(D)
พระมหาชวน เปรียญ๗ ประโยค ได้เข้ามาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร จนได้เปรียญ๗ ประโยค
ครั้นเมื่อท่านได้ไปทอดกฐินที่วัดหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา ที่ลพบุรี ได้เห็นหลวงพ่อกบ
เผาสมบัติที่มีผู้นำมาถวาย จึงเข้าไปกราบนมัสการเรียนถามเหตุผล เมื่อได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อกบแล้วก็เลื่อมใส จนเมื่อกลับมาถึงวัดบวรนิเวศวิหาร ก็หยุดการเรียนปริยัติหันมาเรียนทาง
ปฏิบัติ ออกธุดงค์และบูชาไฟตามรอยหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา
บรรดาพระในวัดบวรนิเวศวิหารเข้ารองเรียนเรื่อง มหาชวนเผาข้าวของที่มีผู้นำมาถวายและ
บูชาไฟ ว่าอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้วัดบวรฯ ขึ้นได้ อีกประการหนึ่งวัดบวรนิเวสวิหารเป็นวัด
หลวงฝ่ายธรรมยุต การบูชาไฟย่อมขัดกับข้อวัตรปฏิบัติแห่งธรรมยุตินิกาย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสบวรฯขณะนั้น จึงเรียกมหาชวนมาพบ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯทรงให้มหาชวนเลือกปฏิบัติสองทาง คือทางแรกอยู่ในสำนักวัดบวรฯ ต่อไป แต่ต้องยุติการบูชาไฟ และทางที่สอง คือย้ายออกจากวัดบวรฯ ไปจำพรรษาที่อื่น มหาชวนกราบทูลว่าขอเลือกทางที่สอง คือแบบแบกกลดธุดงค์ออกจากวัดบวรฯ
มหาชวนซึ่งต่อมาได้เรียกตัวเองว่า โอภาสี โดยบอกว่ามหาชวนได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ที่อยู่นี่คือ โอภาสี หลังจากนั้นหลวงพ่อโอภาสีได้ไปอาศัยลานดินว่างในสวนส้มที่ตำบลบางมดเป็นที่ปักกลด โดยออกบิณฑบาต และบูชาไฟ มีผู้ที่เคยไปนมัสการท่านที่วัดบวรนิเวศวิหารติดตามมาคอยอุปัฏฐาก ต่อมาเจ้าของสวนได้ถวายที่ดินโดยรอบสถานที่ที่ท่านปักกลดทำ
เป็นสำนักสงฆ์ ซึ่งปัจจุบันได้ยกฐานะเป็นวัดโอภาสีจนทุกวันนี้
ตอนนั้นชาวสวนแบ่งออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งบอกว่าหลวงพ่อโอภาสี ทำให้สวนของ
พวกเขาอยู่ในอันตราย หากกองไฟที่หลวงพ่อโอภาสีเผาสมบัติลุกลาม ไหม้สวนจนวอดวายเป็นขนัดๆ
นายตี๋ อันธพาลรับจ้างเป็นรายแรกที่มาลองดีกับหลวงพ่อโอภาสี นายตี๋เล่าว่า ได้รับค่าจ้าง
จากเจ้าของสวนที่ไม่พอใจหลวงพ่อโอภาสี ว่าจ้างให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้หลวงพ่อโอภาสีถอนกลดออกไปจากพื้นที่เสีย
คืนแรกนายตี๋ได้เก็บก้อนหินขนาดเหมาะมือใส่ถุงปุ๋ยมาแอบซ่อนไว้ไม่ไกลจากกลดที่หลวงพ่อปักไว้ พอได้โอกาสเหมาะ หลวงพ่อโอภาสีอยู่เพียงลำพัง ก็ใช้ก้อนหินขว้างปากลดของหลวงพ่อ ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง ก้อนที่ถูกก็ปรากฏสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นแก่ตาตนคือ พอก้อนหินกระทบหลังคากลด ก็เกิดกระเด้งกลับมาอย่างแรง ทีแรกก็เฉียดตัวนายตี๋ นายตี๋จึงคำรามในใจว่า แน่นักเรอะ! คราวนี้แหละจะเขวี้ยงให้ผ่านประตูกลดที่เปิดไว้ให้ถูกตัวหลวงพ่อเลยทีเดียว
ให้มันรู้กันไปว่าจะแน่สักแค่ไหน
พอผมขว้างก้อนหินเข้าไปตรงจุดที่ผมกะไว้ ก้อนหินก็กระเด็นย้อนกลับมาด้านบน หล่นลงมากลางกบาลของผมพอดี หัวแตกเลือดไหลโกรก จนผมต้องวิ่งไปเข้าโรงพยาบาลให้หมอเย็บถึง ๑๐เข็ม ไม่อาจไปรบกวนหลวงพ่อได้อีก พอแผลหายผมจึงไปกราบเท้าท่าน ไปสารภาพให้ท่านอโหสิให้แก่ผม ท่านยิ้มแล้วพูดกับผมว่า... อาตมาไม่ได้คิดร้ายกับใครไม่พยาบาทใคร กรรมของโยมต่างหากที่มันย้อนกลับไปทำร้ายโยม
ทางด้านนายโสม ผู้ว่าจ้างนายตี๋ให้เอาก้อนหินไปขว้างใส่กลดของหลวงพ่อโอภาสี แต่นายตี๋กลับกลายไปเป็นศิษย์อุปัฏฐากหลวงพ่อแทน จึงเกิดความเคียดแค้นมาก คืนนั้นกินเหล้า
ย้อมใจจนได้ที่แล้วเอาปืนพกเหน็บเอว แอบเข้ามาที่ใกล้ๆ กับกลดของหลวงพ่อโอภาสี
ชักปืนขึ้นมาหันปากกระบอกขึ้นฟ้า แล้วตะโกนร้องว่า ไปให้พ้นโว๊ย ไปเผาของที่อื่น หากยัง
อยู่ที่นี่ชาวบ้านเขาจะเดือดร้อน จากนั้นก็รัวกระสุนเข้าใส่กลดจนหมดลูกโม่ สะใจแล้วก็เดิน
ทางกลับบ้าน
นายโสมเล่าว่า เช้ามือวันรุ่นขึ้น มีตำรวจจากกองปราบมาล้อมบ้านผม เอาหมายค้นมา
ด้วย มาค้นบ้านและยึดปืนที่ผมเอาไปยิงขู่หลวงพ่อโอภาสีเมื่อคืนก่อน โดยระบุว่าจะเอาไปตรวจพิสูจน์ว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับที่ก่อคดีฆ่านายสุชาย เจ้าของสวนย่านเดียวกับผมหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำ
กว่าเรื่องจะเรียบร้อย นายโสมต้องถูกนำตัวไปสอบสวนแล้วสอบสวนอีก เสียเงินเสียทองจ้าง
ทนายมาสู้ความจนหมดเงินไปมากมาย ที่สุดก็ต้องมากราบหลวงโอภาสีเพื่อขอให้ท่านช่วย โดยสารภาผิดว่าเคยเอาปืนมายิงขู่หลวงพ่อตอนกลางคืน หลวงพ่อโอภาสีท่านก็อโหสิและพรมน้ำมนต์ให้ ในที่สุดนายโสมก็พ้นผิดและได้กลายมาเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโอภาสีเช่นกัน
นายกวย ชายชาวจีนซึ่งเช่าที่ดินทำสวนผักในบริเวณนั้น เห็นว่าสำนักสงฆ์ของหลวงพ่อโอภาสีมีข้าวของมากมาย น้ำมันก๊าด น้ำมันมะพร้าว น้ำมันบัว เครื่องใช้ไม้สอยวางไว้มากมาย นายกวยเลยถือวิสาสะมาหยิบเอาไปใช้ ตอนแรกก็แค่เอาขวดมากรอกน้ำมันก๊าดเมื่อ
เห็นว่าหลวงพ่อโอภาสีไม่ว่าอะไรก็เลยหิ้วไปเป็นปี๊บ ต่อมาเมื่ออยากได้อะไรก็มาหยิบฉวยเอาไปตามใจชอบ
ผู้ดูแลสำนักสงฆ์จึงไปกราบเรียนหลวงพ่อโอภาสีเรื่องที่นายกวยมาหยิบข้าวของไปตาม
อำเภอใจ หลวงพ่อโอภาสีจึงพูดกับผู้ดูแลสำนักสงฆ์ว่า ไอ้คนบ้า หากอยากได้อะไรมาขอ มี
หรือจะไม่ให้ ก็ของพวกนี้ เขาเอามาถวาย เผาทิ้งยังทำได้เลย แล้วคนมาขอเอาไปกินไปใช้ ใครจะปฏิเสธ ไอ้คนนี้มันทำบ้าๆ
หลังจากหลวงพ่อโอภาสีพูดว่าไอ้คนบ้า ได้เพียงไม่กี่วัน นายกวยก็กลายเป็นบ้าร้องเล่นเต้นงิ้วไปตามเรื่อง งานการไม่ทำ วิ่งไปมาร้องเพลงแต่เพลงงิ้ว ญาติพาไปปากคลองสานก็รักษาไม่หายกลับเป็นหนักขึ้นอีก จนมีชาวจีนที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อโอภาสีไปบอกว่า อาจ
เป็นเพราะนายกวยไปลักขโมยของจากสำนักสงฆ์เลยเป็นบ้า ในช่วยกันมัดนำตัวไปหาหลวงพ่อโอภาสี พอไปถึงท่านก็พูดว่า
อ๋อ นี่หรือที่ชอบมาขโมยของในสำนักสงฆ์ ขอดีๆ ทำไมจะไม่ให้ นี่คงบ้าๆ บอๆ ใช้กรรมไปพอสมควรแล้วนี่ ทีหลังอยากได้อะไรก็มาขอดีๆ หายได้แล้วไม่ได้บ้าอะไรนี่นา เป็นคนดี ๆ แท้ ๆ จะบ้าได้อย่างไรกัน
สิ้นคำหลวงพ่อ นายกวยก็ได้สติกลับเป็นนายกวยคนเดิม ทำหน้าตาเหรอถามว่าตนมาอยู่ที่สำนักสงฆ์ได้อย่างไร พอรู้เรื่องละเอียดก็เข้ามากราบขอโทษหลวงพ่อได้ให้น้ำมันก๊าด กับน้ำมันบัวแก่นายกวยอย่างละหนึ่งปี๊บ
นายสมานได้เล่าถึงอภินิหารของหลวงพ่อโอภาสีให้ผู้เขียนฟังว่า ได้มานมัสการหลวงพ่อให้ลงธนบัตรขวัญถุงชนิดใบละ ๑๐๐ บาท หลังจากหลวงพ่อลงให้เรียบร้อย จึงเอากลับมาที่ร้านขายอาหาร กะว่าจะเอาไปใส่กรอบ ก็พอดีญาติกัน เดินทางจากสหรัฐฯ กลับมาเยี่ยมบ้าน
ได้คุยกัน ญาตินายสมานบอกว่าจะกลับไปเปิดร้านอหารที่ลอสแองเจลิส อยากได้ธนบัตรขวัญถุงไปไว้ที่ร้านสักใบ นายสมานจึงเอาธนบัตรขวัญถุงที่หลวงพ่อโอภาสีลงให้มอบให้ญาติเอาไปใส่กรอบติดร้านขายอาหาร โดยคิดว่าเดี๋ยวตนไปหาหลวงพ่อให้ทำให้ใหม่ได้
หลังจากนั้นนายสมานก็นำธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาทใบใหม่ไปให้หลวงพ่อโอภาสีลงให้ แต่ใบที่ท่านส่งกลับมาให้ปรากฏว่าเป็นธนบัตรขวัญถุงใบที่ตนได้ให้ญาติเอาไปสหรัฐอเมริกา เป็นใบเดียวกันแน่นอนเพราะตนเองจำหมวดหมายเลขได้แม่นยำ
แล้วหลวงพ่อโอภาสีก็พูดขึ้นว่า น่าจะเก็บไว้ให้ดี เป็นของเฉพาะตัว กลับให้ท่านบินไปสหรัฐฯ ท่านเลยกลับมาอยู่เมืองไทย ใบใหม่ที่เอามาจะลงให้แล้วส่งไปอเมริกาเอง ไม่ต้องเป็นห่วง
หลายเดือนต่อมา มีจดหมายจากญาติที่สหรัฐฯ มาถึงนายสมานใจความในจดหมายเล่าว่าอยู่ดี ๆธนบัตรขวัญถุงที่ให้มาและเราใส่กรอบผนึกแขวนไว้ที่ฝาพนังใกล้กับโต๊ะแคชเชียร์ ก็หายไปเหลือแต่กรอบเปล่า ๆ โดยไม่รู้ว่าหายไปได้อย่างไร แต่แล้ววันหนึ่งเราก็แทบไม่เชื่อสายตา ในกรอบกลับมีธนบัตรขวัญถุงอยู่ภายใน เป็นใบละ๑๐๐บาทแต่หมวดตัวเลขผิดกับของเก่า หายเรามีเวลากลับมาเมืองไทย ช่วยพาเราไปหาอาจาร์ยของนายด้วย
|