีตั้งธาตุ ปลุกธาตุ เรียกธาตุเข้าตัวอะไรเสร็จ สอนวิชาเสร็จท่านบอกว่าเสียดายวิชาการปลุกน้ำมันชาตรีท่านทำไม่สำเร็จ ท่านบอกว่าถ้าทำสำเร็จนี่เราจะสร้างแชมป์เปี้ยนโลกกี่คนก็ได้ แล้วเสร็จแล้วพอพระท่านอนุญาตให้ทำหลวงพ่อก็สั่งโรงงานเลย ผลิตมา ๓๐๐ ปี๊บ เข้าพิธีรวดเดียว ๓๐๐ ปี๊บ เพราะฉะนั้นออริจินอลอย่างน้อยก็มี ๓๐๐ ปี๊บ แต่ว่าจริงแล้วมันเติมเท่าไหร่ก็ได้ แล้วท่านก็บอกว่าในชีวิตของข้า หลวงปู่ปานท่านทำได้ ๒ ครั้ง ตัวข้าเองอาจจะทำได้ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะว่าต้องรอพระท่านอนุญาต ปรากฏว่าท่านทำได้ครั้งเดียวจริงๆ ไม่ทันจะทำใหม่ก็มรณภาพซะเสียก่อน

น้ำมันชาตรีไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร ชาตรีมันก็เหนือกว่าอื่นใด ขืนไปบอกมันว่าชาตรีใช้ได้ขนาดนั้นรับรองมันตีเขากระจายหมดไม่ต้องกลัวใคร หลวงพ่อท่านถึงได้เน้นไปทางรักษาโรค รู้แล้วอย่าเอ็ดไป (หัวเราะ) ไม่งั้นเดียวมันไม่หามามั่ง ต่างคนต่างต่อยครบๆ ยกเหนื่อยลิ้นห้อยมันไม่มีใครแพ้ใครชนะ

ถาม : ของทุกอย่างมันมั่นใจกับตัวของผู้ใช้ด้วยหรือเปล่า ?

ตอบ : อันนั้นมีส่วน เรื่องของน้ำมันชาตรีนี่มันประเภทที่เรียกว่านอกเหตุเหนือผลคือถ้าคุณใช้อานุภาพก็มี

ถาม : แล้ววัตถุมงคลด้วยรึเปล่าค่ะ ?

ตอบ : วัตถุมงคลนี่สำคัญอยู่ที่กำลังใจ ถ้ากำลังใจเปิดรับมากเท่าไหร่มีผลมากเท่านั้น แต่ว่าน้ำมันชาตรีนี่ ประเภทที่เรียกว่าคำว่าชาตรีนี่คงตั้งใจสงเคราะห์โดยตรงละมั้ง หลวงพ่อท่านบอกว่าก่อนหน้านี้ ท่านเสกของเสกอะไรก็มีชาตรีเหมือนกันแต่ซุกๆ อยู่ข้างใน นี่คราวนี้ว่าตั้งแต่ยุคนั้นมานี่ชาตรีนำหน้า เตรียมไว้ให้ตีกับชาวบ้าน

ถาม : เรื่องที่ว่าเปิดรับนี่หมายความว่า...?

ตอบ : คือ จิตใจของเราเคารพ มีการอาราธนาเป็นปกติ เป็นสมัยของเรานี่ไม่ต้องเสียเวลาเสกน่ะ ถึงเวลาก็กรอกเติมไปเรื่อย




สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนเมษายน ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


ข้อมูลเพิ่มเติม 2 - 29 ก.พ. 2555 - 00:30:35 น.



อนาคตของประเทศชาติ

บรรยายโดย..พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

เมื่อวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘

มัชฌิมา : ผู้คัดลอก

(อ้างอิงจาก "หนังสือธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๓๒๐
ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐ หน้า ๔๓-๕๒ "ธรรมกถา")

(ภาพยืนแถวหลัง : หลวงพ่อพระมหาวีระ, หลวงปู่คำแสน,
หลวงปู่ธรรมชัย, หลวงปู่ชัยวงศ์, หลวงปู่พระมหาอำพัน, พระสมชาย)

เรื่องมีอยู่ว่า... ท่านพลตรียุทธศิลป์ เกสรศุกร์ ผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ (ยศและตำแหน่งสมัยนั้น) ได้นิมนต์ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) พร้อมด้วยพระเถระรวม ๖ รูป เพื่อไปบำรุงขวัญของทหารในเขตกองทัพภาคที่ ๒ โดยนำ "ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" และ "เหรียญเอกราช" ไปแจกให้แก่ทหารตามฐานปฏิบัติการชายแดน ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘

และในวันสุดท้ายคือวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ ได้ทำการแจกให้แก่ทหาร ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา และก่อนทำการแจกได้แสดงธรรมิกถาพิเศษ เรื่อง “อนาคตของชาติ” ณ พุทธศาสนสถาน ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา

มูลเหตุที่มาแจกวัตถุมงคล

“..เจริญสุข แก่บรรดาทหารของชาติทุกท่าน อาตมาได้ไปทำการจากจ่ายผ้ายันต์และเหรียญแก่ทหารทางภาคเหนือมาแล้ว ๓ ครั้ง ต่อมาได้ทราบจากข้าหลวงของสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่า
“...สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงปรารภว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านไม่ห่วงทหารภาคอีสานหรืออย่างไร จึงไม่ไปแจกของแก่ทหารทางภาคอีสานบ้าง..”

ความจริงอาตมาห่วงทหารทางภาคอีสานเช่นเดียวกับทหารทางภาคเหนือ เมื่อท่านผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ รับจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางมาแจกจ่าย จึงได้นำสิ่งของมาแจกให้ครั้งนี้

ขั้นแรกอนุศาสนาจารย์ได้อาราธนาให้แสดงธรรม ต่อมาท่านผู้บัญชาการกองพลได้อาราธนาให้เล่าเรื่องของที่นำมาแจกจ่ายว่าทรงคุณค่าอย่างไรบ้าง ผู้ที่ได้รับแจกไปจะได้เกิดศรัทธาความเชื่อมั่น

เพื่อสนองเจตนาของอนุศาสนาจารย์และท่านผู้บังคับบัญชากองพลที่ ๓ ได้อาราธนาจึงขอพูดเรื่องธรรมะก่อนสักเล็กน้อย จากนั้นจึงจะพูดถึงเรื่องสิ่งของที่นำมาแจกจ่าย

เราทุกคนอยากมีความดีด้วยกันทั้งนั้น แม้บางคนนึกว่าตนเองอยากมั่งอยากมี อยากมียศมีอำนาจ แต่ความจริงแล้วก็คืออยากมีดีนั่นเอง

แม้เราจะมียศสูง แต่ถ้าใครมาว่าเราเป็นคนไม่ดี เราก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นใครจะอยากอะไรก็ตามเถอะ แต่ที่สุดของความอยากนั้นก็คือความดีนั่นเอง

รักษาศีล 5 ให้ได้

ความดีนั้นมีกฏเกณฑ์ที่เราจะต้องทำเป็นเบื้องต้น 5 ประการ คือ
1. เราไม่อยากให้ใครมาฆ่า รังแก ข่มเหงเรา เราก็อย่าไปฆ่า ไปรังแก ไม่ข่มเหงเขา
2. เราไม่อยากให้ใครมาลักของๆ เรา เราก็อย่าไปลักของๆ เขา
3. เราไม่อยากให้ใครมาผิดลูกผิดเมียเรา เราก็อย่าไปผิดลูกผิดเมียเขา
4. เราไม่อยากให้ใครมาโกหกเรา เราก็อย่าไปโกหกเขา
5. เราไม่อยากเป็นคนบ้า ก็อย่าไปดื่มสุราเมรัย เพราะถ้าเราดื่มสุรามากๆ เราจะกลายเป็นคนบ้า

เจริญพรหมวิหาร ๔ ไว้

ความดีที่สูงขึ้นไปอีกที่เราควรประพฤติเป็นหลักในการดำรงชีวิต เพื่อความสุขความเจริญแก่ตนเองคือ พรหมวิหาร มี ๔ ประการคือ
1. เมตตา ความรัก เราต้องรักตัว รักครอบครัว รักญาติพี่น้องหมู่คณะ ตลอดจนถึงรักประเทศชาติ
2. กรุณา ความสงสาร ที่มีต่อบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยาก อยากให้เขาพ้นจากความทุกข์ทรมานที่เขารับอยู่
3. มุทิตา ยินดีด้วยเมื่อบุคคลอื่นได้ดีมีความสุข ไม่ริษยาเขา เขาได้ดีก็ชื่นชมอนุโมทนาด้วย
4. อุเบกขา วางเฉย เช่น เมื่อลูกของเรา ญาติพี่น้อง หรือพรรคพวกของเราไม่ทำผิด เราต้องวางตัวเป็นกลาง เมื่อเขาจะได้รับโทษก็ถือเป็นกรรมของเขา ไม่ช่วยเหลือเขาในทางที่ผิด

เว้นจากความลำเอียงทั้ง ๔ ประการ

ผู้ที่จะมีคุณธรรมในข้อที่ ๔ นี้จำเป็นจะต้องมีคุณธรรมข้ออื่นสนับสนุน คือเราต้องเว้นจาก อคติ คือ
๑. ความลำเอียงเพราะความรัก
๒. ความลำเอียงเพราะความชัง
๓. ความลำเอียงเพราะความหลง
๔. ความลำเอียงเพราะความกลัว

ทหารแปลว่าคนหนุ่ม

ทหารทุกคนต้องเป็นคนหนุ่ม แม้จะแก่อายุมากแล้วก็ต้องทำตัวเป็นคนหนุ่ม เพราะคำว่า "ทหาร" แปลว่า "คนหนุ่ม"

คนหนุ่มนั้นจะต้องเป็นคนแข็งแรงว่องไวกล้าหาญบึกบึน มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความสามัคคีรักใคร่กัน ไม่ทอดทิ้งกันเมื่อมีภัย ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท

และข้อสำคัญที่สุดนั้นต้องยอมตายเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเมื่อถึงคราวจำเป็น นี้พูดอย่างทหาร เพราะอาตมาเคยเป็น "ทหารเรือ" มาแล้ว ย่อมรู้จักชีวิตวิญญาณของทหารดี

ทหารไปรบถือว่าทำเพื่อชาติบ้านเมือง

ทหารที่ไปราชการสงครามเพื่อป้องกันอริราชศัตรูนั้น หากไปฆ่าข้าศึกศัตรูก็ไม่ถือว่าเป็นความชั่ว แต่เป็นการทำดีต่างหาก เพราะเราทำหน้าที่ป้องกันสิ่งที่ดีงามเอาไว้
ความดีนั้นคือความอยู่รอดของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบสุขของปวงชนในผืนแผ่นดินไทยทุกคน

ความสงบสุขนั้นเป็นยอดของความดีทั้งมวล การที่เรายอมเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของเราเพื่อรักษาความดีทั้งหลายดังกล่าวมาแล้วนั้นไว้ จึงได้ชื่อว่าเราทุกคนได้ทำความดี สมศักดิ์ศรีของทหารไทย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นบาปกรรม



เราทุกคนจะไม่แพ้ จะไม่ต้องตกเป็นทาสของใครๆ ดังที่พวกเราพากันวิตกกังวลกันอยู่ในขณะนี้ แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงปริวิตกและทรงมีความห่วงใยประเทศชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปยังวัดของอาตมา (วัดท่าซุง) และได้ตรัสถามความเป็นไปของบ้านเมืองในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร

อนาคตของชาติ


อาตมาได้ถวายพระพรพระองค์ว่า
“ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะไม่ตกเป็นทาสของใคร อาตมาขอถวายชีวิตเป็นประกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ความเยือกเย็นจะเริ่มปรากฏ ความมั่งคั่งสมบูรณ์จะมีขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชน แต่จะยังไม่ปรากฏชัดนัก แต่เราจะมองเห็นได้ชัดๆ ก็ต้องปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เปรียบเหมือนอรุณได้ขึ้นดีแล้วและเริ่มฉายแสงให้เห็นความมืดหมดไป”

ที่อาตมากล้ายืนยันต่อพระองค์เช่นนั้น ก็เพราะเหตุผลหลายประการ คือ

คำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์

ในประการแรก อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ

โดยท่านได้เขียนทำนายไว้ว่า
“กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แจ่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรี
อยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่”

และเหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกอย่าง

ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง ๑๐ รัชกาล

ในสมุดข่อยเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้

รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล



ความแม่นยำของคำทำนาย


เมื่อพิจารณาถึงคำทำนายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละรัชกาลก็จะเห็นได้ชัดว่า คำทำนายนั้นถูกต้องเพียงใด

รัชกาลที่ ๑. ผ่าน พระเจ้าตากสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ

รัชกาลที่ ๒. ท่านว่างจากศึกสงครามก็หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัยรวบรวมกันเป็นการใหญ่

รัชกาลที่ ๓. ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้

รัชกาลที่ ๔. ท่านสนิทธรรม ก็เพราะพระราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา มีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน

รัชกาลที่ ๕. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้งหลายหน โดยพระองค์ทรงยอมเสียแขนขาดีกว่าเสียตัวทั้งหมด คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้

รัชกาลที่ ๖. เป็นโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพน์ไว้ว่า “ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย” ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่างให้บุคคลอื่นเห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพาร

ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ ๑. จึงจำเป็นต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก

รัชกาลที่ ๗. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินในท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อน พระองค์จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ต้องจำพระทัยสละราชสมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์

รัชกาลที่ ๘. ยุคทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยากยากแค้นแสนสาหัส พระมหากษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต

รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นแล้วว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น

สำหรับรัชกาลต่อไป คือ รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้ว จะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย

ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้นรึ?

ปัญหาที่น่าคิดต่อไปก็คือว่า ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น? กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?

เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า

พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ พระองค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้นก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐. เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก”


พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก


ประการที่ ๒. ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจักไม่ตกเป็นทาสของใครๆ นั้นคือ พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก พระพุทธทำนายนี้ก็มีปรากฏในสมุดข่อยของพระพุทธโฆษาจารย์เช่นเดียวกัน ซึ่งมีข้อความปรากฏโดยสังเขปดังนี้

“อานันทะ..ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และสมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก

แต่ว่า..อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่า ความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล

หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาดสมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน

แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”

ความแม่นยำของพุทธทำนาย

จากพระพุทธเจ้าทำนายนี้เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ก่อนพุทธกาลได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒. ลูกระเบิดต่างๆ ซึ่งเป็นเหล็กเป็นไฟได้หลั่งไหลลงมาจากอากาศพิฆาตมนุษย์

หลังกึ่งพุทธกาลได้เกิดสงครามลัทธิคือพวกยักษ์นอกศาสนา เพิ่งจะเลิกรากันไป แต่เมืองไทย ก็ยังได้รับผลกระทบกระเทือนมาจนกระทั่งบัดนี้

มีเพียงไทยที่นับถือพุทธอย่างมั่นคง

ตามพระพุทธทำนายนั้นได้บ่งชี้ชัดว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยบ้างแต่ไม่มากนัก หากเราพิจารณาให้ดีๆ ก็จะเห็นเด่นชัดว่า ประเทศไทยนี้เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง และเป็นประเทศสุดท้ายที่พระพุทธศาสนายังเหลืออยู่ในท้องถิ่นบริเวณนี้

ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธไปเกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะสถิตสถาพรอยู่ได้ตลอดไป

พระเจ้าอังครัฐตั้งจิตขอพบพระอรหันต์

ในพระพุทธทำนายซึ่งปรากฏในตำนานบางแห่งได้เล่าไว้ว่า
พระเจ้าอังครัฐ เจ้าเมืองอังครัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมทอง อยู่ในขณะนี้ ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ได้พบพระอรหันต์ ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาโปรด พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าอังครัฐ จึงทรงส่งพระโมคคัลลาน์ พร้อมด้วยพระเถระรวม ๔ รูป เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองอังครัฐก่อน

ศาสนาจะอยู่ในเมืองไทยครบ ๕,๐๐๐ ปี

ส่วนพระองค์ได้เสด็จมาภายหลัง เมื่อเสด็จมาถึงเมืองนั้น ได้ทรงพยากรณ์เกี่ยวกับความเป็นไปในอนาคตของพระพุทธศาสนาไว้ว่า “พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นอยู่ในท้องถิ่นนี้ถึง ๕,๐๐๐ ปี”

เมื่อพระพุทธศาสนายังตั้งมั่นอยู่ได้ในผืนแผ่นดินไทยตามพระพุทธทำนาย ก็หมายความว่าเมืองไทยจะต้องไม่ตกเป็นทาสของใครๆ เพราะความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนาเป็นของคู่กันมาแต่บรรพกาล เมืองไทยจะไม่ตกเป็นทาสของใคร

จากคำพยากรณ์ของพระพุทธโฆษาจารย์ก็ดี คำบอกเล่าของพระเถระผู้ได้ฌานสมาบัติก็ดี และจากพระพุทธทำนายก็ดี เป็นหลักชี้ชัดให้เรามั่นใจได้ว่า

“เมืองไทยเรานี้จะต้องเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ไม่ตกเป็นทาสของใครๆ พวกนอกศาสนาจะไม่สามารถย่ำยีเมืองไทยได้ แต่ข้อสำคัญนั้น เราทุกคนอย่าประมาท ต้องรักกัน สามัคคีกันไว้ ไม่แตกแยกกันและไม่ลุ่มหลงไปกับคำยุแหย่ของบุคคลผู้มุ่งร้ายต่อชาติบ้านเมือง”



(หลวงพ่อฯ หลวงปู่ธรรมชัย และพระสงฆ์วัดท่าซุง อันมีพระครูสมุห์พิชิต และ พระครูปลัดอนันต์ เป็นต้น
พร้อมกับญาติโยมทั้งหลายนำ "วัตถุมงคล" และ "วัตถุสิ่งของ" ไปมอบให้ถึงแก่ทหารที่อยู่ตามชายแดน)

ดวงทหารคู่กับดวงเมือง

ขอให้ทหารทุกคนจงสำนึกตนเองว่า เราต้องมีความสามัคคี-เด็ดเดี่ยว-ไม่ประมาท-กล้าหาญ-และพร้อมที่จะยอมตายเพื่อชาติบ้านเมืองและพระบวรพุทธศาสนา เมื่อถึงคราวจำเป็น

เพราะบ้านเมืองจะอยู่รอดปลอดภัยก็เพราะทหารเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑. เมื่อพระองค์จะเริ่มสร้างเมืองหลวงใหม่ ได้ทรงผูกดวงเมืองและวางลัคนาดวงเมืองไว้ให้คู่กับดวงทหาร โดยให้ทหารเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง บ้านเมืองจึงจะอยู่รอด

ที่พูดนี้มิใช่จะมายุยงให้ท่านทั้งหลายกระด้างกระเดื่อง ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากใครๆ เพียงแต่...ขอให้เราทุกคนช่วยกันควบคุมสถานการณ์ไว้ให้บ้านเมืองสงบสุขเท่านี้ก็ได้ชื่อว่าทหารควบคุมรักษาเมืองแล้ว

ดวงชะตาของทหารนั้น เข้าเกณฑ์ "ราชาโชค" ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๘ แล้ว และจะโคจรเข้าควบคู่กับดวงเมืองตั้งแต่ เดือนมกราคม ๒๕๑๙ เป็นต้นไป ซึ่งจะมีอิทธิพลให้ประเทศชาติบ้านเมืองค่อยคลี่คลายไปในทางดีขึ้น ขณะนี้บ้านเมืองของเราอยู่ในสภาพป่วยไข้ จำเป็นจะต้องได้รับการเยียวยารักษาหรืออาจจะต้องถึงกับผ่าตัดบ้าง อาการของบ้านเมืองจึงจะดีขึ้น

เมืองไทยมีขุมทรัพย์มหาศาล

สภาพการณ์ของบ้านเมืองจะคลี่คลายไปในทางดี เริ่มแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ประเทศชาติและประชาชนจะเริ่มพบกับความสุขสบายขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่มากนัก แต่จะปรากฏเด่นชัดว่าประเทศชาติและประชาชนจะร่ำรวยขึ้น มีความสุขสมบูรณ์ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นต้นไป

เพราะเรามีทรัพยากรมากมายมหาศาลล้วนแต่เป็นของมีค่าทั้งสิ้น อาทิเช่น น้ำมัน แร่ทองคำ แร่ยูเรเนียม วัตถุธาตุต่างๆ เหล่านี้มีอยู่พร้อมในเมืองไทย และเราก็ได้พบแล้ว แต่เรายังไม่สามารถจะนำเอาออกมาใช้ได้ เพราะเรามีขีดความสามารถอันจำกัด

ทรัพยากรน้ำมันในประเทศไทย

อย่าง น้ำมัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและมีค่าที่สุดของคนทั้งโลกนั้น ในเมืองไทยเรามีมากมาย น้ำมันที่ใช้อยู่ในโลกขณะนี้มีไม่ถึงหนึ่งในสามที่มีในเมืองไทยเรา ที่อาตมาพูดเช่นนี้มิได้กล่าวเกินความจริง แต่เป็นการกล่าวที่เกิดจากประสบการณ์ที่พอเชื่อถือได้ กล่าวคือ

เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๗ อาตมาพร้อมด้วย พล.อ.ต.มรว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารอากาศ ได้เดินทางไปยังจังหวัดชุมพร พักอยู่ ณ บ้านพักหลังหนึ่ง หลังจากคุยกันประมาณห้าทุ่มเศษก็เข้านอน

พอไฟดับลงเท่านั้น ก็มองเห็นภาพคนดำใหญ่เดินเข้ามาในห้องโดยไม่เปิดประตู เขาเดินเข้าเดินออกโดยไม่ต้องเปิดประตู
จึงถามเขาไปว่า อยู่ที่ไหน
เขาบอกว่า อยาในห้องนี้แหละ
แล้วก็คุยกันด้วยเรื่องต่างๆ เจ้าเทวดาดำใหญ่ได้เล่าให้ฟังว่า

“เมืองไทยเรานี้มีน้ำมันมากมายมหาศาลเป็นลำธารกว้างขนาด ๑ กิโลเมตร และยาวหลายร้อยกิโลเมตร ไหลผ่านประเทศไทยไปลงทะเล

เมื่อใดที่ผู้บริหารดีทรัพยากรจะปรากฏขึ้น

เขาบอกว่า น้ำมันนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะขุดนำมาใช้เพราะฝ่ายบริหารยังไม่ดีพอ หากปรากฏขึ้นในขณะนี้ พวกทุจริตก็จะงุบงิบเอาไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตนหมด

เมื่อใดผู้บริหารประเทศมีมือสะอาดซื่อสัตย์สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย เช่น บ่อน้ำมัน ก็จะค่อยผุดขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ไป ซึ่งจะนำผลรายได้อันมหาศาลมาให้เมืองไทย ทำให้เมืองไทยกลายเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย”

ไปพิสูจน์สถานที่มีน้ำมันอยู่

เจ้าเทวดาดำใหญ่ให้หลักฐานยืนยันคำพูดของตนว่า หากอยากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับน้ำมัน ให้ไป ดูบ่อน้ำมันที่เมืองมะริด ในเขตพม่า ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันสายเดียวกันอยู่ห่างจากผืนแผ่นดินไทยประมาณ ๓๐ กิโลเมตร

ณ. ที่นั้นจะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง มีน้ำมันลอยฟ่องเต็มไปหมด ถ้าอยากเห็นให้ไปดูด้วยตนเอง อาตมาอยากพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้เดินทางไปดูสถานที่แห่งนั้น เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นี้เอง ปรากฏว่าเป็นความจริงทุกอย่าง

บริเวณนั้นมีหนองน้ำซึ่งมีน้ำมันลอยเต็มไปหมด ชาวบ้านนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจได้ว่าเทวดาดำองค์นั้นไม่โกหก เมืองไทยเรามีน้ำมันแน่ๆ ต่อเมื่อใดผู้บริหารใจซื่อมือสะอาดมาบริหารชาติบ้านเมือง ทรัพยากรเหล่านี้ก็จะปรากฏให้เห็น และนำมาใช้ให้บ้านเมืองเรามีความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าวแล้ว


ข้อมูลเพิ่มเติม 3 - 29 ก.พ. 2555 - 00:38:45 น.



*****ติดตามอ่านได้ครับ แม้แต่กรุงเทพยังมีน้ำมัน******
20วันรู้ผลเจาะหาน้ำมัน'ทวีวัฒนา'
กทม.ส่งคกก.เกาะติดแผนขุดเจาะน้ำมันพุทธมณฑลสาย 2 เขตทวีวัฒนา คาด 20 วันรู้ผล

เมื่อวันที่ 28 ก.พ. นายประพัฒน์ ธีรพงศ์ธร ผู้อำนวยการเขตทวีวัฒนา กล่าวถึงกรณีการขุดสำรวจน้ำมันของบริษัทเอกชนบริเวณถนนพุทธมณฑลสาย 2 เขตทวีวัฒนาว่า กระทรวงพลังงานได้อนุมัติสัมปทานการขุดเจาะสำรวจน้ำมันในพื้นที่ดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนม.ค.ปี 2551 โดยที่ผ่านมาได้มีการสำรวจพื้นที่และวัดแรงสั่นสะเทือน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขุดเจาะสำรวจตัวอย่าง เพื่อสำรวจว่ามีพลังงานที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์มากพอที่จะลงทุนหรือไม่ คาดว่าบริษัทเอกชนจะใช้เวลาประมาณ 20 วัน

"อย่างไรก็ตาม ในเดือนที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อติดตามการดำเนินการและรับข้อร้องเรียนของประชาชน โดยมีตัวแทนจากสำนักงานเขตทวีวัฒนาร่วมด้วย คือเจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธา และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสิ่งแวดล้อม" ผู้อำนวยการเขตทวีวัฒนา กล่าวและว่า

สำหรับพื้นที่ที่บริษัทเอกชนดังกล่าวขอสัมปทานจุดเจาะน้ำมันสำรวจมีเนื้อที่ประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร ครอบคุลมพื้นที่เขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน เขตบางแค และอำเภอบางกรวย จ.นนทบุรี แต่ได้มีการใช้พื้นที่บริเวณถนนพุทธมณฑลสาย 2 เพียงจุดเดียวเพื่อเจาะสำรวจ ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ว่างเปล่าของประชาชน ซึ่งเมื่อได้รับการอนุมัติสัมปทานแล้ว บริษัทเอกชนจึงได้เช่าพื้นที่เพื่อเจาะสำรวจได้

http://www.komchadluek.net/detail/20120228/124167/20%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2.html


ข้อมูลเพิ่มเติม 4 - 29 ก.พ. 2555 - 11:30:15 น.



พื้นที่กว่า 3 ไร่ ถูกห้อมล้อมด้วยสังกะสีสีเขียวสูงราว 5 เมตร ทั้งสี่ด้าน เพื่อเตรียมเป็นพื้นที่สำรวจแหล่งปิโตรเลียมใต้พื้นดิน จากบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ริมถนนพุทธมณฑลสาย 2 เขตทวีวัฒนา

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 13 สมัยสามัญนิติบัญญัติ โดยมี พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นประธาน โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา หารือว่า ทราบหรือไม่ว่าใน กทม.มีน้ำมันจำนวนมหาศาล ปรากฏว่าในขณะนี้ได้มีบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่งได้รับสัมปทานสำรวจแหล่งปิโตรเลียมใต้พื้นดิน กทม. บนแปลงบริเวณริมถนนพุทธมณฑลสาย 2 เขตทวีวัฒนา จากการสำรวจด้วยคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นไปก่อนหน้านี้พบว่ามีน้ำมันจริง

"ขณะนี้ได้ทำการล้อมรั้วเรียบร้อย ปรับพื้นที่และเตรียมขุดเจาะเร็วๆ นี้ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะกินบริเวณพื้นที่ 20 ตารางกิโลเมตรรอบๆ บริเวณหลุมขุดเจาะ ซึ่งอยู่หลังบ้านผมไปนิดเดียว ถ้าปริมาณมีมากพอในเชิงพาณิชย์อะไรจะเกิดขึ้นกับ กทม.โดยรวม อะไรจะเกิดขึ้นกับประชาชนเขตทวีวัฒนา พุทธมณฑลสาย 2 สาย 3 และสาย 4 เขตพื้นที่สีเขียวมีหลักการอย่างไรในการอนุญาตให้มีการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียม และมีการเตรียมการแก้ไขปัญหาหรือดำเนินการขั้นตอนต่อไปอย่างไร จึงขอฝากไปยังรัฐบาลช่วยชี้แจงต่อพี่น้องประชาชนไม่ใช่เฉพาะเขตทวีวัฒนา ซึ่งตนจะต้องกระทู้ถามด่วนต่อ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม"

ที่มา: มติชน

*************************************
สำรวจบ่อน้ำมัน-ทวีวัฒนา - YouTube

จากกรณีที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา หารือในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 13 สมัยสามัญนิติบัญญัติว่า กทม.มีน้ำมันจำนวนมหาศาล และมีบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่งได้รับสัมปทานสำรวจแหล่งปิโตรเลียมใต้พื้นดิน บนแปลงบริเวณริมถนนพุทธมณฑลสาย 2 เขตทวีวัฒนา เพราะจากการสำรวจด้วยคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นไปก่อนหน้านี้พบว่ามีน้ำมันจริง

จากการลงพื้นที่สำรวจบริเวณดังกล่าว พบว่า พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ ห้อมล้อมด้วยด้วยสังกะสีสีเขียวสูงราว 5 เมตร ถูกกันให้เป็นพื้นที่เตรียมขุดเจาะสำรวจหาน้ำมัน โดยบริษัทที่ได้รับการสัมปทานจากกรมพลังงานเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน คือ บริษัท มิตรา เอนเนอร์ยี่ ลิมิเต็ด ซึ่งจะเริ่มสำรวจในวันแรก 29 กุมภาพันธ์ นี้ ขณะเดียวกัน

นางอมรา ซันใจซื่อ ชาวบ้านที่อยู่ติดกับสถานที่ตั้งเพื่อเตรียมขุดเจาะน้ำมัน หรือห่างจากบริเวณดังกล่าวประมาณ 500 เมตร กล่าวว่า บริษัทดังกล่าว ได้เริ่มเข้ามาสำรวจเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ก่อนจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม และกลับมาดำเนินการอีกครั้งเมื่อต้นปี 2555 ทั้งนี้ ชาวบ้านบอกว่า นายทุนได้เรียกชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงมาพูดคุยหลายครั้ง โดยสอบถามว่าได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ก่อนให้ชาวบ้านส่วนหนึ่งไปเป็นกรรมการร่วม เพื่อเข้าใจลักษณะการทำงาน และให้ไปร่วมทำบุญตั้งศาลพระภูมิไปเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาด้วย นอกจากนี้ เมื่อช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมาก็ยังแจกน้ำมันหลังละ 20 ลิตร เพื่อสูบน้ำออกจากบริเวณบ้าน ขณะเดียวกันยังให้ใช้พื้นที่ซึ่งถมดินเรียบร้อยแล้วเป็นสถานที่พักจอดรถของชาวบ้านชั่วคราว เนื่องจากอยู่สูงกว่าพื้นที่อื่นๆ

นอกจากนี้ ยังบอกอีกว่า เดิมเป็นพื้นที่ว่างเปล่า และมีชาวบ้านนำขยะมาทิ้งไว้ จากนั้นก็มีนายทุนมาสุ่มตรวจ และนำดินบริเวณโดยรอบบ้านไปสำรวจ เมื่อถามว่าเชื่อหรือไม่ว่าจะมีน้ำมันอยู่จริงนั้น เรื่องนี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ที่รับรู้มาก็คือว่า เขามาสำรวจก่อนว่ามีจริงหรือไม่ ถ้าไม่มีก็คงต้องเลิกไป

ด้านนายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นส.ส.ในพื้นที่ กล่าวว่า ตนพร้อมด้วยนายคำนูณ เตรียมยื่นต่อประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการพิจารณาถึงความเหมาะสม ซึ่งจากการสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย และบอกว่าการที่จะทำได้หรือไม่นั้นจะต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์ และจะต้องมีความชัดเจนว่า อนุญาตให้มีการสำรวจ มีการเตรียมการแก้ไขปัญหาหรือดำเนินการอย่างไร เนื่องจากตนติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันพื้นที่เขตทวีวัฒนาถือว่าเป็นพื้นที่สีเขียวด้วย

ที่มา: มติชน


 
ราคาปัจจุบัน :     4,200 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     100 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    nanpon (410)

 

Copyright ©G-PRA.COM