ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : Collection # 1 กับ พระกริ่ง ก้น....



(D)


ผมนำพระกริ่งก้นทองคำที่สะสมไว้บ้างนำมาให้เพื่อนๆ พี่ๆชมกันครับ ใครพอมีร่วมแจมกันได้นะครับ
ส่วนใหญ่เป็นพระกริ่งใหม่ๆ ลองชมกันดูครับ
องค์แรก กริ่งนารายณแปลงรูป นวะเต็มสูตร ผิวกลับดำ มันวาว เนื้อหา น่าส่องมากครับ

โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 12:23 น.]



โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 12:31 น.] #22141 (1/27)


(D)


เอาใจสายใต้กันนะครับ วันนี้ พระใต้ล้วนๆ

ข้อมูลกริ่งนารายณ์แปลงรูป อยู่ในหน้า วิชาการพระแท้แล้วครับ

องค์ที่ ๒ กริ่งเขาอ้อครับ ปี ๔๔ ครับ

กริ่งมหามงคลวัตถุ " ขุนพันธ์พุทธาคมเขาอ้อ " นับเป็นวัตถุมงคลที่มีผู้ให้ความสนใจสั่งจองกันอย่างมากมาย นับเป็นวัตถุมงคลที่โดดเด่นและกล่าวขานกันอย่างกว้างขวางมากที่สุดในรอบปี พ.ศ.2544 โดยจัดสร้าง

เนื้อนวโลหะ พิเศษแก่ทองคำกลับดำ ก้นทองคำ สร้างเพียง ๑๑๘ องค์

เนื้อเงิน ผิวโบราณ สร้างแค่ 1,988 องค์

เนื้อนวโลหะ พิเศษแก่เงิน ผิวไฟเดิม สร้างแค่ 2,988 องค์

วัตถุมงคลรุ่นนี้ผ่านพิธีพุทธาภิเษกครบถ้วนสมบูรณืแบบถึง 3 ครั้งดังนี้

ครั้งแรก ประกอบพิธีเททองแบบโบราณตามตำหรับสำนักวัดเขาอ้อ ในวันอาทิตย์ที่ 20 พ.ค. 2544 เวลา 09.19 น.ณ.สำนักวัดเขาอ้อโดยมีพระเกจิอาจารย์จำนวน 8 รูปนั่งปรกปลุกเสกประจำทิศ และศิษย์ฆราวาสเขาอ้อ คือ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช อาจารย์ฉันท์ทิพย์ พันธรักษ์ราชเดช และอาจารย์ประจวบ คงเหลือ ร่วมกัน ประกอบพิธีกรรมอ่านโองการณ์บวงสรวงอัญเชิญเทพยดา เจ้าป่าเจ้าเขา บูรพคณาจารย์สำนักเขาอ้อ

.........พิธีกรรมครั้งที่ 2 ประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษก ณ.พระวิหารหลวงวัดพระมหาธาตุวรวิหาร จ.นครศรีธรรมราช ในวันอาทิตย์ที่ 5 สค. 44 เวลา 09.19น. โดยมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วภาคใต้นั่งปรกบริกรรมภาวนา และ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชเป็นบัณฑิตเจ้าพิธีกรรม

.........พิธีกรรมครั้งที่ 3 ประกอบพิธีปลุกเสกภายใน ถำฉัตรทัณฑ์สำนักวัดเขาอ้อในวันอาทิตย์ที่ 12 สค. 44 เวลา 09.19 น. โดยมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังสายเขาอ้อนั่งปรกปลุกเสก และศิษย์ฆราวาสเขาอ้อคือ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช อาจารย์ฉันท์ทิพย์ พันธรักษ์ราชเดช
และอาจารย์ประจวบ คงเหลือ ร่วมกันเป็นบัณฑิตเจ้าพิธีกรรมบวงสรวงเทพยดา เจ้าป่าเจ้าเขาบูรพคณาจารย์เขาอ้อให้มาเป็นสักขีพยาน และร่วมประสิทธิ์ประสาท พุทธคุณต่างๆ


โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 12:34 น.] #22142 (2/27)


(D)


รูปบน เป็นของกริ่งนารยณ์ฯ

รูปล่าง เป็นของกริ่งเขาอ้อครับ

โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 12:37 น.] #22143 (3/27)


(D)


องค์ที่ ๓ กริ่งปวเรศ หลวงปู่สุภาครับ

กริ่งออกใหม่ แต่ดังมาก สยบสึนามิ ผู้รอดตายจากกริ่งรุ่นนี้หลายราย พี่เพื่อนๆคงทราบพระวิติกันดีครับ

โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 12:43 น.] #22144 (4/27)


(D)


ผมนำก้นมาให้ชม ๒ องค์ครับ

องค์แรก ก้นทองคำ หลวงปู่จารให้ด้วย เพื่อนไปคัดมาให้จากก้นทองคำ ๑๐ กว่าองค์ มีองค์นี้องค์เดียว ขออภัยภาพนี้ผมถ่ายมาเบอร์ ไม่ค่อยชัด แต่ยังพอเห็นรอยจาร

องค์ที่๒ ก้นทองคำธรรมดาครับ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้าชมครับ

ใครชอบพระกริ่ง ร่วมใชว์กันบ้าง ให้เพื่อนได้ศึกษากันครับ

โดยคุณ theman (492)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 13:14 น.] #22146 (5/27)
ไม่เสียทีที่รออยู่ บอกได้คําเดียว....สุดยอดดดดดครับ ตอนนี้คนที่มีก็เก็บกัน ที่พอหาได้ก็แพงมาก ของเก๊ก็แยะ ได้ดูแค่นี้ก็ดีใจแล้วครับ ขอบคุณคุณ sakchai323 มากครับ

โดยคุณ theman (492)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 13:21 น.] #22148 (6/27)
เออ ! ถ้าเบื่อองค์ไหน mail มาบอกหน่อยนะครับ ยินดีเก็บให้ครับ

โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 13:34 น.] #22149 (7/27)
ขอบคุณ คุณ theman ที่เข้ามาทักทายเป็นคนแรก
สบายๆ วันหยุด ไม่ได้ออกไปไหนหรือครับ

คอยติดตาม Collection # 2 นะครับ และคงหมดแล้วสำหรับพระกริ่ง เป็นกริ่งภาคตะวันออกแต่เป็นพระใหม่ๆ อีก ๒-๓ องค์ครับ และคงหมดแล้ว โพสทีเดียว บางครั้งโหลดยากและช้าครับ

โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 13:45 น.] #22151 (8/27)


(D)


เอาใจคุณ theman หน่อยครับ
กริ่งนารายณ์ก้น นวะ เบอร์ ๒๔๔ ครับ

โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 13:51 น.] #22152 (9/27)


(D)

โดยคุณ theman (492)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 15:55 น.] #22159 (10/27)
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณคุณ sakchai323 มากครับ ใจดีจริงๆครับ ผมเองชักรู้สึกเกรงใจที่ต้องรบกวน คงได้แต่ขอบคุณจากใจครับ พระสวยมากๆๆๆๆๆๆครับ ได้เห็นเนื้อ เห็นพิมพ์ชัดๆเเบบนี้ได้ประโยชน์จริงๆครับ

โดยคุณ ecespc (164)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 16:31 น.] #22163 (11/27)
พุทธลักษณะสวยงามทุกองค์เลยครับ ขอชมเป็นบุญตาและแถมได้ความรู้ ขอบคุณ คุณsakchai323 มากครับ

โดยคุณ jorawis (204)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 19:01 น.] #22171 (12/27)
เข้ามาชมครับ ไม่เป็นแต่ขอบอกว่าสวยมาก

โดยคุณ aumphorn (771)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 19:51 น.] #22174 (13/27)
แต่ละองค์งามๆทั้งนั้นเลยครับพี่ศักดิ์ชัย

โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [ส. 04 ก.พ. 2549 - 20:23 น.] #22175 (14/27)
ขอบคุณทุกท่าน ที่เข้ามาทักทายกันครับ
โดยเฉพาะคุณ aumphorn เป็นขาประจำไปแล้ว สงสัยต้องให้ราคาพิเศษ (แพงเป็นพิเศษ)

แอบไปชมพระของคุณ jorawis เล่นพระหลายหน้ามากนะครับ ทั้งเนื้อชิน เนื้อดิน พระคงสวยครับ ที่ชอบมาก พระหล่อประจำวันเจ้าคุณศรีสนธิ์ เก็บครบชุดเลยครับ แถมมีพระของ อาจารย์นองอีกด้วย

ส่วนคุณecespc ก็มีกริ่งปวเรศ ปี ๓๐ วัดบวร สุดยอดครับ พระดี พิธีใหญ่ ผมยังไม่มีเลย แต่ที่ผมชอบ ก็พรายคู่ ลป.ทิม(ของพี่พันชาติ) สวย มีเสน่ห์ แถมมีดีกรีด้วย ผมมีแค่ลูกอมอยู่ลูกเดียวเองครับ ดูก็ไม่เป็น

มีโอกาส หวังว่านำพระมาโชว์ แบ่งปันความรู้กันบ้างนะครับ

โดยคุณ เด็กตลาดช่องแค (450)  [อา. 05 ก.พ. 2549 - 12:33 น.] #22202 (15/27)
ผมเองก็ไม่เป็นทางนี้ครับ เข้ามาชมขอความรู้ครับ บอกได้คำเดียวครับว่าสุดยอดครับ สวยทั้งนั้น รูปชัดมากครับคุณsakchai323
รบกวนถามประดับความรู้หน่อยครับ องค์ที่ ๓ กริ่งปวเรศ หลวงปู่สุภาครับ ที่ว่ารอดจากซึนามิ นะครับ อยากทราบประวัติหน่อยครับ แล้วประวัติหลวงปู่สุภา วัดอะไรครับ ผมไม่ทราบจริงครับ รบกวนคุณsakchai ความรู้หน่อยครับ ถ้ารบกวนเกินไปไม่เป็นไรครับ

โดยคุณ aumphorn (771)  [อา. 05 ก.พ. 2549 - 14:02 น.] #22216 (16/27)
โหวแพงเป็นพิเศษ เอาๆ ครับ ผมก็อยากรู้เหมือน เด็กตลาดช่องแค ครับ

โดยคุณ theman (492)  [อา. 05 ก.พ. 2549 - 14:47 น.] #22220 (17/27)
ขอท่านผู้อวุโสได้โปรดชี้แนะด้วย ( อยากรู้เหมือนกัน )

โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [อา. 05 ก.พ. 2549 - 18:57 น.] #22226 (18/27)
หลวงปู่สุภาหรือพระมงคลวิสุทธิ์ วัดสีลสุภาราม ภูเก๊ต เป็นพระเถระผู้ใหญ่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตรบารมีกระแสจิตเร็วและแรง ความจำดีเลิศเป็นศิษย์เอกรูปเดียวของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขาวเฒ่า (ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับสมเด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) หลวงปู่สภาได้ชื่อว่าเป็นยอดของพระอริยสงฆ์ยุคกึ่งพุทธกาลเพียบร้อมด้วยบารมีอายุและพรรษาสรรพวิชาภูมิรู้ ภูมิธรรมเป็นผู้รู้ราตรีนานอุดมไปด้วยอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ ยากนักที่จะหาพระอริยสงฆ์ระดับนี้ได้อีกในแผ่นดิน

ข้อมูลการสร้างพระกริ่งปวเรศ ลป.สุภา
รายละเอียดองค์พระบรรจุของศักดิ์สิทธิ์มีไว้ 3 อย่าง
เป็นพระกริ่งที่จัดสร้างเหมือนองค์พระกริ่งปวเรศองค์ครูของวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อทรงไว้ซึ่งคุณค่าพิมพ์ทรงที่สง่างามเหมือนเอกลักษณ์เฉพาะองค์ภายในพระกริ่งได้บรรจุของวิเศษ 3 ชนิด เพื่อให้แตกต่างจากของเก่าและเป็นการบ่งบอกถึงพลานุภาพขององค์พระเปิดตำนานพระกริ่งปวเรศของหลวงปู่สุภาอีกโสดหนึ่ง ของมงคล 3 อย่างคือ

1. พระธาตุสัญฐานเมล็ดถั่วแตก พระธาตุองค์เดิมได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชเพื่อบรรจุในพระเจดีย์ต่อมาเมื่อบูชาไว้ (ยังไม่ได้บรรจุ) มีพระธาตุเสด็จมาเพิ่มขึ้นเองจำนวนมาก พระธาตุเดิมได้อัญเชิญบรรจุในเจดีย์ไปแล้วส่วนพระธาตุที่เสด็จมาเพิ่มเองนี้ได้ขอมาบรรจุในพระกริ่งปวเรศหลวงปู่สุภาซึ่งเป็นมหามงคลสูงค่า พระธาตุที่เสด็จมาเองนี้เรียกว่า พระธาตุเทพนิมิตร มีเทวดารักษาอยู่ ผู้บูชาเจริญรุ่งเรืองด้วยยศศักดิ์เป็นมหาบารมีอย่างสูง

2. เกศาหลวงปู่สุภา เป็นเกศาที่หลวงปู่สุภาปลงและเสกเก็บไว้ เกศาบางส่วนได้รวมกันจับเป็นก้อนและสังเกตุว่าเกศาหลวงปู่จะมีความสว่างใสเป็นแก้วอย่างน่าประหลาด เกศาถือว่าเป็นของดีของมงคลมากโบราณจะพูดว่าเกศาเป็นส่วนที่อยู่สูงสุดของร่างกาย วิชาอาคมพลังสมาธิจิตต่าง ๆ จะถูกบรรจุอยู่ในเกศาทั้งหมด เกศาถือเป็นตัวแทนขององค์หลวงปู่สุภาเหมือนมีหลวงปู่สุภาอยู่กับพระกริ่งปวเรศทุกองค์

3. ผ้าขาวม้า ผ้าขาวม้าเป็นของวิเศษอีกอย่างหนึ่งที่เกจิยุคโบราณจะนิยมทำให้เฉพาะศิษย์ไว้ป้องกันตัว ไปที่ไหนเข้าที่ไหนก็ไม่เสื่อมจากอาคม โบราณกาลเชื่อว่าผ้าขาวม้ามีตามาก (ตาลายผ้า) จะป้องกันภัยได้ดี หลวงปู่สุภาเป็นพระเกจิยุคโบราณร่างกายสูงใหญ่ ท่านรู้ถึงเคล็ดวิชาผ้าขาวม้าดี ท่านปลุกเสกไว้ให้ 3 ผืน เพื่อบรรจุในพระกริ่ง ผ้าขาวม้าของหลวงปู่เคยมีคนไม่เชื่อว่าผ้าขาวม้าที่เสกแล้วจะขลังเอาปืนไปทดลองยิงปรากฏว่ายิงไม่ออก 2 นัดยิงออกแต่ไม่ถูกผ้า 1 นัด

จำนวนการสร้าง
กริ่งรุ่นนี้มี ๔ แบบครับ ตามโบชัวร์ที่ออก
๑.กริ่งนวะแก่ทองคำก้นทองคำ ๖ โค๊ต สร้าง ๓๙ องค์ กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน
๒.กริ่งนวะแก่ทองคำ ก้นเงิน ๕ โค๊ต สร้าง ๓๙๓ องค์ กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน
๓.กริ่งนวะแก่ทองคำ ก้นนวะ ๔ โค๊ต สร้าง ๕๓๙ องค์ กล่องกำมะหยี่สีแดง
๔.กริ่งเนื้อทองฝาบาตร ไม่แต่งผิว ๓ โค๊ต สร้าง ๙๓๙ องค์ กล่องกำมะหยี่สีแดง
แต่จริงยังมี
แบบที่ ๕ กริ่งเนื้อทองฝาบาตร แต่งพิมพ์(เพราะหล่อมาเผื่อชำรุด) นำแต่งพิมพ์และ ตอกโค๊ตคนละตำแหน่งกับ กริ่งเนื้อทองฝาบาตร ไม่แต่งผิว เข้าพิธีปลุกเสก แต่คนไม่รู้ ไม่กล้าเช่า ผมเองก็เช่าพิมพ์นี้มาด้วย




โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [อา. 05 ก.พ. 2549 - 18:59 น.] #22227 (19/27)
หลวงปู่สุภาหรือพระมงคลวิสุทธิ์ วัดสีลสุภาราม ภูเก๊ต เป็นพระเถระผู้ใหญ่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตรบารมีกระแสจิตเร็วและแรง ความจำดีเลิศเป็นศิษย์เอกรูปเดียวของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขาวเฒ่า (ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับสมเด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) หลวงปู่สภาได้ชื่อว่าเป็นยอดของพระอริยสงฆ์ยุคกึ่งพุทธกาลเพียบร้อมด้วยบารมีอายุและพรรษาสรรพวิชาภูมิรู้ ภูมิธรรมเป็นผู้รู้ราตรีนานอุดมไปด้วยอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ ยากนักที่จะหาพระอริยสงฆ์ระดับนี้ได้อีกในแผ่นดิน

ข้อมูลการสร้างพระกริ่งปวเรศ ลป.สุภา
รายละเอียดองค์พระบรรจุของศักดิ์สิทธิ์มีไว้ 3 อย่าง
เป็นพระกริ่งที่จัดสร้างเหมือนองค์พระกริ่งปวเรศองค์ครูของวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อทรงไว้ซึ่งคุณค่าพิมพ์ทรงที่สง่างามเหมือนเอกลักษณ์เฉพาะองค์ภายในพระกริ่งได้บรรจุของวิเศษ 3 ชนิด เพื่อให้แตกต่างจากของเก่าและเป็นการบ่งบอกถึงพลานุภาพขององค์พระเปิดตำนานพระกริ่งปวเรศของหลวงปู่สุภาอีกโสดหนึ่ง ของมงคล 3 อย่างคือ

1. พระธาตุสัญฐานเมล็ดถั่วแตก พระธาตุองค์เดิมได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชเพื่อบรรจุในพระเจดีย์ต่อมาเมื่อบูชาไว้ (ยังไม่ได้บรรจุ) มีพระธาตุเสด็จมาเพิ่มขึ้นเองจำนวนมาก พระธาตุเดิมได้อัญเชิญบรรจุในเจดีย์ไปแล้วส่วนพระธาตุที่เสด็จมาเพิ่มเองนี้ได้ขอมาบรรจุในพระกริ่งปวเรศหลวงปู่สุภาซึ่งเป็นมหามงคลสูงค่า พระธาตุที่เสด็จมาเองนี้เรียกว่า พระธาตุเทพนิมิตร มีเทวดารักษาอยู่ ผู้บูชาเจริญรุ่งเรืองด้วยยศศักดิ์เป็นมหาบารมีอย่างสูง

2. เกศาหลวงปู่สุภา เป็นเกศาที่หลวงปู่สุภาปลงและเสกเก็บไว้ เกศาบางส่วนได้รวมกันจับเป็นก้อนและสังเกตุว่าเกศาหลวงปู่จะมีความสว่างใสเป็นแก้วอย่างน่าประหลาด เกศาถือว่าเป็นของดีของมงคลมากโบราณจะพูดว่าเกศาเป็นส่วนที่อยู่สูงสุดของร่างกาย วิชาอาคมพลังสมาธิจิตต่าง ๆ จะถูกบรรจุอยู่ในเกศาทั้งหมด เกศาถือเป็นตัวแทนขององค์หลวงปู่สุภาเหมือนมีหลวงปู่สุภาอยู่กับพระกริ่งปวเรศทุกองค์

3. ผ้าขาวม้า ผ้าขาวม้าเป็นของวิเศษอีกอย่างหนึ่งที่เกจิยุคโบราณจะนิยมทำให้เฉพาะศิษย์ไว้ป้องกันตัว ไปที่ไหนเข้าที่ไหนก็ไม่เสื่อมจากอาคม โบราณกาลเชื่อว่าผ้าขาวม้ามีตามาก (ตาลายผ้า) จะป้องกันภัยได้ดี หลวงปู่สุภาเป็นพระเกจิยุคโบราณร่างกายสูงใหญ่ ท่านรู้ถึงเคล็ดวิชาผ้าขาวม้าดี ท่านปลุกเสกไว้ให้ 3 ผืน เพื่อบรรจุในพระกริ่ง ผ้าขาวม้าของหลวงปู่เคยมีคนไม่เชื่อว่าผ้าขาวม้าที่เสกแล้วจะขลังเอาปืนไปทดลองยิงปรากฏว่ายิงไม่ออก 2 นัดยิงออกแต่ไม่ถูกผ้า 1 นัด

จำนวนการสร้าง
กริ่งรุ่นนี้มี ๔ แบบครับ ตามโบชัวร์ที่ออก
๑.กริ่งนวะแก่ทองคำก้นทองคำ ๖ โค๊ต สร้าง ๓๙ องค์ กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน
๒.กริ่งนวะแก่ทองคำ ก้นเงิน ๕ โค๊ต สร้าง ๓๙๓ องค์ กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน
๓.กริ่งนวะแก่ทองคำ ก้นนวะ ๔ โค๊ต สร้าง ๕๓๙ องค์ กล่องกำมะหยี่สีแดง
๔.กริ่งเนื้อทองฝาบาตร ไม่แต่งผิว ๓ โค๊ต สร้าง ๙๓๙ องค์ กล่องกำมะหยี่สีแดง
แต่จริงยังมี
แบบที่ ๕ กริ่งเนื้อทองฝาบาตร แต่งพิมพ์(เพราะหล่อมาเผื่อชำรุด) นำแต่งพิมพ์และ ตอกโค๊ตคนละตำแหน่งกับ กริ่งเนื้อทองฝาบาตร ไม่แต่งผิว เข้าพิธีปลุกเสก แต่คนไม่รู้ ไม่กล้าเช่า ผมเองก็เช่าพิมพ์นี้มาด้วย




โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [อา. 05 ก.พ. 2549 - 19:04 น.] #22230 (20/27)
ขอโทษครับ ส่งซ้ำ ผมคักลอกมาจากเวปพระแห่ง ผมจำไม่ได้ และเพิ่มเติมข้อมูลบางส่วน พระรุ่นนี้ออให้บูชาปลายปี ๔๗ ก่อนเกิดเหตุการณ์ไม่วันครับ

ส่วนอันนี้ จาก นสพ.ไทยรัฐ ฉบับที่ วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2548 ดังนี้

" ช็อกโลก!!!...07.58 น. วันที่ 26 ธันวาคม 2547 เกิดแผ่นดินไหว ณ ชายฝั่งตะวันตกเกาะ สุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ทำให้เกิดสึนามิคลื่น ยักษ์ถล่มประเทศต่างๆ ในแถบมหาสมุทรอินเดีย

คลื่นแห่งความโหดนี้ ได้กลืนชีวิตมนุษยโลกล้มตายกัน คาดคะเนว่าจะถึง 1.5 แสนคน โดยเฉพาะ อินโดนีเซียเมืองต้นเหตุได้รับรางวัลที่ 1 ตายไป 94,200 คน รองลงมาคือ ศรีลังกา และ อินเดีย

ส่วนบ้านเราคือที่นี่ ประเทศไทยโดนรางวัลที่ 4 มีผู้บาดเจ็บจากที่คลื่นพากระแทกสายน้ำ 8,457 ราย พร้อมๆกับสูญหาย 3,716 ราย (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าในจำนวนนี้จะมีผู้ชีวิตรอดมา อีกหรือไม่) เชื่อแน่ว่าโอกาสที่จะกลับมาหายใจอีกนั้นริบหรี่เต็มที และที่ แน่นอนว่าไม่ฟื้นแน่ๆ 5,288 ราย...

O O O

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ในครั้งนี้ส่งผลทำให้ คนตายกันเป็นเบือ ก็มีบางรายที่อยู่ในเหตุการณ์ แล้วเกิดปาฏิหาริย์ รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด เช่นกัน อย่างเช่น นางแอ๋ว กันตังกุล อายุ 55 ปี เจ้าของร้านอาหาร "แอ๋วซีฟู้ด" เลขที่ 74 หมู่ 3 ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต

ซึ่งเธอได้เล่าว่า ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์นั้นได้ออกมา จัดเตรียมข้าวของที่จะขาย ให้กับนักท่องเที่ยว จู่ๆก็เกิดคลื่นยักษ์โถมเข้ามาใส่ตัวเธออย่างไม่ทันรู้ตัว จนตัวเธอนั้นลอยละลิ่วไปกับความแรงของน้ำ ในช่วงนั้นได้ตั้งสติเอามือข้างหนึ่ง กำเหรียญหลวงพ่อคูณกอดใส่อกแน่น

ในช่วงนั้นได้เห็นนักท่องเที่ยวหลายคนที่ตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ว่าพอน้ำลดลง เธอกลับไม่เป็นอะไรเลย เพียงแค่ขัดยอกลุกไม่ขึ้นเท่านั้นเอง สักพักก็ค่อยๆพยุงตัวคลานและเดินออกมาจากจุดเกิดเหตุได้...

...ซึ่ง นางแอ๋วเชื่อแน่ว่าที่เธอรอดตายครั้งนี้มาจากพลัง ของเหรียญหลวงพ่อคูณแน่นอน ในขณะเดียวกันที่ตัวหลวงพ่อคูณเองยังนอนให้ แพทย์ดูแลที่โรงพยาบาลศิริราช

O O O

อีกรายคือ นายนิพนธ์ วิสิษฐยุทธศาสตร์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง (ส.ว.อ่างทอง) ได้ เดินทางไปที่จังหวัดภูเก็ต ในเช้าวันเกิดเหตุกับการบินไทย โดยตั้งใจ จะไปในงานพิธี พระราชทานดินฝังศพมารดา ของ ส.ว.ไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ ในช่วงบ่าย

และก็ตั้งใจว่าในช่วงเช้า พอไปถึงก็ จะไปพักผ่อนที่กะตะธานี หรือ เมอริเดียน เพื่อรอให้ได้เวลาแล้วจะไปงาน จากนั้นจึงจะไปกราบ ท่านเจ้าคุณพระมงคลวิสุทธิ "หลวงปู่สุภา กันตะสีโล" พระอริยสงฆ์ห้าแผ่นดินอายุ แห่งวัดสีลสุภาราม อ.เมืองภูเก็ต

(หลวงปู่สุภา อายุ 109 ปี เกิดที่จังหวัดสกลนคร เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ตั้งแต่เป็นสามเณร เป็นศิษย์ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ร่วมสำนักเดียวกับเสด็จเตี่ย "กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์" ซึ่งมีพลังในทางมงคลด้วยการสร้างแมงมุม ตั้งแต่เป็นสงฆ์มาไม่เคยได้รับฐานะอันใดเลยแม้แต่ "พระครู" มาเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา เข้าสู่พรรษาที่ 89 จึงได้ฐานะเป็น เจ้าคุณชั้นสามัญ ที่ พระมงคลวิสุทธิ)

เมื่อ รองประธานวุฒิสภามาถึงก็โทร.ไปหาหลวงปู่สุภา ก่อนเพื่อที่จะนัดเวลา แต่พอ หลวงปู่รับสาย และรู้ว่าใคร ก็บอกว่า... ให้มาหาหลวงปู่ก่อนถึงเพล แล้วจึงค่อยไปไหน

O O O

ซึ่งในครั้งแรก รองฯนิพนธ์ ไม่อยากจะทำตาม แต่ด้วยความเกรงใจจึงไป พอได้พบกับ หลวงปู่ สุภา ท่านก็ได้หยิบ พระกริ่งปวเรศก้นทองคำมอบให้ 1 องค์ ทั้งๆที่ไม่ได้ ขอ และ หลวงปู่ สุภา ก็บอกว่า... เก็บเอาไว้แล้วจะแคล้วคลาดปลอดภัย

(หลวงปู่สุภา สร้างพระกริ่งฉลองที่ได้ฐานะ โดยในองค์พระได้ บรรจุพระธาตุสัณฐานเมล็ดถั่วแตก เส้นเกสาหลวงปู่สุภา และ ผ้าขาวม้าที่ปลุกเสก โดยโบราณเชื่อว่าผ้าขาวม้าเป็นมงคลวัตถุที่รวมพุทธคุณไว้อย่างดี มีตามากจะป้องกันภัยได้ดี)

ในช่วงที่อยู่ที่วัดนั้น ก็มีโทรศัพท์เข้ามาหารองฯนิพนธ์ หลายครั้ง ซึ่งก็มี พรรคพวกที่ดื่มกาแฟรออยู่ที่กะตะธานี กับ ส.ว.ไพบูลย์ที่รออยู่ ที่วัดโฆษิตวิหาร รองฯนิพนธ์ ก็ได้แต่กระสับ กระส่ายว่าจะทำอย่างไรดี

แล้ว หลวงปู่สุภาก็บอกว่า ถ้าร้อนใจก็ไปได้ แต่ว่าให้ไปที่วัดโฆษิตวิหารงานศพแม่เพื่อน ไม่ต้องไปที่โรงแรม รองฯนิพนธ์ก็ปฏิบัติตาม

และเมื่อมาถึงวัดโฆษิตวิหารสักพักใหญ่ นายเรวัตร อารีชอบ เจ้าของโรงแรมอันดามันเพลส มาถึงได้บอกว่า เกิดแผ่นดินไหวที่อินโดนีเซีย จะต้องมีผลกระทบถึงภูเก็ตแน่ ในระหว่างที่กำลังพูดกันอยู่นั้น ก็มีข่าวคลื่นน้ำถล่มกะตะ กะรน ป่าตอง พังพินาศ มีคนล้มตายหลายคน

...พอสิ้นเสียงการประกาศข่าว รองฯนิพนธ์ถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วพูดกับพรรคพวกว่า...ผมรอดตายเพราะหลวงปู่แท้ๆ ถ้าไปที่กะตะหรือป่าตอง โดยไม่เชื่อคำของท่าน อาจเป็นผีเฝ้าหาดแน่ หรือว่าที่ รอดตายเพราะพลังของพระกริ่งปวเรศ องค์นี้ก็ไม่รู้...เล่นเอา หลังจากงานศพแล้วเสร็จผู้คนแห่ไปที่วัดสีลสุภาราม ไปขอพระกริ่งกันคนละองค์สององค์

O O O

อีกคนคือ คุณวิมล เสรีสนะเวช บ้านอยู่ตำบลเวียงผาคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กับครอบครัวเดินทาง ไปพักผ่อนที่หมู่เกาะพีพี และในวัน ก่อนที่จะไปเกาะนั้น ได้แวะที่วัดสีลสุภาราม นมัสการหลวงปู่สุภา

ซึ่ง หลวงปู่ได้มอบพระกริ่ง ปวเรศให้คนละองค์ ก็เอาใส่กระเป๋าเสื้อไว้ ในช่วงเช้าวันที่ 26 ธันวาคม ประมาณ 09.30 น. ระหว่างที่ นั่งอยู่ริมชายหาดได้เห็นสิ่งผิดปกติ น้ำทะเลลดลงอย่างรวดเร็วจากชายหาดแบบวูบเลย

หลังจากนั้น น้ำก็ขึ้นมาใหม่และก็มีเสียงคนร้องตะโกนบอกให้วิ่งหนี ก็เลยพาครอบครัววิ่งไปและเห็นสายน้ำอีกด้านหนึ่งก็ซัดเข้ามาเหมือนกัน แล้วน้ำทั้งสองคลื่นก็กระทบกันปะทะกับกำแพง ตัวเธอกับครอบครัวถูกน้ำพัด ไปติดที่ซอกตึก ตอนนั้นก็คิดว่าไม่รอดแล้ว เพราะตลอดเวลามีสิ่งของปลิวลอยมาทับเต็มไปหมด ก็ได้แต่ภาวนาว่าให้พระกริ่งหลวงปู่ช่วยคุ้มครอง

ก็แปลกเหมือนกัน หลังจากที่คลื่นสงบก็เหมือนกับว่า มีใครมาช่วยดุนตัวเธอให้ผุดขึ้นเหนือน้ำ เธอกับครอบครัวจึงพากันปีนป่าย ขึ้นไปชั้นบนของตึก...เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพียงชั่ววูบที่ชีวิตนี้เธอจะลืมไม่ลง

...และที่ยังสงสัยยังหาคำตอบไม่ได้ว่า...ดวงไม่ถึงที่ตาย หรือว่าได้พลังพระกริ่งช่วย!!!

โดย "ก้อง กังฟู" "





โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [อา. 05 ก.พ. 2549 - 19:26 น.] #22243 (21/27)
ข้อมูลบางส่วนจาก "พระเครื่องคเณศร" ครับ
อันนี้ก็เช่นกัน
"
ประวัติ หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
( เจ้าคุณพระมงคลวิสุทธิ์ )
หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีวอก พุทธศักราช 2439
(ตรงกับวันที่ 17 กันยายน พุทธศักราช 2439) ที่ บ้านคำบ่อ ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ
จังหวัด สกลนคร
โยมบิดา คือ ขุนพลภักดี ผู้ใหญ่บ้าน คำบ่อ ชื่อเดิม คือ นายพล วงศ์ภาคำ
โยมมารดา ชื่อ นางสอ วงศ์ภาคำ มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน คือ
1. นางสี วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
2. นายเสน วงศ์ภาคำ (บวชเป็นพระภิกษุ - มรณภาพ)
3. นางผม วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
4. นางเกตุ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
5. นายจันทร์เพ็ง วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
6. หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
7. นางมาลีจันทร์ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
8. นางกา วงศ์ภาคำ (ยังมีชีวิตอยู่)


หลวงปู่สุภา เป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัว เมือตอนเป็นเด็กท่านอ้วนท้วนสมบูรณ์ผิวขาว หน้าตาน่ารักน่าชัง ท่านใช้ชีวิตอย่างเช่นเด็กทั่ว ๆ ไปในสมัยนั้น คือ เที่ยววิ่งซุกซนไปตามประสา จะมีโอกาสเรียนเขียนอ่านก็ต่อเมื่อพ่อแม่พาไปฝากวัดให้พระท่านสอน หรือไม่ก็ให้พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ ที่รู้หนังสือสอนให้ วัดจึงนับเป็นสถานที่แห่งเดียวที่เด็กชายจะสามารถไปแสวงหาความรู้เช่นเดียวกัน คนอีสานส่วนใหญ่ในสมัยนั้นคือ มักจะให้ลูกบวชเป็นสามเณร

เมือหลวงปู่สุภาอายุได้ 7 ขวบ วันหนึ่ง ในขณะที่ท่านและเพื่อนๆ ออกไปวิ่งเล่นที่ริมทุ่งชายป่าได้พบ กับพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกลดพักอยู่ใต้ต้นตะแบกใหญ่ เด็กคนอื่นๆ ที่เห็นพระรูปนั้นไม่ได้สนใจ ต่างพากันวิ่งเล่นกันต่อ เว้นไว้แต่เด็กชายสุภา ซึ่งมีจิตใจโน้มมาทางธรรมตั้งแต่อายุยังน้อยจะเห็นได้ จากการที่ชอบเข้าใกล้พระ ชอบไปวัดดังนั้น เมื่อท่านเห็นพระธุดงค์รูปนั้นปักกลดพักอยู่ก็แยกตัว ออกจากเพื่อนๆ ตรงเข้าไปกราบ เมื่อพระภิกษุชราที่นั่งพักอยู่ภายใจกลดเห็นเด็กชายหน้าตาน่ารัก เข้ามากราบอย่างสวยงาม เหมือนกับได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี จึงมองเด็กน้อยคนนั้นด้วยความ เมตตา เพ่งดูลักษณะอยู่ครู่เดียวจึงบอกเด็กน้อยว่า ต่อไปภายหน้าจะได้บวช เมื่อบวชแล้วอย่าลืมไปหา ท่าน พระภิกษุรูปนี้ คือ หลวงปู่สีทัตต์ จำพรรษาอยู่ที่วัดท่าอุเทน จังหวัดนครพนมนั่นเอง แต่ในเวลา นั้น เด็กชายสุภายังไม่ได้นึกอะไร ได้แต่นั่งคุยกับหลวงปู่สีทัตต์ครู่หนึ่ง จึงนมัสการกราบลาไปวิ่งเล่น กับเพื่อนๆ ต่อ

บวชเณร เรียนมูลกัจจายน์


หลังจากได้พบกับหลวงปู่สีทัตต์ที่ชายป่าในครั้งนั้นแล้วเป็นเวลา 2 ปี บิดามารดาของหลวงปู่ได้ ตกลงใจให้หลวงปู่ซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้องบวชเป็นสามเณร ในขณะที่ท่านอายุได้ 9 ขวบ โดยมี พระอาจารย์สวน เจ้าอาวาศวัดแห่งหนึ่งในหมู่บ้านตำบลคำบ่อเป็นพระอุปัชฌาย์

สามเณรสุภาได้ศึกษาพระธรรมวินัยกับพระอาจารย์สวนอยู่เป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้น ในปี พุทธศักราช 2449 ท่านได้เดินทางไปเรียนมูลกัจจายน์ 5 เล่ม ที่วัดไพรใหญ่ จังหวัด อุบลราชธานี ที่นั่นมีอาจารย์สอนมูลกัจจายน์อยู่ 2 ท่าน คือ พระอาจารย์พระมหาหล้า และอีกท่าน เป็นฆราวาส ชื่อ อาจารย์ลุย สามเณรสุภาได้ใช้เวลาศึกษามูลกัจจายน์ 5 เล่มอยู่ที่วัดไพรใหญ่เป็น เวลานานหลายปีกว่าจะจบมูลกัจจายน์ 5 เล่ม เมื่อจบหลักสูตรแล้ว ก็มีความคิดที่จะหาความรู้ เพิ่มเติมจึงได้กราบลาอาจารย์ออกจากวัดไพรใหญ่ โดยที่ขณะนั้นได้ทราบข่าวว่ามีพระอาจารย์รูป หนึ่งเก่งทางวิปัสสนาและทรงวิทยาคมอยู่ที่วัดท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม มีชื่อว่า พระอาจารย์สีทัตต์ สามเณรสุภาจึงนึกขึ้นได้ว่า เคยได้ยินชื่อนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว และจำได้ว่าเคยกราบ ท่านที่ใต้ต้นตะแบกเมื่อตอนเป็นเด็กๆ และท่านยังสั่งไว้ว่าเมื่อบวชแล้วให้ไปหาท่าน ในครั้งนั้น สามเณรสุภาอายุใกล้ครบอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว จึงออกเดินทางไปนมัสการหลวงปู่สีทัตต์ที่ วัดท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนนครพนม ขณะนั้น หลวงปู่สีทัตต์อายุมากแล้ว ท่านเป็นพระป่า ที่มีชื่อเสียงมากทางวิปัสสนากรรมฐาน ขณะที่สามเณรสุภาเดินทางไปพบ หลวงปู่สีทัตต์กำลังก่อสร้าง พระธาตุอยู่องค์หนึ่ง คือ พระธาตุท่าอุเทนในปัจจุบัน หลวงปู่สีทัตต์ได้รับสามเณรสุภาไว้เป็นศิษย์ด้วย ความยินดี นับว่าหลวงปู่สีทัตต์ เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานองค์แรกของหลวงปู่สุภา

ฝึกกรรมฐาน ออกธุดงค์กับหลวงปู่สีทัตต์


สามเณรสุภา ได้เริ่มฝึกกรรมฐานและออกธุดงค์เป็นกิจจะลักษณะกับหลวงปู่สีทัตต์ ซึ่งได้พาสามเณร สุภาออกธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว เพราะวัดพระธาตุท่าอุเทนนั้น อยู่ในเขตจังหวัดนครพนมใกล้กันกับ แม่น้ำโขง สมัยนั้นการเดินทางไปมาสะดวก อีกทั้งยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก มีภูเขา ป่าไม้และถ้ำมากมาย ผู้คนศรัทธาในพระพุทธศาสนาบ้านเมืองสงบร่มเย็นดี ไม่วุ่นวายเหมือนในปัจจุบันพระสงฆ์ทั้งไทยและ ลาวจึงมักจะธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมอยู่กับพระลาวที่เก่งทางวิปัสสนา หลวงปู่สีทัตต์เองก็ได้พาสามเณรสุภา ไปธุดงค์ฝั่งลาวอยู่เสมอ ๆ ที่ชอบไปพักมากที่สุด คือ ถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งสวยงามน่าอยู่ ในถ้ำนั้นมี เขาควายใหญ่วางอยู่คู่หนึ่ง ยาวข้างละประมาณ 8 ศอก มีภูเขาลักษณะโค้งงอนเหมือนกับเขาควาย ชาวบ้านฝั่งลาวจึงเรียกว่า ถ้ำภูเขาควาย ในถ้ำแห่งนี้มีพระสงฆ์ไปปฏิบัติธรรมกันมาก บางครั้งก็อยู่กัน คราวล่ะหลายรูป บางปีก็มีพระสงฆ์ไทยไปจำพรรษาอยู่เช่นกัน เนื่องจากในสมัยนั้น สร้างวัดกันได้ ง่ายกว่าในปัจจุบันไม่ว่าจะฝั่งไทย ฝั่งลาว ส่วนใหญ่วัดตามป่าตามเขาไม่ต้องขอวิสุงคามวาสี ก็ สามารถสร้างเป็นวัดได้

อุปสมบทที่ถ้ำภูเขาควายประเทศลาว


สามเณรสุภาได้ติดตามหลวงปู่สีทัตต์ไปธุดงค์จนอายุครบอุปสมบท ในปีพุทธศักราช 2459 หลวงปู่จึงได้อุปสมบทให้สามเณรสุภาภายในถ้ำภูเขาควายนั้น โดยท่านเองเป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระเถระที่ไปปฏิบัติธรรมอยุ่ที่ถ้ำภูเขาควาย เป็นพระกรรมวาจารย์และอนุสาวนาจารย์ รวมทั้งพระนั่งอันดับสามเณรสุภาได้รับฉายาว่า กนฺตสีโล

ที่ถ้ำภูเขาควายนั้น จะมีพระวิปัสสนาจารย์ที่รอบรู้ในสรรพวิชาไปพักปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก หลวงปู่สีทัตต์ต้องการให้ลูกศิษย์ท่านได้มีโอกาศรู้จักกับพระวิปัสสนาจารย์เหล่านั้น เพื่อจะได้ศึกษา วัตรปฏิบัติของท่าน หลังจากอุปสมบทแล้วก็ปฏิบัติธรรมอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง จากนั้น ท่านก็ติดตาม หลวงปู่สีทัตต์ซึ่งกลับมาจำพรรษาที่วัดพระธาตุท่าอุเทน เพื่อดำเนินการสร้างพระธาตุเมื่อมีเวลาว่าง หลวงปู่จะพาลูกศิษย์รวมทั้งพระสุภาออกธุดงค์อีกเช่นนี้ ไปจนกระทั่งสร้างพระธาตุท่าอุเทนเสร็จ เรียบร้อย

เรียนพระคัมภีร์ท้งห้าและการปฏิบัติวิปัสสนากับพระอาจารย์สีทัตต์


พระภิกษุสุภาได้พำนักอยู่กับหลวงปู่สีทัตต์เป็นเวลานานถึง 8 ปี โดยศึกษาพระปริยัติธรรมทั้ง 5 และปฏิบัติวิปัสสนากรรฐาน ท่านได้ใช้เวลา 4 ปีแรก ศึกษาพระคัมภีร์ปริยัติทั้ง 5 และการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อขึ้นปีที่ 5 หลวงปู่สีทัตต์ได้แนะให้ท่านออกธุดงค์ ในครั้งแรก อนุญาตให้มีเพื่อนติดตามอีก 3 รูป โดยมี 2 รูปเป็นพระอีกรูปเป็นสามเณร เดินธุดงค์ออกจาก ถ้ำภูเขาควายขึ้นไปทางผาต้อหน่อคำ แขวงคำม่วน อำเภอเซโปน จังหวัดเซโปน ประเทศลาว เพื่อทดสอบสมาธิและอุปนิสัยของพระภิกษุสุภา จนกระทั่งเห็นว่าท่านมีสมาธิแน่วแน่ในการปฏิบัติ ธรรมและวิปัสสนากรรมฐานดีแล้ว

หลวงปู่สีทัตต์ตั้งใจอบรมสั่งสอนทั้งทางด้านวิปัสสนากรรมฐานและวิทยาอาคมต่างๆ รวมทั้งสอน วิชา วิธีถอดกายทิพย์ ให้ด้วย จนถึงขั้นจะให้เรียนภาษานกได้รู้เรื่อง แต่ท่านได้พิจารณาดูวัตร ปฏิบัติของท่านแล้ว เห็นว่าชอบออกธุดงค์มากกว่าจึงขอออกธุดงค์ ไม่ได้เรียนภาษานก ก่อนออก ธุดงค์ หลวงปู่สีทัตต์ ได้แนะและอบรมสั่งสอนท่านไปว่า - ไปให้ดีนะลูกนะ เดินให้สม่ำเสมอ อย่าเร็ว อย่าช้า ให้ค่อยไป ให้ค่อยมา โบราณเขาว่าอยากถึงเร็วให้คลาน อยากถึงนานให้วิ่ง

โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [อา. 05 ก.พ. 2549 - 19:27 น.] #22245 (22/27)
(ต่อ)

เดินทางไปพบหลวงปู่ศุข เกสโร( วัดปากคลองมะขามเฒ่า )


เมื่อปีพุทธศักราช 2463 พระภิกษุสุภาได้กราบลาหลวงปู่สีทัตต์เพื่อออกธุดงค์วัตร และออกจากถ้ำ ภูเขาควายไปตามทางที่หลวงปู่สีทัตต์ได้เมตตาแนะนำ คือ ให้วิ่งจากถ้ำภูเขาควายไปท่าเดื่อ และจาก ท่าเดื่อไปหนองคาย ให้ไปสละธุดงค์ที่หนองคาย พร้อมทั้งแนะนำว่า อย่าเดิน เพราะจะช้าเกินไป เรียนอะไรจะไม่จบ และยังชี้แนะอีกว่าจะได้พบอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่งหากแต่ไม่ได้บอกว่าเป็น ผู้ใด

พระภิกษุสุภาออกเดินทางไปตามเส้นทางที่หลวงปู่สีทัตต์แนะนำ พอถึงหนองคาย ก็ออกธุดงค์ และให้เดินทาง ไปทางเหนือจะได้พบกับ พระอาจารย์องค์หนึ่งที่มี ความเชี่ยวชาญด้านกสิณและ วิชา แปดประการ มีอภิญญาสูงมาก พระภิกษุสุภาได้วิชาอาคมจากท่าน และนั่ง รถยนต์เข้ากรุงเทพฯ เพื่อให้ทันเวลาตามที่หลวงปู่สีทัตต์ได้บอกไว้ เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ท่านก็ได้ ถามหาเกจิอาจารย์ที่สามารถสอนทางพุทธศาสตร์ที่ลึกลับ ลึกซึ้ง หรือสอนทางวิปัสสนากรรมฐาน มีคนเล่าลือว่ามี อาจารย์ศุข (หลวงปู่ศุข เกสโร) อยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ท่านจึง ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เดินทาง นั่งรถบ้างจนถึง จังหวัดชัยนาทตามที่หลวงปู่สีทัตต์ได้บอกท่าน ก่อนกราบลาจากถ้ำภูเขาควาย

เมื่อเดินทางไป ที่วัดอู่ทอง พอเห็นกุฏิ หลวงปู่ศุข ก็จะขึ้นไปนมัสการ ก็ได้รับคำทักทาย ว่า...มาถึงแล้วหรือพ่อเณรน้อย กำลังรออยู่ พอดี ล้างเท้าแล้วขึ้นมาเห็นหน้าเห็นตา กันหน่อย

มีแต่ เสียงทักทายที่นอกชาน แต่เมื่อมองขึ้นไปไม่เห็นใคร จึงได้คิดในใจว่า... นี่คือพลังปราณผู้ที่สำเร็จ สามารถออกเสียงให้ดังค่อย หรือไกลใกล้แค่ไหน ก็ได้ หรือว่าท่านมีพลังในการโปร่งแสง (หายตัวได้) (ในช่วงที่หลวงปู่สุภาไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ศุขนั้น กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ?เสด็จเตี่ย? ได้ศึกษาวิชาจาก หลวงปู่ศุข จบและเดินทางเข้ากรุงเทพฯก่อนหน้านี้ประมาณ 4 ปี)

ท่านได้คลานเข้าไปกราบหลวงปู่ศุขซึ่งขณะนั้นท่านทราบแล้วว่าจะมีพระภิกษุมาจากประเทศลาว จึงถามท่านว่ามาจากประเทศลาวใช่หรือไม่ ท่านจึงตอบรับและกราบเรียนว่า มีความประสงค์จะมาขอให้หลวงปู่อนุเคราะห์ให้ท่านได้อยู่ศึกษา เล่าเรียนด้วย หลวงปู่ศุขจึงรับพระภิกษุสุภาไว้เป็นศิษย์ ท่านพำนักอยู่กับหลวงปู่ศุขเป็นเวลา 3 ปี ได้ศึกษาวิชาต่างๆ ที่หลวงปู่ศุขได้ถ่ายทอดให้ หลวงปู่ศุขเองก็ได้ให้ความรัก ความเมตตาต่อลูกศิษย์ ท่านเป้นอย่างมาก ถึงแม้พระภิกษุสุภาได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุมานานเกือบ 4 พรรษาแล้วก็ตาม แต่หลวงปู่ศุขก็ยังคงเรียกท่านว่า เณรน้อย เช่นเดียวกับหลวงปู่สีทัตต์เคยเรียก หลวงปู่ศุขย้ำเสมอว่า พระภิกษุสุภาคือ เณรน้อย ลูกศิษย์สุดท้องของท่านเนื่องจากในขณะที่พระภิกษุสุภาเริ่มเข้าไปกราบ หลวงปู่ศุขนั้น ท่านอายุมากแล้วแต่ยังขยันปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ ทุกวัน พระภิกษุ สุภามีความเคารพนับถือและรักใคร่หลวงปู่ศุขอย่างยิ่งเช่นกัน หลวงปู่ศุข จึงนับเป็นพระอาจารย์องค์ ที่ 2 ของท่านต่อจากหลวงปู่สีทัตต์

เรียนวิชากับหลวงปู่ศุข เกสโร( วัดปากคลองมะขามเฒ่า )


หลวงปู่ศุขเป็นพระที่มีชื่อเสียงมาก มีผู้คนไปกราบนมัสการมิได้ขาด ด้วยความศรัทษารักท่านเป็น เสมือนพระผู้วิเศษเฉกเช่นเทพเจ้า เป็นที่เคารพบูชาของคนทุกชนชั้น ตั้งแต่เจ้านายลงมาถึงไพร่ หลวงปู่ศุขประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ให้พระภิกษุสุภา เมื่อหลวงปู่ศุขท่านนั่งกรรมฐานท่านก็นั่ง กรรมฐานไปด้วย หากติดขัดปัญหาธรรมที่ใด ก็ไปกราบเรียนถาม ท่านก็เมตตาแนะนำให้ทุกครั้ง วิธีการสอนของหลวงปู่ศุข ไม่ได้สอนแบบสำนักที่เปิดสอนกันทั่วไป ส่วนใหญ่ ท่าจะปฏิบัติให้ดูเป็น ตัวอย่าง แล้วให้ลูกศิษย์ ศึกษาทำความเข้าใจเอาเอง

ในเรื่องเกี่ยวกับวิทยาคมนั้น ท่านค่อยๆ ศึกษาดูว่า หลวงปุ่ศุขทำอย่างไร ส่วนใหญ่พวกลูกศิษย์ที่ ศึกษาอยู่กับท่าน ต้องช่วยท่านอยู่แล้ว ในเวลาที่ท่านปลุกเสก ก้ได้ไปคอยสังเกต พระคาถาต่างๆ หลวงปู่ศุขก็สอนให้บ้าง จดจำเองบ้าง และไปขอท่านบ้าง อย่างไรก็ตาม ไม่มีลูกศิษย์คนใด จะปฏิบัติ จนบรรลุได้เหมือนหลวงปู่ศุข บางครั้ง เวลาลงยันต์ทำตะกรุดต้องลงไปทำใต้ท้องน้ำ ไม่มีใครเห็น จะเห็นได้ก็ต่อเมือตอนท่านขึ้นมาจากน้ำแล้ว

พระภิกษุสุภา ได้ปฏิบัติธรรมอย่างขยันหมั่นเพียรตลอดเวลากับหลวงปู่ศุข ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับ ใคร ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือกับพระภิกษุด้วยกันเพราะหลวงปู่ศุขไม่ชอบให้วุ่นวาย ท่านจึงมุ่ง แต่ปฏิบัติไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ พวกลูกศิษย์ก็ไหว้พระพร้อมกับหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านได้ให้ โอวาททบทวนธรรมะ หากมีข้อขัดข้อง ก็ถามท่านได้ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติขั้นตอนใด ท่านจะ แนะนำให้จนกระทั่งได้เวลาพอสมควร ท่านก็กลับไปทำกิจของท่าน ลูกศิษย์อื่นต่างก็แยกย้ายกัน ไปพัก และ ปฏิบัติต่อเอง นอกจากนี้ พระภิกษุสุภา ยังคอยสังเกตเรื่องวิทยาอาคม จากการอ่าน ตำราที่ท่านเที่ยวจดเที่ยวเขียนไว้บ้าง ดูจากกรรมวิธีที่ท่านทำบ้าง เรียนถามท่านบ้าง ท่านก็แนะนำ ให้ตามสมควรใครสนใจมากก็ได้ไปมาก ใครไม่สนใจก็ไม่ได้อะไรไปเลย แต่ส่วนใหญ่ หลวงปู่ศุข จะเน้นเรื่องการรักษาศีลและการปฏิบัติมากกว่า เพราะท่านสอนว่าถ้า ศีลบริสุทธิ์ คุณวิเศษต่างๆ ก็จะมีมาเอง พระภิกษุสุภา กนฺตสีโล ได้ศึกษาธรรมและวิทยาคมต่างๆ กับหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลอง มะขามเฒ่าเป็นเวลากว่า 3 ปี ถือได้ว่าเป็น 3 ปีที่มีค่าที่สุดในชีวิตเพระาได้ความรู้ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะความรู้ในทางธรรมและวิทยาคมต่างๆ ครั้งนั้น มีพระภิกษุไปปฏิบัติธรรมและเรียนวิชาอยู่ กับหลวงปู่ศุขด้วยกันประมาณ 30-40 รูป ซึ่งปัจจุบัน มรณภาพกันปหมดแล้ว เท่าที่ทราบใน เวลานี้ จะมีเพียงหลวงปู่สุภาเพียงรูปเดียวในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน


ประวัติ หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
( เจ้าคุณพระมงคลวิสุทธิ์ )
หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีวอก พุทธศักราช 2439
(ตรงกับวันที่ 17 กันยายน พุทธศักราช 2439) ที่ บ้านคำบ่อ ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ
จังหวัด สกลนคร
โยมบิดา คือ ขุนพลภักดี ผู้ใหญ่บ้าน คำบ่อ ชื่อเดิม คือ นายพล วงศ์ภาคำ
โยมมารดา ชื่อ นางสอ วงศ์ภาคำ มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน คือ
1. นางสี วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
2. นายเสน วงศ์ภาคำ (บวชเป็นพระภิกษุ - มรณภาพ)
3. นางผม วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
4. นางเกตุ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
5. นายจันทร์เพ็ง วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
6. หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
7. นางมาลีจันทร์ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
8. นางกา วงศ์ภาคำ (ยังมีชีวิตอยู่)


หลวงปู่สุภา เป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัว เมือตอนเป็นเด็กท่านอ้วนท้วนสมบูรณ์ผิวขาว หน้าตาน่ารักน่าชัง ท่านใช้ชีวิตอย่างเช่นเด็กทั่ว ๆ ไปในสมัยนั้น คือ เที่ยววิ่งซุกซนไปตามประสา จะมีโอกาสเรียนเขียนอ่านก็ต่อเมื่อพ่อแม่พาไปฝากวัดให้พระท่านสอน หรือไม่ก็ให้พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ ที่รู้หนังสือสอนให้ วัดจึงนับเป็นสถานที่แห่งเดียวที่เด็กชายจะสามารถไปแสวงหาความรู้เช่นเดียวกัน คนอีสานส่วนใหญ่ในสมัยนั้นคือ มักจะให้ลูกบวชเป็นสามเณร

เมือหลวงปู่สุภาอายุได้ 7 ขวบ วันหนึ่ง ในขณะที่ท่านและเพื่อนๆ ออกไปวิ่งเล่นที่ริมทุ่งชายป่าได้พบ กับพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกลดพักอยู่ใต้ต้นตะแบกใหญ่ เด็กคนอื่นๆ ที่เห็นพระรูปนั้นไม่ได้สนใจ ต่างพากันวิ่งเล่นกันต่อ เว้นไว้แต่เด็กชายสุภา ซึ่งมีจิตใจโน้มมาทางธรรมตั้งแต่อายุยังน้อยจะเห็นได้ จากการที่ชอบเข้าใกล้พระ ชอบไปวัดดังนั้น เมื่อท่านเห็นพระธุดงค์รูปนั้นปักกลดพักอยู่ก็แยกตัว ออกจากเพื่อนๆ ตรงเข้าไปกราบ เมื่อพระภิกษุชราที่นั่งพักอยู่ภายใจกลดเห็นเด็กชายหน้าตาน่ารัก เข้ามากราบอย่างสวยงาม เหมือนกับได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี จึงมองเด็กน้อยคนนั้นด้วยความ เมตตา เพ่งดูลักษณะอยู่ครู่เดียวจึงบอกเด็กน้อยว่า ต่อไปภายหน้าจะได้บวช เมื่อบวชแล้วอย่าลืมไปหา ท่าน พระภิกษุรูปนี้ คือ หลวงปู่สีทัตต์ จำพรรษาอยู่ที่วัดท่าอุเทน จังหวัดนครพนมนั่นเอง แต่ในเวลา นั้น เด็กชายสุภายังไม่ได้นึกอะไร ได้แต่นั่งคุยกับหลวงปู่สีทัตต์ครู่หนึ่ง จึงนมัสการกราบลาไปวิ่งเล่น กับเพื่อนๆ ต่อ



บวชเณร เรียนมูลกัจจายน์


หลังจากได้พบกับหลวงปู่สีทัตต์ที่ชายป่าในครั้งนั้นแล้วเป็นเวลา 2 ปี บิดามารดาของหลวงปู่ได้ ตกลงใจให้หลวงปู่ซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้องบวชเป็นสามเณร ในขณะที่ท่านอายุได้ 9 ขวบ โดยมี พระอาจารย์สวน เจ้าอาวาศวัดแห่งหนึ่งในหมู่บ้านตำบลคำบ่อเป็นพระอุปัชฌาย์

สามเณรสุภาได้ศึกษาพระธรรมวินัยกับพระอาจารย์สวนอยู่เป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้น ในปี พุทธศักราช 2449 ท่านได้เดินทางไปเรียนมูลกัจจายน์ 5 เล่ม ที่วัดไพรใหญ่ จังหวัด อุบลราชธานี ที่นั่นมีอาจารย์สอนมูลกัจจายน์อยู่ 2 ท่าน คือ พระอาจารย์พระมหาหล้า และอีกท่าน เป็นฆราวาส ชื่อ อาจารย์ลุย สามเณรสุภาได้ใช้เวลาศึกษามูลกัจจายน์ 5 เล่มอยู่ที่วัดไพรใหญ่เป็น เวลานานหลายปีกว่าจะจบมูลกัจจายน์ 5 เล่ม เมื่อจบหลักสูตรแล้ว ก็มีความคิดที่จะหาความรู้ เพิ่มเติมจึงได้กราบลาอาจารย์ออกจากวัดไพรใหญ่ โดยที่ขณะนั้นได้ทราบข่าวว่ามีพระอาจารย์รูป หนึ่งเก่งทางวิปัสสนาและทรงวิทยาคมอยู่ที่วัดท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม มีชื่อว่า พระอาจารย์สีทัตต์ สามเณรสุภาจึงนึกขึ้นได้ว่า เคยได้ยินชื่อนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว และจำได้ว่าเคยกราบ ท่านที่ใต้ต้นตะแบกเมื่อตอนเป็นเด็กๆ และท่านยังสั่งไว้ว่าเมื่อบวชแล้วให้ไปหาท่าน ในครั้งนั้น สามเณรสุภาอายุใกล้ครบอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว จึงออกเดินทางไปนมัสการหลวงปู่สีทัตต์ที่ วัดท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนนครพนม ขณะนั้น หลวงปู่สีทัตต์อายุมากแล้ว ท่านเป็นพระป่า ที่มีชื่อเสียงมากทางวิปัสสนากรรมฐาน ขณะที่สามเณรสุภาเดินทางไปพบ หลวงปู่สีทัตต์กำลังก่อสร้าง พระธาตุอยู่องค์หนึ่ง คือ พระธาตุท่าอุเทนในปัจจุบัน หลวงปู่สีทัตต์ได้รับสามเณรสุภาไว้เป็นศิษย์ด้วย ความยินดี นับว่าหลวงปู่สีทัตต์ เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานองค์แรกของหลวงปู่สุภา



ฝึกกรรมฐาน ออกธุดงค์กับหลวงปู่สีทัตต์


สามเณรสุภา ได้เริ่มฝึกกรรมฐานและออกธุดงค์เป็นกิจจะลักษณะกับหลวงปู่สีทัตต์ ซึ่งได้พาสามเณร สุภาออกธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว เพราะวัดพระธาตุท่าอุเทนนั้น อยู่ในเขตจังหวัดนครพนมใกล้กันกับ แม่น้ำโขง สมัยนั้นการเดินทางไปมาสะดวก อีกทั้งยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก มีภูเขา ป่าไม้และถ้ำมากมาย ผู้คนศรัทธาในพระพุทธศาสนาบ้านเมืองสงบร่มเย็นดี ไม่วุ่นวายเหมือนในปัจจุบันพระสงฆ์ทั้งไทยและ ลาวจึงมักจะธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมอยู่กับพระลาวที่เก่งทางวิปัสสนา หลวงปู่สีทัตต์เองก็ได้พาสามเณรสุภา ไปธุดงค์ฝั่งลาวอยู่เสมอ ๆ ที่ชอบไปพักมากที่สุด คือ ถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งสวยงามน่าอยู่ ในถ้ำนั้นมี เขาควายใหญ่วางอยู่คู่หนึ่ง ยาวข้างละประมาณ 8 ศอก มีภูเขาลักษณะโค้งงอนเหมือนกับเขาควาย ชาวบ้านฝั่งลาวจึงเรียกว่า ถ้ำภูเขาควาย ในถ้ำแห่งนี้มีพระสงฆ์ไปปฏิบัติธรรมกันมาก บางครั้งก็อยู่กัน คราวล่ะหลายรูป บางปีก็มีพระสงฆ์ไทยไปจำพรรษาอยู่เช่นกัน เนื่องจากในสมัยนั้น สร้างวัดกันได้ ง่ายกว่าในปัจจุบันไม่ว่าจะฝั่งไทย ฝั่งลาว ส่วนใหญ่วัดตามป่าตามเขาไม่ต้องขอวิสุงคามวาสี ก็ สามารถสร้างเป็นวัดได้



อุปสมบทที่ถ้ำภูเขาควายประเทศลาว


สามเณรสุภาได้ติดตามหลวงปู่สีทัตต์ไปธุดงค์จนอายุครบอุปสมบท ในปีพุทธศักราช 2459 หลวงปู่จึงได้อุปสมบทให้สามเณรสุภาภายในถ้ำภูเขาควายนั้น โดยท่านเองเป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระเถระที่ไปปฏิบัติธรรมอยุ่ที่ถ้ำภูเขาควาย เป็นพระกรรมวาจารย์และอนุสาวนาจารย์ รวมทั้งพระนั่งอันดับสามเณรสุภาได้รับฉายาว่า กนฺตสีโล

ที่ถ้ำภูเขาควายนั้น จะมีพระวิปัสสนาจารย์ที่รอบรู้ในสรรพวิชาไปพักปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก หลวงปู่สีทัตต์ต้องการให้ลูกศิษย์ท่านได้มีโอกาศรู้จักกับพระวิปัสสนาจารย์เหล่านั้น เพื่อจะได้ศึกษา วัตรปฏิบัติของท่าน หลังจากอุปสมบทแล้วก็ปฏิบัติธรรมอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง จากนั้น ท่านก็ติดตาม หลวงปู่สีทัตต์ซึ่งกลับมาจำพรรษาที่วัดพระธาตุท่าอุเทน เพื่อดำเนินการสร้างพระธาตุเมื่อมีเวลาว่าง หลวงปู่จะพาลูกศิษย์รวมทั้งพระสุภาออกธุดงค์อีกเช่นนี้ ไปจนกระทั่งสร้างพระธาตุท่าอุเทนเสร็จ เรียบร้อย



เรียนพระคัมภีร์ท้งห้าและการปฏิบัติวิปัสสนากับพระอาจารย์สีทัตต์


พระภิกษุสุภาได้พำนักอยู่กับหลวงปู่สีทัตต์เป็นเวลานานถึง 8 ปี โดยศึกษาพระปริยัติธรรมทั้ง 5 และปฏิบัติวิปัสสนากรรฐาน ท่านได้ใช้เวลา 4 ปีแรก ศึกษาพระคัมภีร์ปริยัติทั้ง 5 และการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อขึ้นปีที่ 5 หลวงปู่สีทัตต์ได้แนะให้ท่านออกธุดงค์ ในครั้งแรก อนุญาตให้มีเพื่อนติดตามอีก 3 รูป โดยมี 2 รูปเป็นพระอีกรูปเป็นสามเณร เดินธุดงค์ออกจาก ถ้ำภูเขาควายขึ้นไปทางผาต้อหน่อคำ แขวงคำม่วน อำเภอเซโปน จังหวัดเซโปน ประเทศลาว เพื่อทดสอบสมาธิและอุปนิสัยของพระภิกษุสุภา จนกระทั่งเห็นว่าท่านมีสมาธิแน่วแน่ในการปฏิบัติ ธรรมและวิปัสสนากรรมฐานดีแล้ว

หลวงปู่สีทัตต์ตั้งใจอบรมสั่งสอนทั้งทางด้านวิปัสสนากรรมฐานและวิทยาอาคมต่างๆ รวมทั้งสอน วิชา วิธีถอดกายทิพย์ ให้ด้วย จนถึงขั้นจะให้เรียนภาษานกได้รู้เรื่อง แต่ท่านได้พิจารณาดูวัตร ปฏิบัติของท่านแล้ว เห็นว่าชอบออกธุดงค์มากกว่าจึงขอออกธุดงค์ ไม่ได้เรียนภาษานก ก่อนออก ธุดงค์ หลวงปู่สีทัตต์ ได้แนะและอบรมสั่งสอนท่านไปว่า - ไปให้ดีนะลูกนะ เดินให้สม่ำเสมอ อย่าเร็ว อย่าช้า ให้ค่อยไป ให้ค่อยมา โบราณเขาว่าอยากถึงเร็วให้คลาน อยากถึงนานให้วิ่ง -



เดินทางไปพบหลวงปู่ศุข เกสโร( วัดปากคลองมะขามเฒ่า )


เมื่อปีพุทธศักราช 2463 พระภิกษุสุภาได้กราบลาหลวงปู่สีทัตต์เพื่อออกธุดงค์วัตร และออกจากถ้ำ ภูเขาควายไปตามทางที่หลวงปู่สีทัตต์ได้เมตตาแนะนำ คือ ให้วิ่งจากถ้ำภูเขาควายไปท่าเดื่อ และจาก ท่าเดื่อไปหนองคาย ให้ไปสละธุดงค์ที่หนองคาย พร้อมทั้งแนะนำว่า อย่าเดิน เพราะจะช้าเกินไป เรียนอะไรจะไม่จบ และยังชี้แนะอีกว่าจะได้พบอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่งหากแต่ไม่ได้บอกว่าเป็น ผู้ใด

พระภิกษุสุภาออกเดินทางไปตามเส้นทางที่หลวงปู่สีทัตต์แนะนำ พอถึงหนองคาย ก็ออกธุดงค์ และให้เดินทาง ไปทางเหนือจะได้พบกับ พระอาจารย์องค์หนึ่งที่มี ความเชี่ยวชาญด้านกสิณและ วิชา แปดประการ มีอภิญญาสูงมาก พระภิกษุสุภาได้วิชาอาคมจากท่าน และนั่ง รถยนต์เข้ากรุงเทพฯ เพื่อให้ทันเวลาตามที่หลวงปู่สีทัตต์ได้บอกไว้ เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ท่านก็ได้ ถามหาเกจิอาจารย์ที่สามารถสอนทางพุทธศาสตร์ที่ลึกลับ ลึกซึ้ง หรือสอนทางวิปัสสนากรรมฐาน มีคนเล่าลือว่ามี อาจารย์ศุข (หลวงปู่ศุข เกสโร) อยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ท่านจึง ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เดินทาง นั่งรถบ้างจนถึง จังหวัดชัยนาทตามที่หลวงปู่สีทัตต์ได้บอกท่าน ก่อนกราบลาจากถ้ำภูเขาควาย

เมื่อเดินทางไป ที่วัดอู่ทอง พอเห็นกุฏิ หลวงปู่ศุข ก็จะขึ้นไปนมัสการ ก็ได้รับคำทักทาย ว่า...มาถึงแล้วหรือพ่อเณรน้อย กำลังรออยู่ พอดี ล้างเท้าแล้วขึ้นมาเห็นหน้าเห็นตา กันหน่อย

มีแต่ เสียงทักทายที่นอกชาน แต่เมื่อมองขึ้นไปไม่เห็นใคร จึงได้คิดในใจว่า... นี่คือพลังปราณผู้ที่สำเร็จ สามารถออกเสียงให้ดังค่อย หรือไกลใกล้แค่ไหน ก็ได้ หรือว่าท่านมีพลังในการโปร่งแสง (หายตัวได้) (ในช่วงที่หลวงปู่สุภาไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ศุขนั้น กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ?เสด็จเตี่ย? ได้ศึกษาวิชาจาก หลวงปู่ศุข จบและเดินทางเข้ากรุงเทพฯก่อนหน้านี้ประมาณ 4 ปี)

ท่านได้คลานเข้าไปกราบหลวงปู่ศุขซึ่งขณะนั้นท่านทราบแล้วว่าจะมีพระภิกษุมาจากประเทศลาว จึงถามท่านว่ามาจากประเทศลาวใช่หรือไม่ ท่านจึงตอบรับและกราบเรียนว่า มีความประสงค์จะมาขอให้หลวงปู่อนุเคราะห์ให้ท่านได้อยู่ศึกษา เล่าเรียนด้วย หลวงปู่ศุขจึงรับพระภิกษุสุภาไว้เป็นศิษย์ ท่านพำนักอยู่กับหลวงปู่ศุขเป็นเวลา 3 ปี ได้ศึกษาวิชาต่างๆ ที่หลวงปู่ศุขได้ถ่ายทอดให้ หลวงปู่ศุขเองก็ได้ให้ความรัก ความเมตตาต่อลูกศิษย์ ท่านเป้นอย่างมาก ถึงแม้พระภิกษุสุภาได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุมานานเกือบ 4 พรรษาแล้วก็ตาม แต่หลวงปู่ศุขก็ยังคงเรียกท่านว่า เณรน้อย เช่นเดียวกับหลวงปู่สีทัตต์เคยเรียก หลวงปู่ศุขย้ำเสมอว่า พระภิกษุสุภาคือ เณรน้อย ลูกศิษย์สุดท้องของท่านเนื่องจากในขณะที่พระภิกษุสุภาเริ่มเข้าไปกราบ หลวงปู่ศุขนั้น ท่านอายุมากแล้วแต่ยังขยันปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ ทุกวัน พระภิกษุ สุภามีความเคารพนับถือและรักใคร่หลวงปู่ศุขอย่างยิ่งเช่นกัน หลวงปู่ศุข จึงนับเป็นพระอาจารย์องค์ ที่ 2 ของท่านต่อจากหลวงปู่สีทัตต์



เรียนวิชากับหลวงปู่ศุข เกสโร( วัดปากคลองมะขามเฒ่า )


หลวงปู่ศุขเป็นพระที่มีชื่อเสียงมาก มีผู้คนไปกราบนมัสการมิได้ขาด ด้วยความศรัทษารักท่านเป็น เสมือนพระผู้วิเศษเฉกเช่นเทพเจ้า เป็นที่เคารพบูชาของคนทุกชนชั้น ตั้งแต่เจ้านายลงมาถึงไพร่ หลวงปู่ศุขประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ให้พระภิกษุสุภา เมื่อหลวงปู่ศุขท่านนั่งกรรมฐานท่านก็นั่ง กรรมฐานไปด้วย หากติดขัดปัญหาธรรมที่ใด ก็ไปกราบเรียนถาม ท่านก็เมตตาแนะนำให้ทุกครั้ง วิธีการสอนของหลวงปู่ศุข ไม่ได้สอนแบบสำนักที่เปิดสอนกันทั่วไป ส่วนใหญ่ ท่าจะปฏิบัติให้ดูเป็น ตัวอย่าง แล้วให้ลูกศิษย์ ศึกษาทำความเข้าใจเอาเอง

ในเรื่องเกี่ยวกับวิทยาคมนั้น ท่านค่อยๆ ศึกษาดูว่า หลวงปุ่ศุขทำอย่างไร ส่วนใหญ่พวกลูกศิษย์ที่ ศึกษาอยู่กับท่าน ต้องช่วยท่านอยู่แล้ว ในเวลาที่ท่านปลุกเสก ก้ได้ไปคอยสังเกต พระคาถาต่างๆ หลวงปู่ศุขก็สอนให้บ้าง จดจำเองบ้าง และไปขอท่านบ้าง อย่างไรก็ตาม ไม่มีลูกศิษย์คนใด จะปฏิบัติ จนบรรลุได้เหมือนหลวงปู่ศุข บางครั้ง เวลาลงยันต์ทำตะกรุดต้องลงไปทำใต้ท้องน้ำ ไม่มีใครเห็น จะเห็นได้ก็ต่อเมือตอนท่านขึ้นมาจากน้ำแล้ว

พระภิกษุสุภา ได้ปฏิบัติธรรมอย่างขยันหมั่นเพียรตลอดเวลากับหลวงปู่ศุข ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับ ใคร ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือกับพระภิกษุด้วยกันเพราะหลวงปู่ศุขไม่ชอบให้วุ่นวาย ท่านจึงมุ่ง แต่ปฏิบัติไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ พวกลูกศิษย์ก็ไหว้พระพร้อมกับหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านได้ให้ โอวาททบทวนธรรมะ หากมีข้อขัดข้อง ก็ถามท่านได้ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติขั้นตอนใด ท่านจะ แนะนำให้จนกระทั่งได้เวลาพอสมควร ท่านก็กลับไปทำกิจของท่าน ลูกศิษย์อื่นต่างก็แยกย้ายกัน ไปพัก และ ปฏิบัติต่อเอง นอกจากนี้ พระภิกษุสุภา ยังคอยสังเกตเรื่องวิทยาอาคม จากการอ่าน ตำราที่ท่านเที่ยวจดเที่ยวเขียนไว้บ้าง ดูจากกรรมวิธีที่ท่านทำบ้าง เรียนถามท่านบ้าง ท่านก็แนะนำ ให้ตามสมควรใครสนใจมากก็ได้ไปมาก ใครไม่สนใจก็ไม่ได้อะไรไปเลย แต่ส่วนใหญ่ หลวงปู่ศุข จะเน้นเรื่องการรักษาศีลและการปฏิบัติมากกว่า เพราะท่านสอนว่าถ้า ศีลบริสุทธิ์ คุณวิเศษต่างๆ ก็จะมีมาเอง พระภิกษุสุภา กนฺตสีโล ได้ศึกษาธรรมและวิทยาคมต่างๆ กับหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลอง มะขามเฒ่าเป็นเวลากว่า 3 ปี ถือได้ว่าเป็น 3 ปีที่มีค่าที่สุดในชีวิตเพระาได้ความรู้ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะความรู้ในทางธรรมและวิทยาคมต่างๆ ครั้งนั้น มีพระภิกษุไปปฏิบัติธรรมและเรียนวิชาอยู่ กับหลวงปู่ศุขด้วยกันประมาณ 30-40 รูป ซึ่งปัจจุบัน มรณภาพกันปหมดแล้ว เท่าที่ทราบใน เวลานี้ จะมีเพียงหลวงปู่สุภาเพียงรูปเดียวในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน



เมื่อท่านเดินทางไปถึงแห่งหนตำบลใดก็มักจะสร้างประโยชน์สุขให้แก่ชุมชนนั้น ๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็น การก่อสร้างพุทธสถาน หรือสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ท่านก็ยินดีทำให้ด้วยความเต็มใจและ เห็นใจผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากเสมอ พุทธศาสนิกชนที่รับทราบจึงเคารพศรัทธาท่านเป็นอันมาก ไม่เพียงแต่ ในประเทศไทยเท่านั้นที่ท่านเดินทางไป ในแถบทวีปเอเชียท่านก็ธุดงควัตรไปเกือบทุกประเทศ ไม่ว่า จะเป็น ลาว เวียดนาม สิงค์โป มาเลเซีย ฯลฯ ไปถึงจีน อินเดีย และประเทศในทวีปยุโรป

หลวงปู่สุภาธุดงค์มาทางภาคใต้ของประเทศไทย และนิยมชมชอบสถานที่ใน จ.ภูเก็ต คราแรกท่าน มาปักกลดที่เขารัง จากนั้นจึงนั่งเรือข้ามฝั่งไปเกาะสิเหร่ปักกลดแสวงหาความวิเวกจนมาพบพื้นที่ แปลงหนึ่ง เจ้าของที่ชื่อ ?แป๊ะหลี? ซึ่งมีความเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ จึงถวายที่ดินเพื่อ สร้างวัด เป็นวัดแรกบนเกาะ เรียกว่า "วัดเกาะสิเหร่" เป็นการก่อสร้างที่มีความยากลำบากมาก เพราะอยู่บนเกาะ การเดินทางไปมาไม่สะดวก บวกกับชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็น ?ชาวเล? ซึ่ง ไม่ซึมซาบในศาสนาพุทธ ท่านหลวงปู่ต้องใช้ทั้งปัญญา และกุศโลบายมากมายก่อนที่จะทำให้ชาวบ้าน ยอมรับ และซึมซับเอาพุทธศาสนาเข้าไปอยู่ในจิตใจ และปฏิบัติตามได้ สุดท้ายก็สำเร็จลุล่วงไปได้ โดยมีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่เป็นพระประธาน รวมเวลาก่อสร้าง 6 ปีเต็ม ได้ถวายเป็นพระราช กุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรม ราชินีนาถ การนี้ได้ทรงโปรดเกล้าพระราชทานแววพระเนตรมาประดิษฐานไว้ที่พระเนตรขององค์ พระพุทธไสยาสน์ด้วย จากนั้นท่านยังคงแบกกลดออกเดินทางต่อไป ด้วยจิตใจใฝ่สันโดษ จนกระทั่งท่านย้อนกลับมายังดินแดนภูเก็ตอีกครั้ง เมื่อมีอายุได้ 84 ปี สังขาร เริ่มโรยราและอาพาธอยู่บ่อยครั้ง ลูกศิษย์ของท่านจึงอยากให้ท่านปลดกลดละธุดงค์เสียจึงร่วมกันคิด และเห็นพ้องกันว่าควรตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นที่เขารัง และตั้งชื่อตามนามเจ้าของที่ดิน ว่า ?สำนักสงฆ์เทพ ขจรจิต? และก่อสร้างพระพุทธรูปปางประทานพรไว้บนยอดเขามีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดภูเก็ต สามารถมองเห็นได้แต่ไกล บ่อยครั้งเมื่อหลวงปู่อาพาธต้องเข้าทำการรักษาที่ รพ.วชิระ ท่านเห็นว่า พระสงฆ์ที่อาพาธต้องรักษาอยู่รวมกับคนป่วยทั่วไป ทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่พระสงฆ์ เมือท่าน เห็นดังนั้นจึงสร้างตึกสงฆ์อาพาธขึ้นที่ รพ.วชิระ ทำให้การรักษาพยาบาลพระสงฆ์ทำได้ดีขึ้น นับ เป็นผลงานของท่านเมื่ออายุได้ 100 ปีพอดี สำนักสงฆ์เทพขจรจิตแห่งนี้นับเป็นสถานที่ที่ท่าน หลวงปู่พักอาศัยยาวนานที่สุด ด้วยความที่ท่านเป็นพระภิกษุที่ตั้งจิตอุทิศตนอยู่ภายใต้ร่มเงา ในพุทธศาสนาจึงคิดสร้างวัดขึ้นอีก แต่ด้วยเหตุว่าอาณาบริเวณบนยอดเขารังมีเนื้อที่ไม่เพียงพอท่านจึง เสาะหาสถานที่สร้างวัดแห่งใหม่ที่ตำบลฉลอง ดำเนินการเพียงสองปีก็สามารถก่อตั้งเป็นวัดได้ โดยได้ รับการโปรดเกล้าพระราชทานนามจากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถว่า ?วัดสีลสุภาราม? ได้จัดงานบุญสมโภชป้ายชื่อวัดไปเมื่อวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2546 ที่ผ่านมานี้เอง

ปัจจุบันหลวงปู่สุภายังมีชีวิตอยู่ด้วยวัย 109 ปี สุขภาพร่างกายแข็งแรงตามอัตภาพ และ ยังคงรักษาศีลภาวนาปฏิบัติธรรมตามภาระกิจของสงฆ์ดังเช่นปกติ ท่านยังเดินทางกลับไปบ้านเกิด ของท่านที่จังหวัดสกลนครอยู่เนือง ๆ ด้วยท่านสร้างวัดไว้ที่นั่น และที่สำนักสงฆ์เทพขจรจิตที่ท่านเป็น ผู้ริเริ่มก็กำลังก่อสร้างโบสถ์และกำลังจะได้รับการประกาศเป็นวัดในเร็ววันนี้เช่นกัน

ตลอดหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมาท่านจึงมีแต่คำว่า "ให้" และ "สร้าง" ทุกอย่างเพื่อ ประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวพุทธเสมอมา ท่านผ่านร้อน ผ่านหนาว มาหลายยุค หลายสมัย ผ่าน เหตุการณ์ ผ่านสังคมที่เปลี่ยนแปลงมามากมาย เห็นทั้งความดี และความชั่วมาหลายครั้ง หลายหน ผ่านกาลเวลามา 5 รัชสมัย 5 แผ่นดิน ท่านจึงสมควรได้รับคำยกย่องว่า "พระอริยะสงฆ์ห้าแผ่นดิน ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี" ความเพียร ความรู้ ความเมตตากรุณา ที่ท่านมีต่อสาธุชนแสดงผล ปรากฏให้เห็นอันเป็นนิรันดร ท่านคือธรรมจารีที่พุทธมามกะพึงเอาเป็นแบบอย่าง และควรภาคภูมิใจ ที่ท่านส่องแสงสว่างอยู่บนดินแดนอันเปรียบเสมือนไข่มุกแห่งท้องทะเลเบื้องอัสดงคต เปล่งประกายเจิด จรัส สว่างไสวขึ้นกลางใจสาธุชนด้วยชีวิต และ ลมหายใจ ของท่าน...หลวงปู่สุภา กันตะสีโล...
"
ผมคัดลอกมาครับ จาก "พระเครื่องคเณศร"
ต้องขอบคุณ "พระเครื่องคเณศร" ครับ

โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [อา. 05 ก.พ. 2549 - 19:46 น.] #22247 (23/27)
ขออภัย คัดลอกไป งงไป ซ้ำไปซ้ำมา

ผมคัดลอกเก็บไว้ในเครื่องคอม เลยจำลิงค์ของ "พระเครื่องคเณศร" ไม่ได้ มีทั้งภาพและรายละเอียดครบเลยครับ

ปกติไม่ชอบลอกใคร ชอบทำเองครับ

ส่วนข้อมูลหลวงพ่อพรหมของ คุณ เด็กตลาดช่องแค มีประโยชน์กับผมมากครับ


ส่วนคุณaumphorn กับคุณtheman นำพระเครื่องมาร่วมให้ความรู้เพื่อนกันบ้าง

โดยคุณ เด็กตลาดช่องแค (450)  [จ. 06 ก.พ. 2549 - 09:13 น.] #22275 (24/27)
ขอบคุณมากครับคุณsakchai323

รบกวนถามหน่อยครับ กริ่งรุ่นนี้ใส่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 อย่าง ในทั้งสี่แบบเปล่าครับ แล้วที่วัดยังพอมีเหลือเปล่าครับ สนใจเหมือนกันครับ

โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [จ. 06 ก.พ. 2549 - 12:08 น.] #22304 (25/27)
ที่ผมตามข่าว คุณวิมล เสรีสนะเวช และครอบครัว ๓-๔ คน ได้กริ่งทองฝาบาตรจากหลวงปู่ครับ และที่เกิดเหตุตรงนั้นมีคนเสียชีวิตหลายคน แต่ครอบครัวนี้รอดหมดทุกคน

กริ่งรุ่นนี้หมดไปไม่ถึงเดือนครับ เพราะลงข่าวไทนรัฐตามที่นำเสนอ และราคาเช่าหาแพงมากตอนออกใหม่ แพงไป ๒-๓ เท่า แต่ตอนนี้คิดว่าราคานิ่งๆแล้วนะครับ

โดยคุณ พันชาติ (499)  [พ. 08 ก.พ. 2549 - 07:30 น.] #22606 (26/27)
เยี่ยมครับ

โดยคุณ sakchai323 (2.1K)  [พ. 08 ก.พ. 2549 - 09:28 น.] #22619 (27/27)
ขอบคุณ คุณพันชาติ
ที่จริงคุณพันชาติให้ความรู้และประโยชน์และความรู้ในเวปแห่งนี้เป็นอย่างมากเลยครับ

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1