หัวข้อกระทู้ : รู้เรื่องการอธิฐานจิตของลพ.พรหม ก่อนที่จะเผลอทำของดีให้เป็นของเสีย |
(D)
รู้เรื่องการอธิฐานจิตของลพ.พรหม ก่อนที่จะเผลอทำของดีให้เป็นของเสีย
สำหรับท่านอื่นอาจใช้คำว่าปลุกเสธ แต่สำหรับผมขอใช้คำว่าอธิฐานจิต นะครับ เพราะท่านทำแบบอธิฐานจิตจริง ไม่เหมือนพิธีพุทธาภิเษกของเกจิท่านอื่น ค่อยอ่านตามนะครับว่าทำไมผมถึงเรียกว่าอธิฐานจิตครับ
หลวงพ่อพรหม ท่านมีวิธีการอธิฐานจิตที่แปลกไม่เหมือนกับเกจิอาจารย์ท่านอื่นๆ ลองมาดูที่ลงตามหนังสือดูนะครับ
หนังสือรวมประวัติและวัตถุ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ฉบับสมบูรณ์ ของคุณสุนทร พรหมประทาน หน้า20 ตีพิมพ์ประมาณ 2539
หลวงพ่อพรหม มีวิธีปลุกเสกวัตถุมงคลไม่เหมือนใคร โดยเอาวัตถุมงคลต่างๆใส่ลงในบาตร ถ้ามีเทียนชัย หลวงพ่อจะจุดเทียนชัยหยดน้ำตาเทียมลงในขัยน้ำมนต์ แล้วนำเทียนชัยวนโดยรอบวัตถุมงคล 9 รอบแล้วจึงเอาแป้งดินสอพองมาเจิมที่วัตถุมงคล เอามือคนไปรอบๆ โดยที่หลวงพ่อลืมตาเพ่งกระแสจิต อัดพลัง ต่อมาก็เอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรมวัตถุมงคลทั้งหลายอีกครั้ง จนกระทั่งเห็นวัตถุมงคลเหล่านั้น มีรังสีพุ่งออกมา จึงเอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรมวัตถุมงคลอีกครั้ง จึงเสร็จพิธี
เราจะสังเกตได้ว่าพระเครื่องเนื้อผงของหลวงพ่อหลายรุ่น จะมีรอยบิ่นเล็กบ้างใหญ่บ้าง เพราะเกิดจากหลวงพ่อเอามือคนนั่นเอง ดังนั้นพระเครื่องที่มีรอยบิ่นมาแต่เดิมสันนิฐานได้ว่า ได้สัมผัสกับมือหลวงพ่อพรหมมาแน่ๆ ครับ
หนังสือชุดอมตะวัตถุมงคลยอดนิยม การศึกษาวัตถุมงคล และประวัติ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ของคเณศ์พร หน้า6 มิถุนายน 2547
ล.พ.พรหม มีวิธีการปลุกเสธวัตถุมงคลไม่เหมือนใครส่วนใหญ่หลวงพ่อจะปลุกเสกหลังเที่ยงไปแล้วโดยเอาวัตถุมงคลต่างๆ ใส่ลงในบาตร ถ้ามีเทียนชัย หลวงพ่อจะจุดเทียนชัยหยดน้ำตาเทียนลงในขันน้ำมนต์แล้วนำเทียนชัยวนโดยรอบวัตถุมงคล 9 รอบ แล้วจึงเอาแป้งดินสอพองมาเจิมที่วัตถุมงคล เอามือคนไปรอบๆ โดยที่หลวงพ่อลืมตาเพ่งกระแสจิตอัดพลังต่อมาก็เอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรมวัตถุมงคลทั้งหลายแล้วหลวงพ่อจะจับภาชนะใส่วัตถุมงคลเพ่งกระแสจิตอีกครั้งจนกระทั่งเห็นวัตถุมงคลเหล่านั้น มีรังสีพุ่งออกมา จึงเอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรหมวัตถุมงคลอีกครั้ง จึงเสร็จพิธี
เราจะสังเกตได้ว่าพระเครื่องเนื้อผงของหลวงพ่อหลายรุ่นจะมีรอยบิ่นเล็กบ้างใหญ่บ้าง เพราะเกิดจากหลวงพ่อเอามือคนนั้นเอง ดังนั้นพระเครื่องที่มีรอยบิ่นมาแต่เดิมสันนิษฐานได้ว่า ได้สัมผัสกับมือหลวงพ่อมาแน่ๆ
อะผมว่าผมพิมพ์ตามหนังสือทั้งสองเล่มนะครับ แต่ทำไมเนื้อหาเหมือนกันเดะ อย่างกับนักเรียนลอกการบ้านกันมาอย่างไรอย่างนั้น ทำหนังสือเนี้ยง่ายดีนะ ลอกกันไปกันมา ไม่ขึ้นไปถามลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดจริง เอาง่ายสบายเข้าว่า เล็กๆน้อยๆก็มองข้าง ถามแต่ลูกศิษย์สายกรุงเทพฯซึ่งสายกรุงเทพฯก็รู้งูๆปลาๆ ต้องยอมรับความจริงอย่างหลวงพ่อ ท่านส่วนใหญ่อธิฐานจิตหลังเที่ยงคืน ใครจะอยู่รับใช้ท่าน สำหรับคนเมืองหลวง ไม่ใช่คนตามบ้าน(นอก) แล้วรู้ไหมครับว่าส่วนใหญ่ท่านจะอธิฐานจิต ที่กุฏิท่านที่ป่าช้า ไม่ใช่กุฏิท่านที่ไว้รับแขก ข้างหอระฆังหลังใหม่ปัจจุบัน ส่วนใหญ่ที่เขาเอามาเล่าให้นักเขียนรุ่นหลังๆก็คือเห็นตอนที่ทำรุ่นฟ้าผ่า รุ่นผัดก๋วยเตียว ที่ท่านทำเยอะต้องใช้คนหลายคนมาช่วยกันเหมือนผัดก๋วยเตียวนะครับ แล้วก็มีรุ่นอื่นๆอีกแต่ผมจำรายละเอียดไม่ได้นะครับต้องขอโทษด้วย ส่วนหนังสือ เหรียญหลวงพ่อพรหม พิมพ์ปี 2518 ของสำนักพิมพ์ เจริญสาส์น กับอาณาจักรพระเครื่อง ของนายปรีชา เอี่ยมธรรม ตีพิมพ์เมื่อปี 2521 ก็ไม่ได้ลงรายละเอียด พูดคราวในพระเครื่องแต่ละรุ่นเท่านั้นเช่น พูดถึงตอนทำรุ่นฟ้าผ่า
สำหรับเนื้อหาที่ผมรวบรวมมาได้ ถึงเนื้อหาผมคิดว่าไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ผมคิดว่าผมรวบรวมอย่างละเอียด จากคนที่อยู่เป็นเด็กวัดรับใช้ท่านตั้งแต่ก่อนสงครามโลก ปัจจุบันเป็นข้าราชการบำนาญ ซึ่งชาวช่องแคจะเรียกว่าจ่าพิม (คราวก่อนพิมพ์ชื่อแกผิดนะครับ) เป็นคนเดียวกับที่หนังสือคุณสุนทรบอกว่าเป็น ตำรวจประจำตำบลที่ทำเสื้อยันต์ขึ้นมาแจกในหมู่เพื่อนสนิท ทางวัดไม่ได้จำหน่าย (หน้า 218) นั้นนะครับ สังเกตไหมครับแม้แต่ชื่อหนังสือก็ไม่ได้ให้เกียรติท่านแล้วเอาผลงานท่านมาลง สาเหตุนะหรือครับผมว่าเพราะลุง(ผมเรียกลุงนะครับ) ไม่ชอบพวกกรุงเทพฯ ลุงพิมเคยบอกว่าพวกนี้ จะดูถูกดูแคลงคนตามบ้าน ประกอบกับแกเป็นคนพูดตรงๆตามแบบนักเลงสมัยก่อน และแกยังติดใจเรื่องไม่ลงรอยกันระหว่างอาจารย์แบ๊ง ลูกศิษย์สายกรุงเทพฯ สายตาคลีที่ร่วมมือกับสายช่องแค(บางคน) กับหลวงพ่อพรหมและชาวบ้านแถวนั้น เกี่ยวกับวัตถุมงคลช่วงปี 16 อาจรวมถึงกรณีขโมยทองระฆังหลวงพ่อ (เรื่องนี้ใครอยากรู้เรื่องเป็นอย่างไรเจอตัวผมแล้วจะเราให้ฟังครับ ขืนเล่าที่นี้เดี่ยวเขากว้างเนื้อทองระฆังราคาล่วงแรงแน่) อย่างว่าละครับผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร (บาปกรรมมีจริงครับ) กลับเข้าเรื่องเดิมละกันครับเกี่ยวกับการอธิฐานจิตของหลวงพ่อ
ขั้นที่หนึ่ง ลงธาตุไฟ ท่านจะจุดเทียนชัยที่ขันน้ำมนต์ก่อน เสกน้ำพระพุทธมนต์อันนี้ไม่รู้จริงครับว่าท่านใช้คาถาอะไร หลังจากนั้นท่านเอาเทียนมาลงธาตุไฟ วนรอบพระที่จะอธิฐานจิต 9 รอบ ต่อหน ทำ 9 หน
ขั้นที่สอง ลงธาตุดิน ใช้แป้งดินสอพอมาเสธผสมกับน้ำพุทธมนต์ที่เตรียมไว้ (ไม่รู้อีกครับท่านใช้คาถาอะไร) เสร็จแล้วมาเจิมองค์พระ ลงอาการ 32 แล้วก็ทำพิธีเบิกเนตร
ขั้นที่สาม ลงธาตุน้ำ นำน้ำพระพุทธมนต์ที่เสกไว้ประพรมไว้ที่วัตถุมงคลทั้งหลาย
ขั้นที่สี่ ลงธาตุลม ท่านจะเอามือ 2 ข้าง มาแตะจับที่พาชนะใส่วัตถุมงคล ส่งกระแสจิตเพ่งลงไปในวัตถุมงคลในระหว่างนี้ท่านจะลืมตาตลอดทำสมาธิ มองเพ่งไปที่วัตถุมงคล ขั้นตอนนี้จะทำนานมา ไม่มีใครรู้ว่าแค่ไหนจะพอ
ขั้นที่สุดท้าย ปิดผนึก ท่านจะเอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรหมและคว่ำขันราด น้ำพระพุทธมนต์จะไม่เหลือเก็บไว้ใช้
ทำทั้ง 5 ขั้นตอน เรียกว่า 1 รอบ ท่านจะทำแค่คืนละรอบเท่านั้น เห็นลุงพิมบอกว่าท่านจะเหนื่อยและเพลียมากในการทำแต่ละครั้ง ถ้าบอกว่าอธิฐานจิต 5 ครั้ง ท่านก็ทำแบบนี้ 5 รอบ ทั้งหมด น้ำพุทธมนต์ ท่านก็ ทำขึ้นใหม่ทุกรอบ ยกเว้นดินสอพอ ที่มาเจิมวัตถุมงคล แล้วที่หนังสือบอกว่าเห็นแสงรังสีพุ่งจากวัตถุมงคลก็คงเป็นขั้นลงธาตุลม ที่ท่านเพ่งกระแสจิต ขั้นตอนที่ลงธาตุลมจะรู้ว่าพอ ก็ต่อเมื่อมีรังสีพุ่งจากวัตถุมงคล ซึ่งท่านเคยบอกว่าถ้าใครมีตาทิพย์ ขั้นตอนที่ลงธาตุลมจะเห็นรังสีนี้เอง ส่วนเทียนชัยหลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องเป็นเทียนชัยอย่างที่คนอื่นใช้กัน (สีขาว) หลวงพ่อท่านบอกว่าเทียนรุ่นหลัง(สมัยที่ท่านยังอยู่) จะไม่เหมือนเทียนที่ทำตามแบบโบราณ จะทำมาเหมือนกันหมด ต่างกันที่การใส่สี (ลองดูตัวอย่างรุ่น 1 บล็อก 2 หน้าหนุ่มปี 08ที่ผมลงให้ดูเป็นตัวอย่างครับ) ความสำคัญจึงอยู่ที่กระแสจิตของผู้ทำ มีความบริสุทธิ์ แรงกล้าหรือเปล่ามีสมาธิหรือเปล่า และทำครบถูกขั้นตอนหรือเปล่าต่างหาก ตรงนั้นสำคัญกว่า ดังนั้นจะเห็นได้ว่าท่านจึงมักทำพิธีหลังเที่ยงคืน และที่กุฏิที่ป่าช้า เพราะเงียบสงบดี ถ้าเด็กวัดใครมารบกวนท่าน ช่วงนั้นจะโดนดุ ไล่ตะเพิดทุกราย แล้วท่านต้องเสียเวลาเริ่มต้นทำใหม่
หลวงพ่อท่านยังบอกว่า ที่ท่านเอามือท่านลงไปสัมผัสวัตถุมงคลเอง แทนการใช้ด้ายสายสิญจน์เนื่องจากว่าการเพ่งกระแสจิต โดยผ่านวัตถุอะไร ถ้าวัตถุนั้นไม่บริสุทธิ์พอ ท่านให้ไปร้อย อาจถึงวัตถุมงคล ไม่กี่สิบ สู้ผ่านจากร่างกายท่านลงสู่วัตถุเลยไม่ได้ให้ร้อยได้ร้อย อันนี้เข้าใจว่าเป็นขั้นตอนลงธาตุดิน เพราะขั้นตอนลงธาตุลม ท่านก็จับภาชนะอยู่ดี หรือถ้ามองอีกด้านหนึ่งเป็นไปได้ไหมว่าภาชนะนั้นบริสุทธิ์แล้ว เพราะผ่านขั้นตอนลงธาตุ ไฟ ดิน น้ำ มาแล้ว ถ้าอย่างนั้นภาชนะนั้นก็ใช้แทนวัตถุมงคลของท่านได้เหมือนเป็นวัตถุมงคลนั้น (อันนี้ผมไม่รู้จริงๆครับ เบาปัญญาครับ คิดเอาเองจากเหตุผลข้างต้น) แต่นึกแล้วตลกดีนะครับถ้าใครจะแขวนกะละมังหรือถาด
แล้วที่สำคัญเป็นจุดที่ผมว่าน่าคิด น่าหาหลักฐานเพิ่มเติม คือ นอกจากวิธีการที่แตกต่างจากคนอื่นแล้ว เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ลูกศิษย์ ว่าหลวงพ่อท่านไม่รับนิมนต์ไปอธิฐานจิตที่อื่นนอกวัดช่องแค ถ้าหลวงพ่อท่านไม่รักไม่เอ็นดูเป็นพิเศษอย่างหลวงพ่อโอด วัดจันเสน ดังนั้น การที่เซียนพระ หนังสือพระหลายๆ เล่ม ลงพระบางรุ่น อย่างของวัดประสาท พระประจำวันเกิด กุวัดชนะสงคราม ว่าหลวงพ่อพรหมร่วมพิธีด้วย ไม่รู้ว่าจะเข้าข่ายพระยัดหลวงพ่อหรือเปล่า ถ้าใครมีหลักฐานว่าหลวงพ่อท่านไปร่วมพิธี จริง หรือพระรุ่นอื่น รบกวนช่วยชี้แนะด้วยนะครับ ส่วนผมกำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ เราจะได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกันครับ
เรื่องถัดมา จากหนังสือข้างต้น ถ้าเป็นพระผง ก็มีรอยบิ่น แล้วถ้าเป็นพระเนื้อโลหะละจะเป็นอย่าง ไม่มีหนังสือเล่มใดบอก ก็ไม่แปลก ก็เขาลอกการบ้านกันมา แล้วคนต้นฉบับก็ถามลูกศิษย์สายกรุงเทพฯที่รู้งูๆปลาๆ ไม่ทราบรายละเอียดขั้นตอนของหลวงพ่อ ถ้าเรามาพิจารณาขั้นตอนลงธาตุดิน จะมีการเจิมแป้งดินสอพอ เสร็จแล้วก็ลงธาตุน้ำ โดยการพรมพระพุทธมนต์ ตามด้วยการปิดผนึก ราดน้ำพระพุทธมนต์ แป้งดินสอพอ ที่เจิมไว้ ก็ละลายไปกับน้ำพระพุทธมนต์ แทรกไปตามเนื้อโลหะ อย่างตัวอย่างที่ผมลงให้ดูเปรียบเทียบนะครับ (ลองดูตัวอย่างรุ่น 1 บล็อก 2 หน้าหนุ่มปี 08ที่ผมลงให้ดูเป็นตัวอย่างครับ) บางคนไม่รู้นึกว่าพระใช้ ล้างผงนั้นออก ไปอย่างน่าเสียดายครับ ทีนี้ถ้าท่านเช่าพระของหลวงพ่อถ้าเจอคราบร่องรอยพวกนี้ อย่าเอาออกนะครับ ถ้าเซียนที่ไม่รู้เรื่องแล้วบอกพระใช้ (อย่างที่ผมเคยเจอ) ก็อย่าบอกเขานะครับ เราจะได้เช่าพระหลวงพ่อในราคาที่ถูกดีครับ
เรื่องนี้เป็นหนึ่งในอีกหลายเรื่อง ที่คาดเคลื่อน ซึ่งการคาดเคลื่อนอาจจะเกิดจากการดัดแปลง จากลูกศิษย์สายกรุงเทพฯ เคยได้ยินการเล่นเกมข่าวลือไหมครับ ซึ่งมีหลายเรื่อง รวมทั้งวัตถุมงคลของท่าน ลงคาดเคลื่อนทำให้คนศรัทธาในตัวหลวงพ่อศึกษาหลงทางหรือเล่นมั่วกัน บางรุ่นก็ถูกจับยัดให้เป็นของหลวงพ่อ เป็นต้น ผมกำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ แล้วจะทยอยนำลงต่อไปครับ
ถ้าใครมีเรื่องที่หนังสือลงคาดเคลื่อนนะครับ รวมทั้งวัตถุมงคลของหลวงพ่อจะให้ผมร่วมเป็นธุระตรวจสอบให้ รบกวนส่งมาที่email Noomchongkae@hotmail.com ได้เลยนะครับ ยินดีครับ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไปครับ
ปล.1) เนื้อหานี้เท่าที่รวบรวมได้ต้องขอขอบคุณจ่าพิม ครูแสวง(อดีตครูใหญ่โรงเรียนวัดช่องแค) ลุงพงษ์ (อดีตกรรมการวัดช่องแคสมัยหลวงพ่อพรหมยังอยู่) และคุณแก้ว อดีตกรรมการวัดช่องแค 20กว่าสมัยตั้งแต่ปี 08
2) สำหรับพี่พันชาติครับผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เสื้อยันต์ลพ.นะครับ เดี่ยววันหลังลงให้ชมครับ ต้องบอกก่อนนะครับ ว่ากว่าจะของจะยอมให้ผมดู(ช่วงปีใหม่) โทรไปอ้อนหลายรอบครับ เพราะลพ.ท่านทำแค่ 12 ตัว โดยจ่าพิมนะครับ ทำตั้งแต่สมัยสงครามและทำแค่ครั้งเดี่ยว รุ่นหลังที่แอบอ้างกันเก้หมดนะครับหรือไม่ก็ไม่ทันหลวงพ่อ แต่หนังสือที่เอาไปลงดูใหม่จัง แล้ว 12 ตัว เจ้าของที่ผมยืมถ่ายรูปเขาบอกว่าเขาไล่ได้หมดอยู่ที่ใครบาง แล้วที่หนังสือไปลงแล้วบอกว่าของลพ.ของใครกันว่า คอยติดตามนะครับ |
|
|