(D)
ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง"โกผ่อง"และพวกรวม 4 คน คดีละเมิดลิขสิทธิ์หลักเมืองนครฯ รวมทั้งวัตถุมงคลที่เกี่ยวข้องนครฯ รวมทั้งวัตถุมงคลที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะองค์จตุคามฯ หลังพล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล อดีตผู้การฯเมืองคอน ฟ้องร้องและอ้างเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ศาลฎีกาพิจารณาและมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ว่า ลิขสิทธิ์เสาหลักเมืองนครศรีธรรมราชและวัตถุมงคลต่างๆ พล.ต.ท.สรรเพชญ ไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์ จึงไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 พ.ค. ที่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีอาญาหมายเลขดำ ที่ศปก./2545 คดีหมายเลขแดงที่ 979/2547 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์, พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล โจทก์ร่วม กับนายอะผ่อง สกุลอมร จำเลยที่ 1, นายอนันต์ หรือ ฉ้า แซ่ตัน จำเลยที่ 2, นายอนุชิต สกุลอมร จำเลยที่ 3 และนางจิระภา แซ่ตัน จำเลยที่ 4 โดยจำเลยทั้งสี่มารับฟังคำพิพากษาด้วยตนเอง ขณะที่ฝ่ายโจทก์มีบันทึกว่าทราบนัดแล้ว แต่ไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลจึงอ่านคำพิพากษาโดยถือว่าโจทก์ร่วมรับทราบแล้ว
สำหรับคดีนี้ นายวิชัย ศรีรังสฤษต์ และนายสมพร มนต์วิเศษ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยทั้งสี่ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล อ้างว่าเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในหลักเมืองนครศรีธรรมราช และวัตถุมงคลต่างๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อหารายได้สร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช ฟ้องว่าเมื่อปี 2541 ถึงวันที่ 15 ม.ค. 2545 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสี่ร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์งานสร้างสรรค์ประเภทศิลปกรรม ลักษณะงานประติมากรรมและงานภาพพิมพ์ของ พล.ต.ท.สรรเพชญ ผู้เสียหาย อันได้แก่ เศียรขององค์จตุคามรามเทพ ยอดเสาหลักเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช ผ้ายันต์พระโพธิสัตว์พังพระกาฬ และผ้ายันต์สุริยัน-จันทรา
โดยจำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำซ้ำและดัดแปลงเศียรขององค์จตุคามรามเทพเป็นองค์หล่อด้วยโลหะจำนวนประมาณ 10,000 องค์ทำซ้ำ และดัดแปลงผ้ายันต์พระโพธิสัตว์พังพระกาฬจำนวนประมาณ 300 ผืน แล้วจำเลยทั้งสี่ร่วมกันขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขายและให้เช่าเพื่อหากำไรและเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหาย พล.ต.ท.สรรเพชญนำลิขสิทธิ์ในวัตถุมงคล รวมทั้งเสาหลักเมืองนครศรีธรรมราชไปจดแจ้งต่อสำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ และกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสี่ละเมิดลิขสิทธิ์เสาหลักเมืองนคร รวมทั้งรูปแบบวัตถุมงคลจตุคามรามเทพต่างๆ
ต่อมาเมื่อปี 2543 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง มีคำพิพากษาว่า เสาหลักเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช และวัตถุมงคลต่างๆ ที่พล.ต.ท.สรรเพชญนำไปจดแจ้งต่อสำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ นั้นเป็นของสาธารณะ ที่พล.ต.ท.สรรเพชญไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์ที่แท้จริง แต่เป็นเพียงผู้ริเริ่มเท่านั้น และการจดแจ้งต่อลิขสิทธิ์ไม่ใช่การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์แต่อย่างใด โดยระหว่างปี 2528-2531 พล.ต.ท.สรรเพชญเคยรับราชการตำรวจตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ในระหว่างดำรงตำแหน่งดังกล่าวร่วมกันจัดตั้งชมรมนครศรีธรรมราช 28 ขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรม และร่วมสร้างศาลหลักเมืองขึ้นใหม่ มีการระดมทุนจัดสร้าง โดยจัดสร้างวัตถุมงคลที่เกี่ยวข้องกับหลักเมืองออกให้บุคคลทั่วไปนำไปบูชา พล.ต.ท.สรรเพชญคิดแบบของเสาหลักเมืองและวัตถุมงคลครั้งนี้ แล้วมอบหมายให้ออกแบบตามแนวคิดของพล.ต.ท.สรรเพชญ รวมถึงเศียรองค์จตุคามรามเทพ ยอดเสาหลักเมือง ผ้ายันต์พระโพธิสัตว์พังพระกาฬ และผ้ายันสุริยันจันทรา
ต่อมามีการระบุว่านายอะผ่องและพวก ซึ่งเป็นจำเลยทั้งหมด ร่วมกันผลิตวัตถุมงคล โดยหาว่าซ้ำและดัดแปลงงานที่เป็นลิขสิทธิ์ จึงแจ้งความร้องทุกข์ แต่ในข้อเท็จจริงนั้นนายอะผ่องและน้องๆ ทั้ง 4 คนยืนยันว่าพล.ต.ท.สรรเพชญไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์หลักเมือง เพราะมีบุคคลอื่นอีกหลายคน รวมถึงนายอะผ่องด้วย ช่วยกันออกแบบหลักเมืองและวัตถุมงคล และนายอะผ่องกับน้องไม่ได้มีเจตนาเลียนแบบแต่ อย่างใด มีคำพิพากษายกฟ้อง ทางพล.ต.ท.สรรเพชญอุทธรณ์เป็นฎีกา
วันนี้ศาลฎีกาพิจารณาและมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ว่า ลิขสิทธิ์เสาหลักเมืองนครศรี ธรรมราชและวัตถุมงคลต่างๆ พล.ต.ท.สรรเพชญไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์ จึงไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
หลังจากที่ศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น นายสมพร มนต์วิเศษ และนายวิชัย ศรีรังสฤษฎ์ ทนายความนายอะผ่อง สกุลอมร หรือ โกผ่อง, นายอนันต์ แซ่ตัน, นายอนุชิต สกุลอมร, นางจิระภา แซ่ตัน และอาจารย์พรชัย วัฒนพิจิตร หรือ อาจารย์เปี๊ยก ผู้ร่วมออกแบบหลักเมืองและวัตถุมงคล เปิดแถลงข่าวที่ร้านโกปี้ ด้านข้างศาลจังหวัด
นายอะผ่อง ร่างทรงชื่อดังของจตุคามรามเทพตั้งแต่ปี 2548 กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่หลุดพ้นมลทิน และที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าลิขสิทธิ์หลักเมืองและวัตถุมงคลจตุคามรามเทพเป็นของสาธารณะ หากเป็นของพล.ต.ท.สรรเพชญคงจะวุ่นวายกันทั้งประเทศ เพราะทราบว่าขณะนี้พล.ต.ท.สรรเพชญแจ้งความดำเนินคดีกับหลายๆ บุคคลในขณะนี้ ที่ผ่านมาหลายปีพี่น้องซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องและรู้เรื่องรู้ราวต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียง ช่วงที่กระแสจตุคามรามเทพกำลังมาแรงนั้น จะสังเกตว่าตนไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเป็นเจ้าพิธี เพราะไม่ได้หากินกับเรื่องแบบนี้ ส่วนการฟ้องกลับพล.ต.ท.สรร เพชญหรือไม่นั้น จะพิจารณากันอีกที
นายอะผ่อง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในคดียักยอกทรัพย์ที่ตนและพวกเป็นจำเลยนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดของกลาง มีทั้งรูปหล่อจตุคามรามเทพรุ่นแรกๆ หลายสิบองค์ รวมทั้งดวงตราพญาราหูจำนวนมาก ปัจจุบันมีมูลค่าทั้งหมดไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท ตอนที่ถูกยึดนั้นเจ้าหน้าที่ไปยึดถึงบ้าน ทีมกฎหมายอยู่ระหว่างขอตรวจสอบของกลางทั้งหมดแล้วว่าอยู่ครบหรือไม่ และเตรียมฟ้องร้องเจ้าหน้าที่หากพบว่าของกลางหายไป
"ที่พูดกันว่ากระแสจตุคามรามเทพหมดแล้วนั้น หากคนที่ศรัทธาจริงๆ ก็ยังคงบูชากันอยู่ ใครนับถือก็นับถือ ใครที่ไม่นับถือก็เป็นเรื่องบุคคลนั้น เพราะทุกวันนี้คนที่นับถือจริงๆ ยังศรัทธา แต่ที่ฉิบหายไปเพราะโลภไม่รู้จักพอ อยากจะบอกว่ากับจตุคามรามเทพนั้นอย่าโลภ หากโลภจะหมดเนื้อหมดตัวเหมือนกับตัวอย่างที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาพระบางรูปที่ยังหนุ่มยังแน่นยังลงทุนกินหมากเพื่อให้ตัวเองได้เป็นเกจิ กระแสจตุคามฯ มันเลยเสื่อมเร็วเพราะเรื่องเหล่านี้" โกผ่องกล่าว
ด้านนายสมพร ทนายความ กล่าวว่า คดีนี้ถือเป็นคดีตัวอย่าง ตอนนี้ทราบว่าพล.ต.ท.สรรเพชญ แจ้ง ความดำเนินคดีกับผู้ที่สร้างจตุคามรามเทพตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศประมาณ 20 คดี และหากใครอยากได้สำเนาตัดสินคดีที่ยกฟ้องนายอะผ่องกับพวกติดต่อขอได้
นายสมพร ยังกล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษายกฟ้อง คดีที่พนักงานอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์ พล.ต.ท.สรร
เพชญกับพวกรวม 11 คนเป็นโจทก์ร่วม แจ้งความดำเนินคดีนายอะผ่องและพี่น้องว่ายักยอกทรัพย์วัตถุมงคลและข้อหาฉ้อโกงประชาชน ยังเหลืออีก 1 คดีที่พล.ต.ท. สรรเพชญฟ้องร้อง ตอนนี้อยู่ระหว่างขอขยายเวลาฎีกา
หน้า 1
ที่มา : นสพ.ข่าวสด |