ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : เห็นว่าดีเลยเอามาให้เพื่อนๆอ่านครับ

(D)
เซียนหรือเสี้ยนพระ ?

รูปพระเครื่องสี่เหลี่ยมที่เห็นอยู่นี้ คนไทยชาวพุทธส่วนมากเมื่อได้เห็นแล้วต่างก็ต้องร้อง “อ๋อ” กันเลยทีเดียว เพราะพระที่ว่านี้เป็นพระเครื่องที่มีค่ามีราคาแพงที่สุดในเมืองไทย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งเป็นผลงานการสร้างของอดีตพระมหาเถระผู้ทรงกฤตยาคมนามว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พฺรหฺมรํสี ) อายุรุ่นราวการสร้างนั้น ประมาณกันว่าเกิน ๑๐๐ ปีขึ้นไป อ้อแน่ละ ถ้าพูดถึงพระสุดยอดแห่งความปรารถนามหาชนแล้ว พระสมเด็จวัดระฆังย่อมเป็นที่หนึ่ง ซึ่งใครๆ ก็ใฝ่ฝันจะได้มาครอบครอง และนี่คือที่มาแห่งคอลัมน์ “เซียนหรือเสี้ยนพระ” ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้

นักสะสมพระเครื่องต่างรู้จักกันดีทั่วไปทั้งในและนอกประเทศ ว่าพระ เครื่องอันมีราคาแพงสุดกู่จนแทบขาดใจนั้น คือพระเครื่องอันได้นามว่าพระชุด เบญจภาคี คำว่า “เบญจ” แปลว่าห้า เบญจภาคีก็หมายถึงพระเครื่อง ๕ องค์ ซึ่งนักเลงพระจัดเข้าชุดว่าเป็นสุดยอดแห่งพระเครื่องเมืองไทย และกำหนดราคาค่าเช่าหา ซึ่งก็คือซื้อพระมาห้อยคอนั้น ว่ากันว่าเป็นเงินหลัก “ล้าน” ขึ้นไป พระเครื่องเบญจภาคีที่ว่านี้คือ ๑ พระสมเด็จวัดระฆัง ๒ พระรอด ลำพูน ๓ พระผงสุพรรณ ๔ พระซุ้มกอ กรุทุ่งเศรษฐี กำแพงเพชร และ ๕ พระนางพญา กรุวัด นางพญา พิษณุโลก ประเมินกันว่าถ้าจะใช้เงินเพื่อเช่าซื้อพระครบทั้ง ๕ องค์นี้มาห้อยแล้วไซร้ ท่านผู้ปรารถนาต้องใช้เงินเป็นจำนวนนับหลายสิบล้านบาททีเดียว แต่ก็ยังไม่แน่นักว่าระหว่างเงินจริงๆ ที่จ่ายไปในการเช่าพระกับพระที่เช่ามานั้นอันไหนจริงอันไหนปลอม เงินนั้นจริงแน่ๆ ละท่าน แต่พระที่ซื้อมานั้นสิ จริงหรือไม่ อันนี้เห็นทีต้องขยาย...


“พระหลัก” ซึ่งอาจจะหมายถึงเป็นพระนิยม เป็นพระหายาก เป็นพระมีอายุการเล่นหากันมานาน และที่สำคัญก็คือมีมูลค่าการสะสม หรือเช่าซื้อสูง ซึ่งพระหลักโดยทั่วไปแล้วมักจะอยู่ในหลักหมื่น นั่นเป็นประมาณการ แต่โดยความเป็นจริงแล้ว พระหลักในปัจจุบัน ผู้ที่ต้องการสะสมต้องใช้เงินในหลักสิบหมื่นขึ้นไปจึงจะได้ไว้เชยชม ความหายากยิ่งกว่างมเข็มในทะเลนั้น นอกจากจะเป็นของเก่าแก่มีจำนวนการสร้างน้อยแล้ว ที่สำคัญยังมีพระผี หรือของปลอมออกอาละวาดเกลื่อนตลาดอีก ทำให้เป็นที่สับสน แก่คนผู้ไม่เคยเห็นของแท้ว่าองค์จริงมีลักษณะอย่างไร ตรงไหนเป็นจุดชี้ขาดว่าปลอม-แท้ แม้แต่ผู้ที่เคยเห็น บางทีก็อาจจะต้องเสียมวย เพราะความไม่รอบคอบต่อการปลอมแปลงในยุคปัจจุบันซึ่งใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเข้าช่วย อาการเสียศูนย์แบบนี้ภาษานักเลงพระเรียกว่า “ตกควาย”

แล้วทีนี้ชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปเล่า เขาจักทำไฉน ใครจะรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งเหล่านี้ มีให้เห็นบ่อยครั้งที่พุทธศาสนิกชน ผู้เลื่อมใสศรัทธา ได้นำพระเครื่องของครูอาจารย์พระสงฆ์ในอดีตมาเลี่ยมทองคล้องคอ แต่ปรากฏว่าเป็นของปลอม แถมปลอมมานานเสียด้วย ซึ่งบ่อยครั้ง ที่เราได้พบเห็น แต่ก็กระอักกระอ่วนใจ ในอันที่จะบอกความจริงให้เขาได้ทราบ ทำไมหรือ ? เพราะการบอกนั้นมันเป็นดาบสองคมน่ะสิท่าน หากเราบอกแล้วเขาเชื่อ (ด้วยเหตุด้วยผล) ก็ดีไป แต่ถ้าหากเขาไม่สนิทใจเชื่อล่ะ ก็จะหาว่าเราปรารถนาที่จะได้พระของเขามาเป็นของตัว เพราะในวงการพระเครื่องปัจจุบันนั้นก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามีคนมากมายหลายหน้า เข้ามาเสาะหาวัตถุมงคล ไปขายเป็นกำไรหาเลี้ยงใส้เลี้ยงท้อง โดยมิได้คำนึงถึงศีลธรรมอันดีงาม พูดง่ายๆ ก็คือว่าเอาพระไปหลอกขาย หรือซื้อถูกแล้วขายแพงเกินควร ทีนี้เมื่อทำเช่นนั้นก็เป็นการค้าขายเหมือนขายผักขายปลาธรรมดาๆ นี่เอง ศักดิ์ศรีของพระเครื่อง ซึ่งในอดีตอยู่ที่ความศักดิ์สิทธิ์และศรัทธา ก็เหลือแต่เพียงคำว่า “ค่านิยม” ซึ่งก็คือตัวเงินที่นำมากำหนด เป็นมูลค่าการซื้อขายนั่นเอง บุคคลผู้ทำการค้า-ขายพระเครื่องนี้มีศัพท์จำเพาะเรียกว่า เซียนพระ


--------------------------------------------------------------------------------

ในหลายปีก่อนนั้น วงการพระเครื่องในเมืองไทยเจริญหรือบูมถึงขีดสุด มีการซื้อขายพระเครื่องในระดับที่น่าตกใจ พระสมเด็จวัดระฆังมีมูลค่าการซื้อขายเป็นหลักสิบล้านขึ้นไป นอกจากนั้นพระเครื่องทั้งใหม่และเก่าต่างถูกระบบการตลาดคือการโฆษณาชวนเชื่อ ชักชวนให้คนนิยมหลงงมงายไปกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ว่าหากว่าได้ห้อย บูชาพระเครื่องรุ่นนั้นรุ่นนี้จะมีโชคลาภมหาศาล ดลบันดาลความร่ำรวยสำเร็จได้ในพริบตา พระวัดปากน้ำภาษีเจริญ ดูเหมือนจะเดินนำหน้าเพื่อน พระของขวัญรุ่นที่ ๑-๒-๓ ที่หลวงพ่อสด จนฺทสโร ได้สร้างไว้เพื่อเป็นของขวัญแก่ผู้ร่วมทำบุญวัดปากน้ำ กลายเป็นพระเครื่องระดับแนวหน้ามีมูลค่านับแสน บางแห่งว่าแซงหน้าพระสมเด็จบางขุนพรหมด้วยซ้ำไป จึงมีการสร้างรุ่นใหม่ขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของญาติโยมผู้ศรัทธา การสร้างพระเครื่องวัดปากน้ำที่ดังที่สุดก็เห็นจะเป็นรุ่นที่ ๖ ที่มีข่าวว่ามีคนแขวนแล้วโดนยิงแต่ไม่เข้ามั่ง เข้าแล้วไม่ตายมั่ง แขวนแล้วเฮงมั่ง จนกระทั่งมูลค่าพระที่กำหนดราคาบูชาจากวัดเพียง ๑๐๐ บาท กลายเพิ่มมูลค่าขึ้นจนน่าตกใจ

พิมพ์นิยมหรือที่เรียกว่าพิมพ์แป๊ะยิ้มนั้น ตอนนั้นอยู่ที่หลักหมื่น ที่เหลือก็พากันเดินพาเหรดเพิ่มราคาอย่างทั่วหน้า แต่ตอนหลังพระวัดปากน้ำราคากลับทรุดฮวบอย่างน่าใจหายด้วยเช่นกัน พระพิมพ์แป๊ะยิ้มจึงยิ้มไม่ออก จึงมีสำนวนไทยใหม่ในวงการพระว่า “แป๊ะยิ้ม อาซิ้มร้องไห้” อะไรทำนองนี้แหละ แต่ว่าไปคนไทยเราก็ดูเหมือนจะเจ็บไม่จำ เพราะพวกเสี้ยนพระทั้งหลายได้เข็นสินค้าชนิดใหม่เข้าสู่ตลาดอีก ทีนี้ก็กะโปรโมทกันเป็นชุดๆ ทีเดียว ทั้งหลวงปู่โต๊ะ หลวงปู่ทวด หลวงปู่ทิม ทั้งสายเหนือสายใต้ สายอีสาน สายกลางและที่ไม่มีสาย ถูกหนังสือพิมพ์หนังสือพระและการโฆษณาในทุกระบบ ตีข่าวประโคมโน้มน้าวว่า รีบๆ เช่าซื้อเข้าไว้เถอะ นานไปราคาจะแพงหาซื้อไม่ได้ จากศูนย์พระเครื่องที่เคยมีแต่คนเพียงไม่กี่กลุ่มเข้าไปชมก็กลายขยายที่เป็นตลาดพระทั้งติดแอร์ขึ้นห้าง

แต่ถ้าว่าเราไปฟังพวกพ่อค้าพระที่เรียกว่าเสี้ยน เอ๊ย ! เซียนพระพูดสิ มีแต่มึง กู ลื้อ อั๊ว ภาษาที่สุนัขไม่รับประทานทั้งนั้น หลายศูนย์หลายสายมีแต่เด็กเจ๊กกับผู้หญิงเข้ามาคุมแผงพระ คือเอาพระใส่ตู้เขียนราคาติดไว้ แล้วก็เอาชามข้าวชามปลามาวางบนตู้พระ กินไปคุยไป บางทีเรื่องอันสกปรกลามกก็หลุดออกจากปากโดยเจตนา ที่น่าสมเพชก็คือคุณผู้หญิงที่ริเป็นเซียนพระนั้น บางทีก็เดินข้ามหัวพระไปมา บ้างก็ยิ่งหนัก คือนุ่งน้อยห่มน้อย โชว์ของในร่มผ้าให้หลวงพ่อท่านพิจารณาเป็นอสุภารมย์ สร้างความขมขื่นใจให้แก่พุทธศาสนิกชนผู้รักต่อภาพพจน์ของพระพุทธศาสนาเป็นที่สุด


--------------------------------------------------------------------------------

วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์เมื่อสี่ห้าปีก่อน หากใครเคยผ่านไปแถวนั้นก็คงจะทราบดีว่า ฝั่งทางด้านเหนือของวัดมหาธาตุที่ต่อไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นั้นเป็นแหล่งวัตถุมงคลที่ใหญ่ที่สุด จะหาพระอะไรแบบไหน จะเอาแบบเพิ่งขุดจากดินขึ้นมาหรือว่าปลอมไว้เป็นปีๆ ก็มีให้เลือกอย่างครบครัน ที่สำคัญการจัดวางพระที่นำมาจำหน่าย บ้างก็อยู่บนรถซึ่งมีทั้งเมียทั้งผัวทั้งลูกชายลูกสาวยกเท้าข้ามไปข้ามมา นั่นยังไม่นับชามก๋วยเตี๋ยวเอย เสื้อผ้าอาภรณ์เอย ที่เป็นของใช้ถูกวางไว้บนหัวหลวงพ่อ หากมองต่ำลงไปตรงทางเท้า ก็จะยิ่งเห็นความเทิดทูนบูชาพระเครื่องกันอย่างยิ่งใหญ่ เพราะบนทางเท้านั้นเป็นที่สถิตย์ของหลวงพ่อผู้ศักดิ์สิทธิ์โดยมีกระดาษบางๆ เพียงแผ่นเดียวรองไว้ ซึ่งบางแผ่นนั้นเป็นรูปโป๊เสียด้วย คนที่ไปนั่งส่องดูก็ไม่แน่ใจว่าอยากจะดูพระหรือดูหนังสือโป๊กันแน่ บางคนก็นั่งบนเก้าอี้ ยกเท้าขึ้นไขว่ห้างชี้ไปที่หลวงพ่อต่างๆ ที่อยู่บนทางเท้า มันน่าเศร้าใจนัก แต่ที่แน่ๆ ก็คือทั้งสิ่งของลามกอนาจารและวัตถุมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็สถิตย์อยู่ในที่แห่งเดียวกันอย่างกลมกลืน โอ้อนิจจา ประเทศไทย เมืองแห่งผ้ากาสาวพัสตร์

ปัญหาหลักในวงการพระเครื่อง นอกจากจะเป็นการโก่งราคากันอย่างหน้าเลือดแล้ว ที่สำคัญก็คือมีการฮั้วกันขึ้น โดยพระในสายนั้นๆ จะต้องอยู่ในมือของกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คนที่เล่นหาและเป็นผู้กำหนดราคาด้วย ซึ่งราคาที่กำหนดนั้นเขาได้บวกราคาโฆษณาเข้าไปด้วย ลองนึกภาพดูเถิดท่านทั้งหลาย วัตถุมงคลหลวงปู่เทศน์ที่เรียกว่า “พระกริ่งรัตนรังษี” นั้น ดูเหมือนจะเป็นการตบหน้าพวกเซียนพระจนหน้ามืด เพราะเอาพระไปโฆษณาหากินกันอย่างโจ่งแจ้ง ผิดวัตถุประสงค์ขององค์ผู้เมตตาอนุญาตคือหลวงปู่เทศน์ พระกริ่งเนื้อนวะโลหะธรรมดาๆ ราคาจองเริ่มแรกก็ไม่กี่ร้อย ถูกปั่นราคาใบจองขึ้นไปหลายเท่าตัว ยิ่งพระชุดทองคำยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ บ้างก็อ้างว่าได้โควต้ามาน้อยหรือจำนวนการสร้างน้อยเป็นต้น ท้ายที่สุดกับความโลภมากลาภหายก็ทำให้ฉิบหายกันทั่วหน้า คือหลวงปู่เทศน์ได้งดทำการอธิษฐานจิตปลุกเสก ก็เลยทำให้ขายไม่ออกต้องคืนเงินกันอย่างหน้ามืด ข่าวว่าจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังใช้หนี้กันไม่หมด จริงหรือไม่อันนี้ผู้เขียนไม่รับรอง


--------------------------------------------------------------------------------



ว่าถึงปัญหาในวงการพระเครื่องกันต่อ นอกจากปัญหาในการปลอม แปลงพระเครื่องจะระบาดอย่างหนักแก่พระเครื่องรุ่นเก่าๆ แล้ว พระเครื่องรุ่นใหม่ ก็เจอปัญหาที่สำคัญไม่แพ้กัน และออกจะสำคัญกว่าเสียด้วย นั่นก็คือมีนักสร้างพระอันหมายถึงนายช่างผู้แกะพิมพ์พระเครื่องจัญไรบางคนที่ไม่มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ ได้นำเอาบล็อคพิมพ์พระของแท้ที่วัดต่างๆ สั่งให้สร้างนั้น มาทำการปั๊มเสริมเพิ่มจำนวน แล้วนำไปขายโดยไม่ได้ปลุกเสกอย่างถูกต้อง และทางวัดเจ้าของลิขสิทธิ์ก็ไม่รู้เรื่อง บางทีก็มีคณะกรรมการเลวๆ บางคนไปทำเสริมขึ้นมาก็มี หรือบางทีก็เป็นการฮั้วกันของกรรมการจัดสร้างและนายช่างด้วย ของปลอมกับของแท้จึงแยกไม่ออก ผู้เช่าหาไปบูชาจึงยิ่งกว่าถูกต้มเสียอีก

นอกจากปัญหาที่มาจากนักเล่นและนักสร้างแล้ว ก็ยังมีปัญหามาจากตัวพระเกจิอาจารย์อีก คือพระเกจิบางองค์นั้นเก่งไม่จริง เป็นแต่เพียงถูกพวกนักสร้างพระ “ขุน” ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือหากิน โดยมีการ “ฮั้ว” ผลประโยชน์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ผลประโยชน์ไม่ลงตัว จึงมีการ “หักหลัง” กันขึ้น โดยการเชิดเงินหนีมั่ง สัญญาว่าจะให้แต่ไม่ให้มั่ง ส่วนมากคำโวยวายมักจะมาจากทางวัดของเกจิอาจารย์นั่นเอง เพราะเล่นกับใครไม่เล่นดันไปเล่นกับเสี้ยนพระเข้า ดังนั้นบางทีพระเครื่องที่ได้รับมาจากทางวัดนั้น แม้ว่าจะเป็นของจริง แต่ทว่าตัวเกจิอาจารย์กลับไม่ใช่ของจริง มันก็ยิ่งกว่าปล้นกันกลางวันแสกๆ เสียอีก

ที่สำคัญ หลัง ๆ มานี้ มีพวกแก๊ง “พระตุ๊ด-พระกระเทย” เข้าไปดำเนินการจัดทำพิธีกรรมพุทธาภิเษกพระเครื่องคือเป็นเจ้าพิธีด้วย ความศักดิ์สิทธิ์คงจะยิ่งเพิ่มพูนหนักเข้าไปอีกไม่น้อย ที่เป็นโรคเอดส์ตายไปไม่รู้กี่รูปน่ะ ล้วนแต่เป็นพระเกจิดังๆ ทั้งนั้น มีการสร้าง “ทีมพระเกจิ” ขึ้นมา แล้วก็นิมนต์กันเองเดินสายไปปลุกเสกพระทั่วประเทศ ดูๆ เอาเถิดท่านทั้งหลาย ที่ลงหนังสือพระบ่อยๆ น่ะ ผลประโยชน์ทั้งนั้น หลวงปู่บางองค์ท่านป่วยหรือพิการจนเดินไม่ได้แล้ว ก็ยังมีการ “เข็น” สังขารของท่านเข้าร่วมพิธีจนได้ เพราะไม่งั้น “ของ” ก็จะขายไม่ออก ผู้เขียนได้เคยเห็นพระเกจิดังรูปหนึ่งแห่งจังหวัดชลบุรี เมื่อ ๕-๖ปีก่อนโน้น ท่านอาพาธนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล พวกกรรมการก็ยังพยายามจะเข็นท่าน ให้ “หายป่วย” ให้จนได้ เพราะว่ากำหนดการรับพระที่จองไว้นั้นได้มาถึงแล้ว สุดท้ายเมื่อหลวงปู่ไม่สามารถมาได้เพราะหมอไม่อนุญาต คณะกรรมการก็ขออนุญาตหมอนำวัตถุมงคลไปให้หลวงปู่ปลุกเสกถึงในห้องคนไข้ไอซียู นี้เป็นเรื่องจริงมีหลักฐานยืนยันได้ ภาพของหลวงปู่ผู้ศักดิ์สิทธิ์มีสายน้ำเกลือทั้งสายอ็อกซิเจ้นระโยงระยาย นั่งหายใจระทดระทวยอยู่บนรถเข็นคนไข้ แถมด้วยสายสิญจน์โยงไปถึงกองพระเครื่องที่ปลายเท้านั้น มันได้สร้างความหดหู่ให้แก่ผู้ที่ได้เห็น มากกว่าความเลื่อมใสศรัทธาที่น่าจะได้รับ จนบัดนี้ราคาพระเครื่องของท่านก็ยัง “ร่วงติดฟลอร์” อย่างหาทางฟื้นไม่เจอ เฮ้อ ! กรรม


--------------------------------------------------------------------------------



นอกจากวัตถุอวมงคลเช่นไอ้ขิก-อีเป๋อเป็นต้น ที่นิยมสร้างมอมเมาประชาชนแล้ว เร็วๆ นี้ก็มีหลวงตา “บ๊องส์” องค์หนึ่งชื่อ “จืด” อยู่แถวๆ นครปฐม ได้สร้างวัตถุมหานิยมใหม่ขึ้นในเมืองไทย นั่นคือ “ตาเฒ่าชูชก” ผู้โด่งดังในเรื่องพระเวสสันดร พระรูปนี้อ้างสรรพคุณว่า “ชูชกนั้นเป็นนักขอชั้นยอด ขออะไรเป็นต้องได้ ชายชาตรีที่อยากมีเมีย ถ้าหากว่าได้ห้อย “ไอ้เฒ่าชูชก” ของหลวงตาบ๊องส์องค์นี้แล้ว ก็จะขอเมียได้ดังใจนึก” ครับ นี่ถอดความเอามาจากหนังสือพระที่ลงโฆษณาหากินกันอย่างตอแหลที่สุด แถมพระบ้ารูปนี้ยังนับถือตาเฒ่าชูชกเป็นพระโพธิสัตว์อีก โดยได้ใส่คาถาโฆษณาไว้ท้ายคอลัมน์ว่า ถ้าหากจะให้เฮง “ซวย” แล้ว ต้องท่องคาถามหานิยมว่า ชูชโก โพธิสัตโต เอหิ มะมะ ครับ เรื่องอย่างนี้มีให้เห็นดื่นไปในเมืองไทย ที่ดังที่สุดก็เห็นจะเป็นการสร้างพระเครื่องรุ่น “ดูดทรัพย์” ของวัดพระธรรมกายนั่นแหละ เพราะมีการใช้ระบบการโฆษณาระดับมืออาชีพเข้ามาจัดการ “มอมเมาประชน” ในยุคไอเอ็มเอฟ พระรุ่นดูดทรัพย์ของวัดพระธรรมกายมีอยู่หลายเกรดตามระดับของ “แรงดูด” ถ้าดูดธรรมดาๆ แบบดูดโอเลี้ยง ก็ขายกันองค์ละหมื่น ถ้าดูดให้แรงกว่านั้นแบบดูดโอยั๊ว ก็ต้องใช้องค์ที่แรงกว่า ราคาหนึ่งแสน ! แต่ถ้าจะให้ดูดแบบรัฐมนตรีที่โกงบ้านโกงเมือง ก็ต้องใช้พระรุ่นดูดมหากาฬ ราคาหรือก็สมน้ำสมเนื้อกับแรง “ดูด” คือองค์ละล้าน ! แหม ดูดไปดูดมา เจ้าตำรา “ธรรมโกย” ก็โดน “ดูด” ขึ้นศาลวันละหลายรอบ สมกับคำโฆษณาจริงๆ

หนังสือ “อธรรม” ที่อ้างกันว่าเป็นหนังสือธรรมะ เช่นพวก ศักดิ์สิทธิ์ โลกทิพย์ โลกลี้ลับ คนพ้นโลก เป็นต้น ต่างขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะว่าคนเรามันบ้าสวรรค์นิพพาน หลวงตาแก่ๆ บางองค์ จู่ๆ ก็ถูกพวกอรหันต์คือกองบรรณาธิการของหนังสือเหล่านี้ “อุปโลกน์” ขึ้นเป็นพระอรหันต์ เอาผีสางนางไม้ เทวดามารพรหมและเสือสิงห์กระทิงแรดมาเสริมสร้างชีวประวัติให้พิลึกกึกกือ คือยกย่องขึ้นเป็นเทพเจ้าแห่งจังหวัดนั้นๆ แล้วท้ายที่สุดของทุกเล่มก็จะมีการโฆษณาขายวัตถุอวมงคล เช่น ไอ้ขิก-อีเป๋อ แร่เหล็กไหล โคตรเหล็กไหล ขี้เหล็กไหล กุมารทอง เป็นต้น ถึงขนาดขุดเอากระดูกไดโนเสาร์มาทำพระขายก็มี อวดสรรพคุณว่าดีอย่างโน้นดีอย่างนี้ แต่ไปดูที่คอพวกที่อวดดีเหล่านี้สิ ไม่เห็นมีใครห้อย “ของดี” กันเลยซักคน เป็นเรื่องแปลกแต่จริง !


--------------------------------------------------------------------------------



“สนามฝึกเซียน” ที่ท่าพระจันทร์ที่เป็นตลาดติดกับแม่น้ำเจ้าพระยานั้น รู้กันทั่วไปในแวดวงคนเล่นพระว่าเป็นสนามพระที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ถ้าหาก ท่านผู้อ่านเดินเข้าไปในบริเวณนั้น ตามรายทางแผงพระจะพบกับ “ด่านคน” จำนวนหนึ่งถือกล้องส่องพระขนาดเล็กๆ ยืนถามอย่างไม่มีมารยาทว่า “มีอะไรให้ดูบ้างพี่ ?” “ห้อยพระอะไร เพ่ ! ปล่อยไหม ?” และถ้าหากว่าท่านเอาพระที่ห้อยให้คนพวกนี้ดู พวกก็จะจับใส่กล้องพลิกไปพลิกมา ถ้าไม่สนใจก็จะส่งคืนให้พร้อมด้วยคำพูดว่า “ดีครับ มีอีกไหม ?” และถ้าหากว่าท่านไม่ไปไหน คือยังวนเวียนดูพระอยู่แถวๆ นั้น ก็จะเห็นทั้งได้ยินกริยาเช่นนี้ซ้ำๆ ซากๆ นั่นแหละคือพวก “มือใหม่หัดขับ” ถือกล้องขอส่องพระเขาฟรีๆ เพื่อหาประสบการณ์ในการยก ระดับขึ้นเป็นเซียน ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีเงินเช่าซื้อพระหรอก แต่ว่าก็เพื่อจุดหมายดังกล่าวนั่นเอง

แต่ก็มีบ่อยครั้งที่พวกนี้ไปสะดุดตอเข้า คือมีคนบางคนเขาเช่าซื้อพระมาจากแผงพระในสนามท่าพระจันทร์นั่นเอง แล้วก็ใส่ห้อยคอเดินไปอีกแผงหนึ่ง ซึ่งมีเซียนทั้งใหม่ทั้งเก่าสุมหัวกันอยู่พอดี ทีนี้ก็มีการขอดูพระอย่างเคย เมื่อเจ้าของพระนำพระองค์ที่เช่ามานั้นออกให้ดูแล้ว พวกที่ว่านั้นก็ส่องดูแล้วคืนให้พร้อมกับคำว่า “ไม่ดี พี่” ทีนี้ก็เป็นเรื่องสิท่าน เพราะว่าพระองค์นั้นเจ้าของเพิ่งเช่ามาจากแผงตรงข้ามเมื่อไม่กี่นาทีมานี่เอง ครั้นทราบว่า “ไม่ดี” ดังนั้น จึงนำไปคืน

ฝ่ายเจ้าของแผงพระที่ให้เช่าไปนั้น ก่อนจะรับคืนก็ถามหาสาเหตุว่าทำไมถึงเอามาคืน ครั้นทราบว่า “เพราะแผงโน้นบอกว่าไม่ดี” ดังนี้ ก็เกิดปัญหาขึ้นมาทันที “ปากหมา” คือคำสบถออกมาจากเจ้าของแผงที่ถูกคืนของจนของขึ้น และจากนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีการยกแผงพระประหมัดกัน กว่าเรื่องจะยุติลงได้ก็ต้องเรียกเซียนเก่าหลายต่อหลายคนที่เคยเป็นกรรมการตัดสินพระเครื่อง ให้มาเป็นกรรมการตัดสินมวยแทน ตั้งแต่นั้นมา ถ้าใครเอาพระไปให้เซียนในสนามพระท่าพระจันทร์ดู ก็จะได้รับคำตอบกลับมาทุกครั้งว่า “ดีครับพี่ มีอีกไหม ??” สาเหตุก็เป็นเช่นนี้แล


--------------------------------------------------------------------------------



วัตถุมงคลของพระเกจิดังแห่งอีสานนามว่า “หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่” นั้น ว่ากันว่ามีจำนวนการสร้างที่ “มากที่สุด” ในประเทศไทย สมัยก่อนนั้นเขาว่า ของหลวงปู่แหวนมีมากที่สุด แต่ว่าเก่าหรือจะสู้ใหม่ เพราะของใหม่มันเสริมได้ ถ้าเป็นของเก่าก็ต้อง “ปลอม” กันอย่างเดียว มีพระกริ่งอยู่รุ่นหนึ่งพวกลูกศิษย์ให้ชื่อว่า “รุ่นทิ้งทวน” เมื่อโฆษณาในใบจองนั้น บอกว่าเป็นรุ่นทิ้งทวนคือรุ่นสุดท้าย ต่อไปหลวงพ่อจะไม่สร้างอีกแล้ว ผู้คนจึงรุมซื้อใบจองกันอย่างล้นหลาม แล้วของ “เสริม” ก็ออกอาละวาด แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับว่า ต่อนั้นมาอีกไม่เท่าไหร่ก็มีการประกาศสร้างพระกริ่งรุ่นใหม่ของหลวงพ่อขึ้นมาอีก ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาอย่างหนาหูว่า ก็ไหนเห็นบอกว่าเป็นรุ่นสุดท้ายแล้วไง แล้วเหตุไฉนจึงได้สร้างรุ่นใหม่ขึ้นมาอีก รุ่นทิ้งทวนเป็นรุ่นสุดท้ายแล้วมิใช่หรือ ? พวกเสี้ยนพระทั้งหลายก็อาศัยปากหลวงพ่อพูดอย่างด้านๆ ว่า “ก็กูมีทวนหลายอัน จะทิ้งไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ” ฟังดูแล้วทำให้หัวเราะก็ไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก ผู้ที่ทิ้งทวนโดยการเช่าเอาไว้มากๆ ก็ต้องชอกช้ำระกำใจปล่อยพระออกไปถูกๆ แบบทิ้งทวนกันเลยทีเดียว

เล่นพระสงฆ์องค์เณรจนร่ำรวยเท่านั้นก็ยังไม่พอ พวกนี้ยังเอื้อมอาจดึงฟ้าต่ำ ด้วยการทูลขอพระบรมราชานุญาตสร้างพระบรมรูปจำลองของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เหรียญพระบรมรูป ร.๕ ออกเดินนำหน้าก่อน เพื่อน จนพระนักสร้างแถวๆ หัวลำโพงบางองค์ได้กลายเป็นเจ้าคุณไปแล้ว

ที่โด่งดังอีกรูปหนึ่งก็คือ “ไอ้เณรแอ” แห่งวัดหนองระกำ จังหวัดสระบุรี ไอ้หมอนี่บวชเณรจนมีอายุปาเข้าเลขสี่แล้ว แต่ยังไม่ยอมบวชพระ อุตริอ้างว่า สิกขาบทหรือศีลของพระมันเยอะรักษายาก สู้อยู่เป็นเณรสบายกว่า เพราะว่ารักษาศีลเพียง ๑๐ ข้อเท่านั้น จากนั้นก็อุปโลกน์ตัวเองเป็นอรหันต์ สักยันต์จนตัวลาย ยิ่งถ้ามองไกลๆ ก็จะเห็นเป็นเสือโคร่งไปเลย ทำพิธีทางไสยศาสตร์ เช่น ลง น หน้าทอง ปลุกเสกน้ำมันพราย ทำพิธีมหาสเน่ห์ให้ผัวรักผัวหลง ที่เป็นเมียน้อยก็จะได้เป็นเมียหลวง ที่ผัวหนีก็จะดีกันดังเดิม เสริมไปเสริมมา คุณหญิงคุณนายที่หลงกับดักไปให้นายแอ “เสริม” ให้นั้น ก็โดนเสริมจนอายไม่กล้าสู้หน้าสังคม มีวัดแห่งหนึ่งแถวๆ ภาคเหนือได้จัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นมา และได้นิมนต์ “หลวงพ่อเณรแอ” ไปร่วมพิธีปลุกเสกด้วย ได้ทำแผ่นพับใบปลิวโฆษณาเสียใหญ่โต ในงานปลุกเสกคืนนั้นมีคนไปให้เณรแอลง “เหนียว” แล้วลองฟันด้วยดาบ ซึ่งปรากฏว่า “ไม่เข้า” กันหลายที พระเครื่องก็เลยทำท่าว่าจะไปได้สวย แต่แล้วเหมือนฟ้าผ่า เมื่อคล้อยหลังพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นั้นไปได้ไม่กี่วัน “หลวงพ่อเณรแอคนเก่ง” ถูกจับสึกข้อหาเอาศพเด็กมาย่างทำน้ำมันพราย จากนั้นหลวงพ่อเณรแอก็แปลงร่างเป็น “ทิด” ใส่กางเกงยีนส์สวมหมวกคาวบอยไปเชียร์มวยอยู่ที่สนามมวยลุมพินี เป็นที่สนใจจนหนังสือพิมพ์เอาไปลง ผลก็คือพระเครื่องของวัดๆ นั้นยังคงค้างสต็อกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ พร้อมด้วย “หนี้” อีกนับล้านบาททีเดียว


--------------------------------------------------------------------------------



อย่างไรก็ตาม ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาของมหาชน ก็ทำให้พระเครื่อง ต่างๆ ยังคงเป็นของมีค่ามากราคาและเป็นที่ต้องการสะสมของชาวพุทธทั้งไทย และเทศทั่วไป จากความมีราคาแพงของพระเครื่องดังกล่าวมานี้ ก็ทำให้มีความ ต้องการกันมาก พระเครื่องแต่ละองค์นั้น เมื่อเห็นราคาแล้วรู้สึก “หนาว “ จับขั้ว หัวใจ เพราะว่ามันแพงยิ่งกว่าเพชรเสียอีก ดังนั้นความต้องการพระเครื่องดังกล่าวจึงเพิ่มมากขึ้น เพราะหากว่าผู้ใดเกิด “ฟรุค” ได้พระสมเด็จหรือพระเบญจภาคีมาซักองค์หนึ่ง ก็เตรียมตัวเป็นเศรษฐีไปเลย เอาไปขายได้ราคา ดังคำกล่าวที่ว่า “มีกูมึงไม่จน” นั้นแหละ ก็จะให้จนได้ยังไง เพราะว่าถ้าวันไหนเกิดขัดสนขึ้นมาละก็ “ขาย” หลวงพ่อได้เลยสิ จริงไหม

แต่ก็ได้เกิดปฏิกิริยาใหม่ขึ้นมาจากความมีค่ามากของพระเครื่องนี้ คือเดิมทีพระเครื่องเราใช้เป็นเครื่องบูชากันภูติผีปีศาจหรือเพื่อให้เกิดกำลังใจ แต่ในปัจจุบันจะเห็นว่าพระเครื่องที่มีราคานั้น กลับมิใช่สิ่งที่จะมาป้องกันตัวของผู้ครอบครองอีกต่อไปแล้ว ทว่ากลับเป็นอันตรายมากกว่า เคยมีคดีดังๆ เกี่ยวกับการปล้นชิงพระเครื่องทำให้เจ้าของถึงกับเสียชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน ความตาลปัตรที่ว่านี้ก็คือว่า ปัจจุบันนอกจากว่าพระจะไม่สามารถป้องกันคนได้แล้ว คนอีกต่างหากที่ต้องทำการปกป้องพระเครื่องให้อยู่รอดปลอดภัย หรือพระเครื่องกลับเป็นตัวนำภัยมาให้ตัวผู้ครอบครองเสียเอง ดังนั้นพระเครื่องที่มีราคาในปัจจุบันจึงมีที่อยู่ใหม่ คือตู้เซฟในธนาคาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันอันตรายดังกล่าวนั่นเอง เอาข่าวด่วนมาเสนอก็ได้ เดี๋ยวจะหาว่าผู้เขียนมองโลกในแง่ร้ายเกินไป

วันเสาร์ ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๓ ได้เกิดเหตุฆาตกรรมพระภิกษุขึ้น ณ วัดกิ่งแก้ว ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น.คนร้ายไม่ทราบจำนวนได้บุกเข้ามาในกุฏิพระครูวิมลกิจจานุกิจ อายุ ๘๒ ปี เจ้าอาวาสวัดกิ่งแก้ว โดยคนร้ายได้ใช้จีวรมัดมือมัดเท้า จากนั้นได้ใช้ของแข็งทุบขั้วศีรษะและตามร่างกายจนเสียชีวิต เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ เพราะมีร่องรอยการรื้อค้นและทรัพย์สินเงินทอง พร้อมพระหลวงพ่อเผือกพระเหรียญชื่อดังของวัดได้หายไป..” นี่คือการฆาตกรรมพระภิกษุสงฆ์ซึ่งมีของมีค่าไว้ในครอบครอง ขนาดท่านอายุตั้งแปดสิบกว่าปีพวกมารศาสนาก็ยังไม่ละเว้น แต่จะโทษพวกเปรตนรกเหล่านี้ทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะถ้าว่าหลวงพ่อรูปนั้นไม่สะสมของมีค่าตามพระวินัยแล้ว ก็คงไม่ต้องถึงจุดจบอย่างอนาถใจดังกล่าว


--------------------------------------------------------------------------------



ความแพงของพระเครื่องมาจากอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นคือเป็นเครื่องประดับ คือนอกจากจะเป็นวัตถุมงคลแล้ว ก็ยังเป็นของมีค่ามีราคาและสวยงามอีกด้วย ความสวยงามที่ว่านี้มาจากการตกแต่งองค์พระด้วย “กรอบหรือตลับ” ที่ทำขึ้นด้วยวัสดุอันมีค่าเช่น ทองคำและเพชรพลอยเป็นต้น การนำแร่ที่มีราคาเช่นเงินและทองคำมาสร้างพระเครื่องจึงเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ทำให้อุตสาหกรรมทองคำในประเทศไทยโตวันโตคืน กล่าวได้ว่าคนไทยนิยมในการประดับร่างกายด้วยทองคำมากที่สุดในโลกชาติหนึ่ง

การปั่นราคาพระเครื่องจนเกินราคาจริงอย่างสุดกู่นั้น ได้เป็นภัยใหญ่ ต่อวงการพระเครื่องและเศรษฐกิจบ้านเราอย่างมหาศาลด้วย เพราะว่าเมื่อทาง รัฐบาลประกาศให้ราคาเงินบาทลอยตัวเมื่อสามปีก่อนนั้นแล้ว ราคาพระเครื่องก็ตกลงกระแทกพื้นอย่างจัง เพราะว่าชาวบ้านไม่มีเงิน เมื่อไม่มีเงินก็ไม่มีข้าวกิน เมื่อไม่มีข้าวกินก็ต้องหิว เรื่องเงินกับข้าวจึงเป็นเรื่องปากเรื่องท้อง แต่เมื่อมองดู หลวงพ่อองค์สวยที่ห้อยอยู่บนคอแล้วก็ต้องเศร้าใจ เพราะว่ากินท่านแทนข้าวไม่ได้ อาหารใจกับอาหารปากจึงต้องแข่งขันกันอีกครั้งหนึ่ง ท้ายที่สุดอาหารใจคือหลวงพ่อองค์งามบนคอก็แพ้อาหารปากคือข้าว ชาวบ้านที่ขายไร่นาสาโทหลงไป “เช่าพระ” ไว้มากๆ ก็ต้องเอาพระเหล่านั้นออกมาขายโดยคิดว่าจะได้ราคา

แต่ที่ไหนได้ พระเครื่องนั้นเป็นสิ่งที่ซื้อง่ายแต่ว่าขายยาก คือในยามจะซื้อพวกเสี้ยนพระทั้งหลายก็จะโฆษณาเสียพิลึกกึกกือว่าดีอย่างโน้นดีอย่างนี้ มีอภินิหารย์สารพัด สามารถสร้างความร่ำรวยได้ทันตาเห็น แถมยังเล่านิทานให้ฟังอีกหลายเรื่อง คนที่จะเช่าซื้อพระมาห้อยน่าที่จะดูเฉพาะตัวองค์พระว่ามีราคาค่างวดเท่าไหร่ กลับไปหลงไหลกับนิทานโกหกของพวกเสี้ยน จนท้ายที่สุดก็ซื้อพระแถมด้วยนิทานน้ำเน่ามาเล่าต่อๆ ไปอีก ครั้นเมื่อจะเอาพระที่เช่ามา “จม” เป็นเงินจำนวนมากนั้นออกขาย กลับถูกพวกเสี้ยนพระทั้งหลายพูดติโน่นตินี่ กดราคาสารพัด จนทุนหายกำไรหด บางทียิ่งเป็นหนักคือซื้อไปแล้วไม่ยอมรับคืนอีกต่างหาก คดีดังที่มีการยิง “เซียนพระ” ล้มคว่ำคาท่าพระจันทร์ สนามพระที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยเมื่อหลายปีก่อนโน้น จะมีสาเหตุอันใดถ้ามิใช่การหากินโดย มิชอบของคนพวกนี้


--------------------------------------------------------------------------------



“พระกรุกับพระกุ” พระกรุนั้นเป็นพระเครื่องที่คนรุ่นก่อนๆ ได้สร้างไว้ แล้วนำไปบรรจุในที่แห่งใดแห่งหนึ่งเช่นเจดีย์เป็นต้นเพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา ครั้นภายหลังมามีคนไปขุดค้นพบหรือเจดีย์แห่งนั้นทนต่ออายุงานของอิฐปูนไม่ไหวก็พังทลายลงมาพร้อมด้วยพระเครื่องดังกล่าว เราจึงเรียกว่าพระแตกกรุ มีพระกรุที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย เช่น พระสมเด็จวัดใหม่อมตรสหรือพระสมเด็จบางขุนพรม ที่เสมียนตราด้วงได้สร้างแล้วอาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โตไปปลุกเสก เก็บใส่เจดีย์องค์ใหญ่ไว้ที่วัดบางขุนพรมซึ่งปัจจุบันคือวัดใหม่อมตรส พระกรุวัดใหญ่ชัยมงคล-อยุธยา ที่มีพระขุนแผนเคลือบแตกกรุออกมาพร้อมด้วยพระเครื่องอื่นๆ เป็นจำนวนมาก พระรอดกรุวัดมหาวัน-ลำพูน พระผงสุพรรณ จังหวัดสุพรรณบุรี พระทุ่งเศรษฐี จังหวัดกำแพงเพชร พระนางพญา วัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก พระหูยานและพระร่วงรางปืนจังหวัดลพบุรี เป็นต้น

พระเครื่องเหล่านี้มีคตินิยมในการสร้างมาช้านานนับพันกว่าปีมาแล้ว และเพิ่งมาได้รับความนิยมในการนำมาบูชาห้อยคอเมื่อไม่นานมานี้ คิดว่าไม่เกิน ๑๐๐ ปีเลย สมัยก่อนนั้นชาวบ้านไม่นิยมนำพระเข้าบ้าน เพราะถือกันว่าเป็นของสูง พระก็อยู่ส่วนพระคือในวัด ส่วนบ้านก็ต้องเป็นบ้าน ดังนั้นพระเครื่องสมัย โบราณจึงอยู่ที่วัดเท่านั้น เพิ่งจะมาเริ่มในสมัยรัชการที่ ๕ ที่เสด็จประพาสยุโรป เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศมหาอำนาจด้านตะวันตก มีอังกฤษ ฝรั่งเศษ เยอรมันนี รัสเซีย เป็นต้น ซึ่งในขณะนั้นประเทศต่างๆ ในเอเซียถูกมหาอำนาจ เหล่านี้ล่าอาณานิคมเป็นเมืองขึ้น ครั้นทรงนิวัติกลับพระนครแล้ว ทรงโปรดให้มีการปฏิรูปวัฒนธรรมไทยอย่างใหญ่โต ทรงนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในเมืองไทย เช่น การรถไฟ ไฟฟ้า น้ำประปา โทรเลข รถยนต์ โรงพิมพ์หนังสือ โรงทำเหรียญกษาป เป็นต้น และที่สำคัญก็คือการปฏิรูปการศึกษา ทรงจัดให้มีโรงเรียนทั้งในวัดและนอกวัด และเป็นที่มาแห่งมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ ในประเทศไทยขณะนี้ ทรงยกเลิกระบบประเทศราชคือการมีเจ้าเมืองเอกราช เช่นเมืองเชียงใหม่ นครศรีธรรมราช เป็นต้น ให้ลดฐานะลงเป็นเพียงมณฑลหนึ่ง เช่นหัวเมืองฝ่ายเหนือก็ให้ลดชั้นลงเป็นมณฑลพายัพเป็นต้น เจ้าผู้ครองนครเหล่านั้นก็ถูกริบอำนาจเสียสิ้น เหลือเพียงนามสกุลให้ใช้ต่างหน้า เช่น ตระกูล ณ เชียงใหม่ ณ นคร ณ ลำปาง ณ ลำพูน เป็นต้น ลูกหลานที่ใช้นามสกุลเหล่านี้ในปัจจุบันก็คือเชื้อเจ้าที่มีบรรพบุรุษเป็นเจ้าผู้ครองนครใหญ่ๆ ในอดีต เรียกว่าเป็นการรวบอำนาจมาไว้ในส่วนกลาง ทรงแต่งตั้งข้าหลวงจากกรุงเทพไปดำเนินการปกครองต่างพระเนตรพระกรรณในหัวเมืองใหญ่ๆ เหล่านั้น การนั่งบนเก้าอี้แทนการนั่งกับพื้นก็ดี การใช้ช้อนและซ่อมบนโต๊ะอาหารแทนการเปิบด้วยมือก็ดี ล้วนเป็นผลมาจากการเสด็จเยือนยุโรปของรัชกาลที่ ๕ ทั้งสิ้น

ในงานประจำปีวัดเบญจมบพิตร ทรงโปรดให้ข้าราชการและเสนาบดี ต่างๆ ได้ประกวดออกร้านเครื่องลายคราม เช่นชามสังคโลกที่ทำมาจากประเทศจีนเป็นต้น ทรงพระราชทานรางวัลแก่ผู้สะสมไปตามสมควร และนั่นคือที่มาของการอนุรักษ์ของเก่า เริ่มแรกก็คงจะเป็นการสะสมถ้วยชามเหล่านั้นไว้ในบ้านอันเป็นค่านิยมของคนชั้นสูงคือเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งมีวงการจำกัด แต่จริตนิสัยของคนน่ะ จะเล่นแต่เครื่องลายครามเพียงอย่างเดียวนานไปก็เซ็ง จึงต้องหาเครื่องเล่นอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามาจนได้ ในสมัยต่อมาจึงปรากฏว่าได้มีการอนุรักษ์พระเครื่องขึ้น ซึ่งพระเครื่องในในชั้นแรกนี้คงเป็นพระพุทธรูปเสียเป็นส่วนใหญ่ และในสมัยแรกนั้นพระสงฆ์ก็ยังคงไม่นิยมในการสร้างพระเครื่องกันเท่าไหร่ นิยมสร้างเฉพาะเครื่องรางเช่น ผ้ายันต์ ตระกุด ลูกสะกด เป็นต้น หรือแม้แต่จะเริ่มสร้างพระเครื่องกันแล้ว ก็ยังคงไม่นิยมในการสร้างพระเครื่องที่มีรูปเหมือนของตัวพระสงฆ์เองอีกด้วย เพราะคตินิยมแต่โบราณนั้นการสร้างรูปเหมือนของท่านผู้ใดผู้หนึ่ง ต้องสร้างภายหลังจากที่ท่านได้มรณะลงไปแล้วเท่านั้น รัชกาลที่ ๕ รู้สึกว่าจะทรงปฏิบัติแหวกแนวกว่าเพื่อน เพราะปรากฏว่าได้ทรงรับสั่งให้สร้างพระอนุสาวรีย์ทรงม้าของพระองค์ขึ้น ทีนี้เมื่อเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทรงนำแล้ว ก็แบบสำนวนไทยที่ว่า “นายว่าขี้ข้าพลอย” นั่นแหละ คือมีการนิยมตามไปด้วย จึงเป็นที่มาแห่งการสร้างพระเครื่องรูปเหมือนพระเถระที่ชาวบ้านเคารพนับถือ และแพร่หลายกลายมาเป็น อุตสาหกรรมพระเครื่องในปัจจุบัน นี้ว่ากันถึงที่ไปที่มาของการสร้างและสะสมพระเครื่อง


--------------------------------------------------------------------------------



เมื่อพระเครื่องเป็นของ “สะสม” ดังเช่นของโบราณดังกล่าวแล้ว ก็จึงมี การ “ประกวดพระเครื่อง” ขึ้น โดยใช้ชื่อเสียโก้หรูว่า “นิทรรศการพระเครื่อง” ที่จริงก็คือวิธีการสืบเสาะหาพระเครื่องเอาไปขายของพวกเสี้ยนพระนั่นเอง อุปโลกน์คนนั้นคนนี้ว่ารู้ดีในพระสายนั้นๆ เป็นเซียนผู้เจนจบ ตัดสินพระเครื่อง ได้บริสุทธิ์เที่ยงธรรมยิ่งกว่าเปาบุ้นจิ้นเสียอีก แล้วก็มีการ “ยัด” พระเครื่องของ พวกพ้องให้ได้รับรางวัล เมื่อได้รับรางวัลแล้วก็ตีกลองร้องป่าวว่านี่ผ่านเวที ประกวดนางงามมาแล้วนะ มีโล่ห์ประกัน จะซื้อพระก็ต้องซื้อโล่ห์ด้วย ราคานะหรือ หนึ่งเดียวอย่างนี้ต้องคุณสี่ แถมโล่ห์น่ะอย่าทำหาย เพราะว่าเซ็นมากับมือ เอ๊ย ! ทำยาก เมื่อบวกราคาพระเครื่องที่อ้างว่า “ผ่าน” การประกวดจนติดรางวัลกับใบประกาศมาแล้ว ราคาจึงพุ่งกระฉูด ดูดกระเป๋า “คนโง่” ให้แฟบลงอย่างทันตาเห็น

ตอนหลังนี่การประกวดพระยิ่งเละเทะหนัก ทั้งเซียนปลอมเซียนปนสับสนกันมั่วไปหมด พระแท้ตกรอบ พระเก๊ติดรางวัล พระที่เคยได้รางวัลกลับถูกตีว่าเก๊ พระที่เข้าประกวดเกิดหายโดยจับมือใครดมไม่ได้ ใบประกาศมีขายอยู่หลังเวที สุดท้ายงานอนุรักษ์พระเครื่องก็กลายเป็นงานทำลายพระเครื่องไปในที่สุด เพราะอะไรหากมิใช่ “ความโลภ” จนไม่รู้จักพอ

“การใช้พระเครื่องเป็นแหล่งฟอกเงิน” เมื่อหลายปีก่อนมีข่าวว่าอดีตอธิบดีท่านหนึ่ง สั่งให้กว๊านซื้อพระเครื่องเบญจภาคีในวงเงินหลายสิบล้านบาท ซึ่งเงินที่นำไปซื้อพระนั้นว่ากันว่ามาจากการรับสินบนใต้โต๊ะ การซื้อพระเครื่องนั้นเป็นการซื้อโดยไม่มี “ราคามาตรฐาน” กำหนด เพราะเป็นสิ่งที่ขายและซื้อกันด้วยความ “พึงพอใจ” ไม่เหมือนกับรถยนต์หรือที่ดินซึ่งมีราคาประเมินตายตัว แต่พระเครื่องนั้น แม้ว่าจะอยู่ในรุ่นเดียวสภาพแบบเดียวกัน แต่ว่าการซื้อขายกลับไม่เท่าเทียมกัน บางคนอาจจะได้มาแบบฟลุคๆ คือซื้อพระราคาแสนได้ในราคาไม่กี่ร้อยบาท หรือบางทีอาจจะซื้อพระที่มีราคาถูกๆ ในราคาที่แพงอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นอาจจะเพราะเจ้าของ “หวง” หรือเพราะความพอใจอย่างว่า แม้แต่การปลอมแปลงพระก็ไม่มีกฎหมายเอาผิดกับคนที่ปลอมแปลง เนื่องเพราะว่า “พระเครื่อง” มิได้จดลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ เงินที่ได้มาแบบผิดกฎหมาย จึงสามารถนำไปซื้อหาพระเครื่องเป็นการหลบเรด้าคือการตรวจสอบของกรมสรรพากรได้เป็นอย่างดี นี่ยังไม่นับพวกยาเสพติดของผิดกฎหมายต่างๆ นาๆ ที่ใช้วงการพระเครื่องเป็นที่ฟอกเงินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จึงมิน่าแปลกใจว่าเหตุไฉนพระเครื่องถึงได้แพงนัก


--------------------------------------------------------------------------------



มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเรื่องพระเครื่องนี้ เช่น มีเจ๊กคนหนึ่งห้อยพระเป็นพวงขับรถไป พอดีมีรถอีกคันขับตัดหน้า ไวเท่าความคิดแกก็เอามือข้างหนึ่งคว้าหมับที่พวงพระบนคอ มือขวาก็หักพวงมาลัยหลบ เหมือนอัศจรรย์ รถสองคันได้คลาดกันไปหวุดหวิด เมื่อตั้งสติได้แล้ว เจ๊กคนนั้นจึงได้พร่ำขอบคุณคุณพระคุณเจ้าที่คุ้มครองเสียใหญ่โตว่า “..ไอ้ห่า ถ้าไม่มีลื้อ อั๊วตายแล้ว !..”

อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า คนห้อยพระขับรถไปเหมือนกัน แต่ว่าวันนั้นฝนตก ถนนลื่นมองทางไม่เห็น รถได้เฉออกนอกทาง คนขับจึงนึกถึงคุณพระคุณเจ้า เผอิญว่าพระที่ห้อยคออยู่นั้นมีหลายองค์หลายรุ่น ซึ่งหลวงพ่อแต่ละองค์นั้นก็มีกิตติศัพท์โด่งดังไปกันคนละแนว ทีนี้เมื่อได้ยินเสียงคนขับร้องขอเช่นนั้น หลวงพ่อทั้งหลายกลับเกี่ยงกันว่า “เอาสิท่าน เห็นเขาบอกว่าท่านเก่งเรื่องรถ ชนไม่ตายมาหลายรายแล้วมิใช่หรือ” องค์นั้นก็บอกว่า “นั่นก็ถูกอยู่ แต่นั่นมันชนไม่ใช่แฉลบนี่ งานอย่างนี้ต้องให้ท่านนั่นแหละลอง เพราะเห็นว่าขนาดเครื่องบินตกยังรอดตายน่ะ แค่รถคันเดียวท่านคงเอาอยู่สบาย” อีกองค์กล่าวว่า “องค์นี้สิแน่ เห็นข่าวหนังสือพิมพ์ลงเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เองว่ายิงไม่เข้า เขากำลังมาแรงปล่อยให้เขาโชว์ฝีมือหน่อยสิ” องค์ที่ได้รับเชิญก็เขินว่า “แหม เพิ่งออกแรงไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เองครับ กำลังเหนื่อย นี่จะให้ลองอีกแล้วหรือ คงไม่ไหวละครับ นิมนต์ท่านรับไปเองก็แล้วกัน ต้องขอตัวขออภัย”

ในขณะที่พระเครื่องบนคอกำลังถกเถียงเกี่ยงกันช่วยเจ้าของรถอยู่นั้น ทั้งรถทั้งคนทั้งพระก็ลงไปกลิ้งอยู่ในร่องถนนเอียงกระเท่เร่ รถอยู่ในสภาพยับเยิน คนขับปางตาย ส่วนว่าของดีคือพระเครื่องบนคอนั้นทุกองค์ยังอยู่รอดปลอดภัย แต่ว่าได้ย้ายเจ้าของไปอยู่กับพลเมืองดีที่เข้าช่วยเหลือคนขับออกจากรถคนแรกนั้นแล้ว สรุปว่างานนี้พระรอดแต่คนไม่รอด


--------------------------------------------------------------------------------



ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนกำลังนั่งส่องพระเครื่องอยู่กับเพื่อนๆ ได้มีชายคนหนึ่งนำพระมาขายโดยอวดสรรพคุณว่า “องค์นี้ได้ทดลองยิงมาแล้ว แต่ว่าไม่ถูก เขาให้ราคาผมห้าหมื่น ตอนนั้นไม่ร้อนเงินเลยไม่ขาย แต่ว่าวันนี้จำเป็นต้องใช้ตังค์ จะขายเพียงหมื่นเดียวเท่านั้น” ว่างั้น ผู้เขียนจึงได้ถามย้ำว่าที่ยิงน่ะ ใช้ปืนหรืออะไรยิง ? แกก็ยืนยันว่าเป็นปืนจริงๆ แถมมีพยานรับรู้ด้วย จึงได้ต่อรองแกไปว่า “เอางี้ก็แล้วกัน ถ้าว่าปืนยิงไม่ถูกพระองค์นี้จริง ก็จะซื้อเอาไว้ แต่จะขอลองดูก่อนจะได้ไหม ?” แกก็ถามว่า จะลองอย่างไร ? ผู้เขียนก็จึงบอกว่ามีหนังสติ๊กอยู่อันหนึ่งปกติก็เอาไว้ยิงหมายิงแมว แต่ว่าวันนี้เห็นพระองค์นี้เคยผ่านปืนมาแล้ว เห็นว่ายิงไม่ถูกเลยอยากลอง จะขอเอาพระวางไว้บนกำแพงแล้วยิงด้วยหนังสติ๊กนี้เพียงสามลูกเท่านั้น ถ้าไม่ถูกองค์พระจริงก็จะซื้อเอาไว้ นายคนนั้นเห็นผู้เขียนต่อรองเช่นนั้นก็กลับไม่ยอม หาว่าพระเคยผ่านปืนมาแล้วจะเอาหนังสติ๊กยิงนั้นเป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดแกก็เลยไม่ได้เงินหมื่น เพราะไม่ยอม ให้ “ลอง” ดังกล่าว นี้เป็นเรื่องจริงจากประสบการณ์

มีศัพท์แสงในวงการพระเครื่องที่ฮิตติดตลาดอยู่หลายคำ เช่น ไทเกอร์ แปลว่าเสือ ซึ่งก็คือจับเสือมือเปล่า หมายความว่ายืมพระเครื่องของคนอื่นมา ขายเอากำไรโดยที่ตัวเองไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลย หรือบางทีก็รับฝากไว้ พอได้ จังหวะก็ขายพระของผู้อื่น โดยบอกราคาไม่ตรงกับความจริงเป็นต้น อีกคำหนึ่ง คือคำว่า “แห่” ได้แก่การเอาพระของคนอื่นไปเที่ยวแห่ให้คนอื่นดู โดยที่ตัวเองก็ ไม่มีความรู้อะไร บางรายยิ่งร้ายหนัก เอาพระเขาไปแห่แล้วไม่รู้ว่าไปแห่อีท่าไหน ปรากฏว่าพระหายไปก็มี แบบนี้เรียกว่าแห่ล่องหน แต่ถ้าคนที่โดนเชิดพระไปนั้นมีลูกตะกั่วติดตัวมาด้วยละก็ อาจจะมีรายการแห่ศพเซียนด้วยก็เป็นได้ ส่วนคำว่า “ตกควาย” นั้น เป็นสำนวนพวกโลภมากที่ซื้อพระโดยไม่ดูตามาตาเรือ ได้พระผิดรุ่นหรือพระปลอมมาไว้ โดยใช้เงินจริงเข้าแลก


--------------------------------------------------------------------------------



ในสหรัฐอเมริกาเองก็มีเรื่องเกี่ยวกับพระเครื่องนี้ไม่น้อยเช่นเดียวกัน เพราะว่าคนไทย-ลาวเรานั้นเป็นชาวพุทธ จึงนิยมในการห้อยพระเครื่อง และเมื่อมีพระธรรมทูตไทยเดินทางมาโปรดญาติโยมในประเทศนี้ สิ่งของมีค่าที่ท่านนำมาแจกญาติโยมส่วนหนึ่งก็หนีไม่พ้นพระเครื่องที่ว่านี้ไปได้ แต่ในบรรดาพระที่มาเหล่านั้น ก็ปรากฏว่าได้มี “เสี้ยนพระ” เป็นจำนวนมากที่มีสันดานเสีย ได้เอาพระเครื่องที่มิได้รับการสร้างและปลุกเสกอย่างถูกต้องมาแจกจ่ายญาติโยม เช่นไปซื้อเอาพระโหลแถวๆ ตลาดพระวัดราชนัดดาหรือท่าพระจันทร์เป็นต้น มาแจกญาติโยม โกหกหลอกลวงว่าเป็นของจริงของแท้ แล้วก็กวาดเงินค่าบูชาเข้าถุงย่ามจนเต็มปรี่หนีกลับเมืองไทยไป นอกจากนั้นยังมีพฤติกรรม “ระยำ” อีกมากมาย เช่น เอาพระปลอมมาหลอกขาย อวดอ้างสรรพคุณสารพัด บอกว่า “นี่เป็นของดีของดัง เป็นพระสมเด็จรุ่นแรก ให้คุณโยมเห็นเป็นคนแรกคนเดียว เพราะว่าเป็นคนพิเศษ ค่าเช่าก็กันเอง เอาห้าพันเหรียญพอ..”

เมื่อไม่นานมานี้มีวัด ๆ หนึ่ง ได้นำเอาพระ “กุ” มาขายในราคาหลายร้อยเหรียญ อ้างและอวดว่าเป็นพระกรุพระเก่าที่เมืองไทยราคาเป็นแสนๆ แต่ที่นี่คิดราคาพิเศษ แค่องค์ละ ๕๐๐ เหรียญ ฮ่าๆ ก็มีคนหน้าโง่ไปซื้อมาบูชาจนได้ ผู้เขียนเห็นแล้วก็กระอักกระอ่วนใจ จะออกชื่อเสียงเรียงนามไปพวกก็จะเขม่นเอาอีก ได้แต่ปลงว่าเวรใครกรรมมันก็แล้วกันนะโยม นี่คือบทบาทของ “กากเดน” พระธรรมทูตไทยในสหรัฐอเมริกา

เมื่อไม่นานมานี้ มีอดีตเจ้าอาวาสรูปหนึ่งได้นำเอาพระเลี่ยมทองไปฝากพระเจ้าอาวาสอีกรูปหนึ่งให้ช่วย “ขาย” ให้ บอกเพื่อนว่าเป็นของจริงและทองก็แท้ คิดแค่องค์ละ ๒๐๐ เหรียญเท่านั้น จะเอาเงินไปช่วยเหลือเด็กยากจนที่บ้านนอก เมื่อเพื่อนขอมาเช่นนั้นท่านก็ยินดีช่วย แต่ครั้นจำหน่ายพระไปได้ไม่ถึงเดือน ก็มีญาติโยมที่บูชาไปได้นำพระมาฟ้องว่า “ไหนว่าเป็นทองแท้ แต่ทำไมมันถึงลอกออกดำปิ๊ดปี๋อย่างนี้เล่า” ท่านอาจารย์รูปนั้นก็เหงื่อตก ล้วงลงไปในย่ามก็เจอพระทองที่ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งองค์ นำออกมาเปรียบเทียบกับของโยมว่า “อาตมาก็ไม่ทราบ เห็นเพื่อนบอกว่าเป็นทองแท้ ขอให้ช่วย แต่องค์นี้มันยังไม่ลอกนะ” ว่างั้น เรื่องนี้มีหลายคนที่รู้ แต่ว่าจะพูดหรือไม่เท่านั้นเอง แต่ถ้าจะถามผู้เขียนแล้ว ก็ขอยืมสำนวนพี่ใหญ่มาใช้ว่า “อย่าให้พูดเลย !”

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องพระเครื่องเมืองนอก ที่ดีๆ กว่านี้ยังมีอีกเยอะ ถ้าจะพูดถึงตัวบุคคลแล้ว อาจจะทำให้เจ้าอาวาสบางวัดมองหน้าผู้คนไม่ติดก็ได้ จึงได้แต่ตักเตือนกันไว้ว่า หยุดได้แล้วครับกับพฤติกรรมอันไม่สุจริตเช่นนั้น บาปกรรมน่ะจะย้อนสนองโดยเร็ววันนะ อย่าคิดว่าคนไทยในอเมริกาโง่นะ เพราะว่าถ้าเขารู้ทันวันใด ก็จะหากินไม่ได้เลยเชียวล่ะ จะบอกให้

ในท้ายที่สุดแห่งคอลัมน์นี้ขอชี้บอกว่า พระดีพระแท้นั้นยังมีอยู่แน่นอน และของปลอมก็ปนเปอยู่ทั่วไป ควรที่ญาติโยมพุทธศาสนิกชนจะได้ใช้วิจารณญาณในการสรรหามาบูชากันให้มาก เพราะของสูงเช่นพระเครื่องนี้ หากว่ามีที่มาที่ไปไม่บริสุทธิ์แล้ว ก็มีค่าไม่ต่างกับก้อนหินดินทรายทั่วไป หากว่าเราท่านได้หลักการในการพิจารณาอย่างถูกต้องเช่นนี้แล้ว คิดว่าไม่ช้าไม่นาน ท่านทั้งหลายก็จะเป็นเซียนพระด้วยตนเอง โดยมิต้องให้พวกมิจฉาชีพมาตบหูตบตาอีก และเมื่อนั้นพวกเสี้ยนพระทั้งหลายก็คงจะหมดไปโดยปริยาย..



--------------------------------------------------------------------------------

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
๕ เมษายน ๒๕๔๓

โดยคุณ DrK011 (99)  [ส. 04 พ.ย. 2549 - 20:57 น.]



โดยคุณ nurseman (2.1K)  [อา. 05 พ.ย. 2549 - 02:13 น.] #59063 (1/13)


(D)
-------กว่าจะอ่านจบตาลายไปหมด+ขอบคุณนะคับ------

โดยคุณ suangorndang (2.3K)  [อา. 05 พ.ย. 2549 - 06:41 น.] #59083 (2/13)
ขอบคุณครับ

โดยคุณ aty2518 (384)(3)   [อา. 05 พ.ย. 2549 - 16:29 น.] #59112 (3/13)

โดยคุณ parasite_moll (202)  [จ. 06 พ.ย. 2549 - 01:37 น.] #59215 (4/13)
คนเขียนน่ะ เขียนได้ดีครับ

ข้อเท็จจริงมีตามที่กล่าวทั้งหมด (เท่าที่ได้ยินมานะ)

แต่ว่านะครับ แต่ว่า ..... ถ้าคนเขียนเป็นพระเนี่ย

สมควรแล้วหรือที่จะมายุ่งทางโลก

ผลประโยชน์คือผลประโยชน์นะครับ

การโปรดสัตว์ผมเข้าใจว่าไม่ใช่การตำหนิผู้อื่นครับ (ถึงแม้ข้อมูลจะจริงก็เถอะครับ)

โดยส่วนตัว ย้ำนะครับ ย้ำ โดยส่วนตัวผมเนี่ย ไม่ได้สนอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารต่าง ๆ อยู่แล้ว

แต่ที่เก็บ ๆ อยู่มีแต่พระอายุพอสมควรแล้วราคาไม่แพงทั้งนั้นครับ

ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ว่า .... สิ่งที่กำลังเก็บนี้ เป็นวัตถุโบราณ ......

ไม่ใช่ราคาและปาฏิหาร หลายครั้งที่ผมรู้สึกหงุดหงิดใจ แต่ไม่กล้าพูดกับใคร

เพราะเพื่อนมาถามว่ามีพระอะไรบ้าง ... เออ องค์นี้แพงนี่หว่า เก็บไว้อีกหน่อยปล่อยได้เงิน

หรือเวลาเก็บ จะมีคำที่ว่า " เก็บระยะยาว ไม่ขาดทุน " ... "เก็งกำไร ได้แน่นอน"

มันอะไรครับเนี่ย พระนะครับ พระ วัตถุโบราณ ซึ่งสืบทอดพุทธศาสนา มองกันเป็นหุ้นเลย

แล้วก็จะมีอีกคำนะครับ " มึงเก็บไรเนี่ย ไม่เห็นจะดังเลย เหนียวป่าววะ? นำโชคป่าววะ? "

..... ไรเนี่ย?

ไม่อยากบ่นหรอกครับ แต่ว่า ไหนๆ ก็บ่นแล้ว ไว้ว่าง ๆ จะมาบ่นให้ฟังใหม่ครับ


โดยคุณ sacrifar (22)  [อ. 07 พ.ย. 2549 - 13:39 น.] #59637 (5/13)
มนุษย์กลัวเจ็บ กลัวจน กลัวตาย แต่กลับไม่กลัวบาปครับ กิเลสหนอ

"หัวใจอันสมถะและรักสันโดษเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้ หาใช่โภคทรัพย์สมบัติใดๆไม่"

โดยคุณ poonpan (1.4K)  [พ. 08 พ.ย. 2549 - 12:03 น.] #59852 (6/13)
อ้างถึง ข้อความตามวรรคสุดท้าย ของท่าน พระมหานรินทร์ นรินฺโท
๕ เมษายน ๒๕๔๓
ที่คุณ Drk001 นำมาลงนั้นผมเห็นด้วยครับ
เท่าที่ผมออ่านอย่างคราวๆ พอจะสรุปใจความได้ว่าท่านคงสอนว่า
เราก็ยังบูชาพระเครื่องได้ แต่อย่าบูชาจนหน้ามือตามัวมั๊งครับ เพียงแต่ท่านเขียนไปในทางไม่ดีของพระเครื่องแต่เพียงด้านเดียว ส่วนด้านดี ๆ ไม่เห็นเขียนเลยครับ อาจจะทำให้ คนที่อ่านเข้าใจว่าท่านมีอคติต่อพระเครื่องครับ แต่ยังงัยผมว่า ถ้าพระเครื่องไม่ดี ครูบาอาจารย์ คงไม่ต้องลำบากสร้างมาให้เมื่อยมือหรอกครับ มันขึ้นอยู่กับว่าคน ๆ อย่างพวกเราจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู่อื่นได้อย่างไร มากกว่ามั๊งครับ..... ผิดถูกยังไงก็โหสิให้ด้วยนะครับ

โดยคุณ dj-up (18)  [พ. 08 พ.ย. 2549 - 15:27 น.] #59901 (7/13)
ชอบครับ...อีกมุมของสิ่งหนึ่ง

โดยคุณ ARNON (2.7K)(1)   [พฤ. 09 พ.ย. 2549 - 21:42 น.] #60257 (8/13)
ชอบเช่นกันครับ หูตาสว่างขึ้นเยอะครับ ล่าสุดเหมือนมีพระปั่นราคาเกิดขึ้นอีกแล้วครับท่าน++

โดยคุณ ban_jaithiang (182)(1)   [อา. 10 ธ.ค. 2549 - 23:24 น.] #65644 (9/13)

โดยคุณ Lalit (1.3K)  [อ. 09 ม.ค. 2550 - 23:55 น.] #70267 (10/13)
เคยได้ยินมาว่าในสมัยพระพุทธเจ้า ก็ยังไม่มีพระเครื่อง และท่านก็สอนให้ยึดพระธรรม มากกว่า การบูชาวัตถุ หรือเทวรูป ส่วนรูปปั้นและแกะสลัก ที่เกิดขึ้นมา เพื่อระลึกถึง องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพิ่งมีตอนสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ทำขึ้นมา หลังจากนั้นก็มีการสร้างกันขึ้นมาเรื่อยๆ แต่จุดประสงค์หลักก็คือ เพื่อการสืบทอดศาสนา เมื่อห้อยแล้ว ให้ระลึกถึงพระรัตนตรัย นึกถึงท่าน และปฎิบัติตามแบบอย่างท่าน เพื่อเดินทางไปสู่นิพพาน มิใช่ห้อยเพื่อขอ ซึ่งผิดวัตถุประสงค์แต่ดั้งเดิม พระที่ห้อยคอนั้น ไม่ว่ารุ่นใหน อาจารย์ใด เก่งเท่าใด ความศักดิ์สิทธิ์นั้น จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย แขวนไปก็ไม่ต่างจากวัตถุชิ้นหนึ่ง หากผู้ที่แขวนพระนั้น มิได้ตั้งอยู่ในศีลธรรม ดังที่ทราบข่าวว่าคนดังหลายๆคน ต้องมาถูกฆ่าตาย ทั้งที่มีพระแท้ดังๆ (ได้มาด้วยกรรมวิธีใดไม่รู้) ห้อยอยู่เต็มคอ แต่กลับเด็กแขวนพระไม่มีชื่อ ไม่ดังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกลับรอดตายได้อย่าง ปาฏิหารย์ เมื่อถึงคราวก็ขึ้นสุดแต่กรรมที่ท่านสร้างมาแม้แต่พระอาจารย์ที่สร้างพระดังๆ นั้น ก็ยังมิสามารถหนีบ่วงกรรมไปได้พ้น ฉะนั้นควรใช้ให้ถูกทาง ให้ถูกเจตนารมณ์ ของผู้สร้าง ในเมื่ออยู่กับพระเครื่องขอจงอยู่อย่างได้บุญ อย่าให้ความโลภ มาบดบังตา จากบุญจะกลายเป็นบาป แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร

โดยคุณ ชลบุรี (20)(3)   [อ. 23 ม.ค. 2550 - 04:20 น.] #73037 (11/13)
เออ!!!

โดยคุณ ฟลุ๊ค (8.1K)  [ศ. 16 ก.พ. 2550 - 17:21 น.] #79411 (12/13)
ได้ประโยชน์มาก ๆ เลยครับ ข้อมูลเพียบ ขอนับถือ ขอนับถือ

โดยคุณ เสือ_ท่าม่วง (345)  [พฤ. 18 ต.ค. 2550 - 21:26 น.] #167593 (13/13)
เขาหลอกกินขนมหวานมานาน กินยาขมดูบ้างเป็นไร...
พระที่ดีที่สุด คือพระที่เราบูชาแล้วเป็นคนดี ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ๆ...

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1