ชื่อพระเครื่อง | ""วัดใจ 100บาท""((ทีเดียว 2 ขวด))""รัก-ยม""น่าบูชามากๆครับ"" |
รายละเอียด | รัก-ยม"เป็นรูปเด็กแกะด้วยไม้คู่หนึ่ง มีลักษณะเป็นเด็กผมจุกยืนกำหมัดทั้งสองข้างคล้ายกำลังทำท่าชกมวย ตัวที่ชื่อรักนั้น โดยเจ้ารักนี้จะมีสีดำ สาวนตัวที่ชื่อยมนั้นก็จะแกะมาจากไม่มะยมใช้กิ่งหรือรากในลักษณะเดียวกันกับรักซ้อนแ ต่จะมีสีขาว ผู้ที่จะให้รัก-ยมช่วยในกิจการใด ก็ให้นำรัก-ยมพร้อมทั้งน้ำมันหอมนั้นประจุลงในขวดแก้วเล็กๆที่มีขนาดพอดีกับตัวเจ้าร ักเจ้ายม ที่จะลงอยู่ด้วยกันทั้งคู่ นำติดตัวออกจากบ้านไปทำภารกิจนั้นๆ เมื่อกลับเข้าสู่สถานบ้านเรือนตน ก็นำ รัก-ยม เข้าไว้ในที่อันควร จัดแจงข้าวปลาอาหาร ขนม ให้ รัก-ยมบริโภค ดังเราเลี้ยงเด็กไว้ในบ้าน โดยของที่จะถวายรัก-ยมนั้นจะต้องถวายเป็นคู่เนื่องจากรัก-ยมนั้นเป็นวิญญานเด็กคู่
การพูดจากับ รัก-ยม นั้นก๋ต้องพูดเองเออเอง แล้วแต่จะปราถนาสิ่งใดๆ ก็ให้บอก รัก-ยม ผู้เลี้ยงจะต้องคอยดูน้ำมันภายในขวดรัก-ยม ไว้อย่างให้ขาดให้พร่อง การเติมก็ไม่ควรเติมให้พ้นคอของรักยม เลี้ยงงาน ใช้ดี ช่วยด้านค้าขายดึงลูกค้าเข้าร้าน ดลจิตใจเจ้านายให้รักให้เมตตา ช่วยด้านความรัก มีประสบการณ์กันมาแล้วหลายคน อาจารย์เหน่งทำ ให้ลูกศิษย์
ประวัติการกำเนิดของรักยม
รักยมดีทางเมตตามหานิยมแคล้วคลาด
รักยมเป็นเครื่องรางของขลังอีกชนิดหนึ่งที่ประชาชนชาวไทยและ
ประเทศเพื่อนบ้านนิยมกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย โดยเฉพาะในหมู่
พ่อค้าแม่ค้า และคนที่ทำงานกลางคืน แม้กระทั่งนักนิยมพระก็ยังแสวงหากัน
เพราะเป็นเครื่องรางของขลังจากวิชาไสยศาสตร์อีกชนิดหนึ่งเล่นกันจนถึงทุกวันนี้
รักยมเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏในฐานะที่เราเป็นประชาชนชาวไทย
คนหนึ่งที่นิยมเครื่องรางของขลังเคยพบเคยเห็นกันเป็นประจำส่วนมากเท่าที่ผู้เขียน
เคยพบเห็นอยู่บ่อยรักยมจะเกิดแถวสนามพระทั่ว ๆ ไป แต่ที่แน่แถวท่าพระจันทร์
และวัดราชนัดดาเองนี่เอง ถ้าผู้อ่านลองแวะเข้าไปในสนามพระก็จะเห็นรักยมนอน
อยู่ในขวดเล็ก ๆ เรียงรายเป็นร้อย ๆ เป็นพันส่วนมากเจ้าของแผงจะนั่งหลาว
ตกแต่งเองขายเอง ทำความร่ำรวยอย่างมหาศาลมาแล้วหลายราย
ลักษณะของรักยมคล้ายกุมารเล็ก ๆ ยืนพนมมือยกถึงคาง มีด้วยกัน 2 ร่าง
อยู่ในขวดแช่น้ำมันจันทร์ที่หอมกรุ่นอยู่ตลอดเวลาชอบทองหยิบ ทองหยอดผลไม้
และของเล่นเด็กพร้อมด้วยน้ำหนึ่งแก้ว อานิสงฆ์ก่อนผู้ที่จะนำไปใช้จะนำไปให้กับ
คณาจารย์ที่มีชื่อเสียงหรือหมอที่เล่นเครื่องรางของขลังนำไปปลุกเสกเสียก่อนแล้วจึง
นำไปใช้การนำไปใช้นั้นก็ต้องใช้ในทางที่ถูกบางท่านได้นำไปบูชา แล้วร่ำรวย
มหาศาลมาแล้วก็มีในด้านอภินิหาร ประสบการณ์ก็เคยเกิดขึ้นกับผู้เลี้ยงมาแล้ว
มากมาย (ผู้เขียนขอบอกว่ายังไม่เคยเลี้ยงมากก่อนอาศัยถามคณาจารย์เก่า ๆ
ที่มีความเชื่อมั่นว่ารัก ยมมีจริง ผมจึงได้นำมาเขียนถ้าผิดถลาดขอให้ผู้รู้
และผู้อ่านช่วยชี้แนะด้วย)
มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยหนึ่ง ในป่าหิมวันต์ เมืองเมืองหนึ่ง เมืองนี้เป็น
เมืองเงียบสงบ มองไปทางไหนก็มีแต่ป่าทั้งนั้น ในป่านั้นก็มีพระฤๅษีชีไพร
นั่งบำเพ็ญตะบะเต็มไปหมด ในขบวนเหล่าฤๅษีนั้นก็มีพระพหลฤๅษีอยู่องค์หนึ่ง
ทึ่เป็นใหญ่กว่าฤๅษีทั้งหลาย
อยู่มาวันหนึ่งฤๅษีพหลนั้นได้เดินออกจากสถานที่บำเพ็ญตะบะนั้นเพื่อออก
แสวงหาผลไม้ในป่ามาฉันท์ขณะที่เดินผ่านสระน้ำในป่านั้น ก็มีดอกบัวชูช่อยู่ดาษดื่น
ฤๅษีพหลก็ เหลือบไปเห็นกุมารน้อยคู่หนึ่งนอนในดอกบัวนั้นจึงได้เก็มาเลี้ยงไว้ที่
อาศรม ฤๅษรพหลจึงตั้งชื่อสองกุมารน้อยว่ารัตตะกุมาร กับ ยมกะกุมาร ต่อมา
กุมารน้อยทั้งสองก็ได้ร่ำเรียนวิชา กับพระอาจารย์ดาบสองค์นั้นจะมีความสามารถ
รอบรู้หมดทุกอย่าง ส่วนฤๅษีพหนลนั้นก็ได้ถ่ายทอดวิชาให้อย่างหมดสิ้นในที่สุด
รัตตะกุมารกับยมกะกุมารก็เจริญเติบโต จนเป็นหนุ่มใหญ่สมชายชาตรีทุกอย่าง
สรุปแล้ว รัตตะกุมารก็คือ เจ้ารัก ส่วนยมกะกุมาร ก็คือ เจ้ายม
สำหรับเจ้ารักนั้นเป็นผู้เลอโฉม รวมทั้งหน้าตาลักษณะท่าทางมองแล้วเหมือน
มานพน้อยมีรูปร่างมองแล้วไม่เบื่อตาเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป ส่วนยม
นั้นเล่าความหล่อเหลาด้อยกว่าเจ้ารักหน่อย เพราะคนเราเกิดมารูปธรรมนามธรรม
เหมือนอย่างกับเจ้ายมถึงแม้จะรูปชั่วตัวดำไปนิด ถึงกระนั้นฤๅษีพหลก็ยังมีความรัก
ความสงสารยิ่งขึ้น จึงมอบวิชาต่าง ๆ ให้กับเจ้ายมเป็นพิเศษ
เป็นอันว่า เรื่องเชี่ยวชาญในเชิงขบวนยุทธจักร และเวทย์มนต์คาถาต้อง
ยกให้เจ้ายมคนเดียวยุคนั้นวันหนึ่ง รัตตุมาร (เจ้ารัก) กับยมกะกุมาร (เจ้ายม)
สองพี่น้องก็คิดอยากจะไปเที่ยวหัวเมืองต่าง ๆ จึงได้กราบลาพระอาจารย์เพื่อออก
แสวหาประสบการณ์ต่าง ๆ จึงได้ออกเดินทางจนไปถึงเมืองใหญ่แห่งหนึ่งด้วยความ
ปรีชาสามารถต่าง ๆ ของกุมารน้อยทั้งสอง จึงได้เข้ารับราชการกับพระราชาเมืองนั้น
อยู่ต่อมาไม่นานพระราชาจึงแต่งตั้งให้รัตตะกุมาร (เจ้ารัก) เป็นทหารเอา
ไปครองแคว้นเมือง เมืองหนึ่ง ส่วนยมกะกุมาร (เจ้ายม) นั้น พระราชาแต่งตั้งให้
เป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับในด้านหัวเมืองต่าง ๆ ระหว่างที่รัตตะกุมาร (เจ้ารัก) รับราชการ
อยู่นั้นเพราะความหล่อเหลามานพน้อย จึงเป็นที่หมายตาต้องใจของพระธิดาลูกเจ้าเมือง
นั้นทั้งสองจึงเกิดความรักใคร่กัยิ่งนานวันความรักยิ่งประทับแนบแน่นยิ่งขึ้น
ต่อมาพระราชาได้ทราบข่าวของคนทั้งสองจึงไม่พอพระทัยทรงขัดขวางความรัก
ทั้งสองอยู่ตลอดเวลา พระราชา ทรงตรัสว่า เจ้ารักกับราชนิกุลไม่ควรคู่กัน พระราชา
ต้องการให้พระธิดาอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นราชตระกูลกษัตริย์
เท่าเทียมกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นพระราชาจึงตัดสินใจส่งพระธิดาไปฝากไว้กับเจ้าเมือง ๆ หนึ่ง
รัตตะกุมาร (เจ้ารัก) ทราบข่าวว่าพระราชาได้แยกคนรักของตนไปอยู่เมืองอื่น
จึงเกิดความแค้นเคืองเป็นยิ่งนักเจ้ารักจึงวางแผนฆ่าพระราชาอยู่ตลอดเวลาส่วนเจ้ายม
คนน้องถึงแม้จะปมด้วยของชีวิตแต่ก็เป็นคนรอบคอบเป็นคนอารมณ์เย็นจึงได้มายับยั้ง
การวางแผนฆ่าพระราชาเพราะมันจะมีความผิดอย่างมหันต์
สามวันผ่านมาเจ้ารักก็กินไม่ได้นอนไม่หลับจะนั่งจะเดินก็กระสับกระส่ายอยู่ตลอด
เวลาเพราะด้วยพิษรักอันแสนเสน่หาของพระธิดาองค์นั้น จึงหน้ามืดตามัว คิดจะปลง
พระชนม์จึงได้ลอบเข้าไปในพระราชวัง จนถึงห้องบรรทมของพระราชาและได้ใช้อาวุธคู่มือ
สับพระราชาอย่างไม่มีชิ้นดี จนพระราชาสิ้นพระชนม์
เมื่อฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ทราบข่าวการกระทำของ รัตตะกุมาร (เจ้ารัก)
จึงเกิดความโกรธแค้นเคืองยิ่งนัก ที่ศิษย์ของตนละเมิดคำสั่งสอน จึงได้เรียกกุมาร
ทั้งสองกลับมาเมื่อกุมารทั้งสองเดินทางกลับมาถึงอารมของฤๅษีพหลผู้เป็นอาจารย์
เจ้ารักจึงได้สำนึกผิดและได้สารภาพต่อผู้เป็นพระอาจารย์และมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่
ง
ที่ละเมิดคำสั่งสอนของพระอาจารย์ฤๅษีพหลจึงได้ตัดสินใจให้รัตตะกุมาร (เจ้ารัก)
สละเพศฆราวาส ให้บวชประพฤติตนบำเพ็ญประโยชน์เพื่อลบรอยมลทินที่ได้สร้างมาจน
กว่าจะสิ้นชีวิตจากโลกไป
ส่วนยมกะกุมารหรือเจ้ายมนั้น ครั้นเมื่อสู่วัยชราจึงได้สละเพศฆราวาสได้ออกบวช
ตามพี่ชาย (เจ้ารัก) เพื่อบำเพ็ญศีลภาวนา ตามอาศรมของพระฤๅษีในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วไป
ต่อมาฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ถึงวัยชราใกล้ถึงการอายุขัย ย่อมหนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นคือ
มีเกิดก็ต้องมีดับเหมือนกันทุกชีวิต ฤๅษีพหลจึงเรียกสองนักบวชผู้เป็นศิษย์มาพบอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อสองพระกุมารมาพบพระอาจารย์ฤๅษีพหลจึงถามศิษย์ทั้งสองว่า อยากได้อะไรที่เหนือ
กว่าโลกนี้ สองจะปฏิบัติตามคำอาจารย์หมดทุกอย่าง ฤๅษีพหลจึงให้พรว่า เจ้าทั้งสอง
แม้จะไปเกิดชาติปางใดก็ตามขอให้เสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่ว ๆ ไป จะไม่มีศัตรูทั้งปวงจะ
ไปเกิดบนโลกมนุษย์ไม่ได้ ท่านทั้งสองจะต้องเป็นวัตถุ แต่ไม่มีชีวิตจิตใจวัตถุสิ่งนั้นจะ
ต้องดังมีชื่อเสียงก้องยืนนาน
เมื่อฤๅษีพหลกล่าวพรจบทานก็ถึงกาลกิริยาวิญญาณ ก็ออกจากร่างไป ณ ที่นั้น
พระกุมารทั้งสองจึงได้ทำการขุดหลุมฝังศพของฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ในที่นั้น
ต่อมาไม่นานหลุมฝังศพของฤๅษีพหลก็เกิดมีไม้ชนิดหนึ่งขึ้นมา มีดอกซ้อนแพรวพราว
อันสวยงาม แถมยังเป็นไม้ที่ปวงชนรักใคร่กันทั่วไป ดังประชาชนที่เรียกกันทุกวันนี้ว่า
ต้นรักซ้อน
ต่อมาก็ได้มีพันธ์ไม้อีกชนิดหนึ่งได้ขึ้นคู่เคียงกับต้นรักซ้อนมีผลชูช่ออันตระกานตา
จนภายหลังมีชื่อขานนามว่ารักยม ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกกันว่ามะยมด้วยข้อมูลที่ได้
กล่าวมาแล้วนั้นนักปราชญ์ คณาจารย์ต่างคิดค้นทำรักยกกันขึ้นมา นี่แหละครับความ
เป็นมาของรักยมรวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว
ผู้ที่จะใช้รัก ยม จะต้องมีหิ้งขนาดปานกลาง หิ้งนั้นต้องติดไว้ที่หัวนอน ก่อนนอน
ต้องบูชาทุกคืนใช้คาถารักยมหรือจะให้คาถากุมาร 20 ก็ได้ ก็มีอยู่ว่า โอมมะอัดแอ
ลืมพ่อลืมแม่ ปู่เจ้าสมิงไพร ช้างกินก็ลืมโรง โขลงกินก็ลืมไพร จะอยู่มิได้ โม
ร้องไห้มาหากู มาจนถึงที่สำนักมาตามหลัก มาตามโขลง นางทองอย่าเสือก นางเผือก
อย่าทัดไพร อะ อยู่มิได้ โม ร้องไห้มาหากู โอมมะอะทิ เอหิมะมะ นะมะพะทะ อะระหัง
คาถาบทนี้บูชารัก ยมทุกคืนก่อนนอน จะปลอดภัยจากเรื่องภัยศัตรู แม้แต่คน
ที่เคยคิดจะเป็นศัตรูกับเราก็จะมาคืนดีกับเราจะสมความปรารถนาหมดทุกอย่าง
(ส่วนในเรื่องอภินิหารของรัก ยมนั้น ผู้เขียนขอสงวนไว้ก่อน
ครับ)
เป็นอันว่า ผู้จะคิดใช้รัก-ยมเป็นเครื่องรางของขลังอีกชนิดหนึ่ง
แม้แต่นายพลนายพันชั้นพิเศษบางท่าน ก็ยังนำไปใช้ติดตัวกันเป็นประจำ
แม้แต่คณาจารย์สมัยก่อนมีประชาชนไปขอเครื่องรางของขลังจากท่านเป็นต้นว่า
รัก-ยม กุมารทอง และนางกวักอีกมากมายหลายอย่าง |
ราคาเปิดประมูล | 90 บาท |
ราคาปัจจุบัน | 100 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!) |
เพิ่มขึ้นครั้งละ | 10 บาท |
วันเปิดประมูล | - 16 มิ.ย. 2555 - 16:01:17 น. |
วันปิดประมูล | - 25 มิ.ย. 2555 - 20:09:05 น. (ปิดประมูลแล้ว) |
ผู้ตั้งประมูล | greenday (8.5K)
|