ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : ไม่แปลก !! ที่พระศิษย์หลวงปู่มั่น มีอภินิหาร (หลวงปู่ชาเล่า)



(D)
บุญญฤทธิ์ พระโพธิญาณเถร

จากหนังสือ บุญญฤทธิ์ พระโพธิญาณเถร
หลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง
อำพล เจน บรรณาธิการ
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระสงฆ์ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบหลายองค์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน มักมีเรื่อง “นอกเหตุเหนือผล” อันเกิดด้วย “บุญญฤทธิ์” ของแต่ละท่านให้ผู้คนทั่วไปประหลาดใจ และสงสัยอยู่เสมอ
นับตั้งแต่นักบินเห็นหลวงปู่แหวน อยู่บนอากาศ ขณะทำการบินอยู่เหนือคอยแม่ปั๋ง แต่หลวงปู่กลับบอกว่า “ฮาบ่ใจ้ปี๋” จะเหาะได้ยังไง
ชาวจีนคนหนึ่ง ลอบเทน้ำมนต์ของหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม ทิ้งนอกวัด แต่เทไม่ออกถึงกับร้อง ไอ้หยา...หลวงพ่อองค์เล็กก็เก่งเหมียนกัน
ผู้ก่อการร้ายบุกวัดบ้านโนนเจริญ ซึ่งหลวงปู่มั่นพำนักอยู่ตามลำพัง เพื่อหมายจะฆ่าแต่กลับหาท่านไม่พบ ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้หลบซ่อนตัวไปไหน
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ก่อนจะไปกราบหลวงปู่ครูบาพรหม วัดพระพุทธบาทตากผ้า พูดกับลูกศิษย์ว่า ถ้าไปแล้วครูบาพรหมไม่พูดด้วยจะเอาไม้ทิ่มปาก เมื่อไปถึงหลวงปู่ครูบาพรหมก็พูดจ้อ แล้วดักคอว่า ไม่งั้นจะมีคนเอาไม้มาทิ่มปากฉัน ทำเอาหลวงพ่อฤๅษีลิงดำต้องไล่เลียงลูกศิษย์เป็นรายหัวว่ามีใครแอบดอดไปฟ้องหลวงปู่ครูบาพรหมล่วงหน้าหรือเปล่า
เรื่องยิงไม่ออก แทงไม่เข้า รถคว่ำไม่ตาย ดูจะเป็นธรรมดาสำหรับชาวพุทธในประเทศไทยไปเสียแล้ว
บุญฤทธิ์อย่างนั้นถือเป็นโชคหรือบุญวาสนาของชาวพุทธแต่ละคนจะได้ประสบกับตัวเอง
หลวงพ่อชา สุภทฺโท เป็นพระปฏิบัติดีแล้วชอบแล้วอีกองค์หนึ่ง ซึ่งมีบุญญฤทธิ์ที่หลายคนได้ประสบกับตัวเองมามากมาย แต่เรื่องอย่างนี้หลวงพ่อไม่เคยให้ความสนใจ สอนให้คนอย่าสนใจ ให้มุ่งปฏิบัติตนเพื่ออย่างน้อยชีวิตนี้ได้ตกเข้าในกระแสธรรมบ้างก็นับว่าดียิ่ง
แต่ประสบการณ์แปลก ๆ นอกเหตุเหนือผลของหลวงพ่อชาก็มีผู้ประสบและได้บันทึกเอาไว้ไม่น้อย ข้าพเจ้าจะคัดบางเรื่องบางเหตุการณ์ที่ไม่โลดโผนโจนทะยานเกินไปนัก เพื่อดำรงเจตนาของหลวงพ่อชาที่ไม่ปรารถนาให้ใคร ๆ เอาใจใส่เรื่องแบบนี้เกินไป ทั้งเรื่องที่เกิดกับคนอื่นและเกิดขึ้นกับตนเอง


เรื่องที่ 1
เรื่องแรก พระอาจารย์อมร เขมจิตโตมี เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรมชาน์ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้บันทึกจากปากคำของร้อยเอกสมบุญ บุญญรังสรรค์ (ยศขณะพ.ศ.2510)
เรื่องมีอยู่ว่า ผู้กองเพิ่งย้ายมาอยู่อุบลฯ ใหม่ ๆ ก็ถามไถ่ใครต่อใครว่ามีอาจารย์เก่งที่ไหนบ้าง เนื่องจากว่าเป็นผู้สนใจในเรื่องเครื่องรางของขลังอยู่เป็นนิสัย จึงมีผู้บอกให้ไปหาหลวงพ่อชาวัดหนองป่าพง
วันแรกที่ได้พบหลวงพ่อ ก็เพียงสนทนาธรรมทั่วไป จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา แต่ยังไม่กล้าขออะไรจากท่าน
อีกหนึ่งสัปดาห์ก็มาใหม่และกราบขอของดี แต่หลวงพ่อกลับบอกว่าอาตมาไม่มีของดีอะไร ของที่ดียิ่งกว่าของดีทั้งหลายคือธรรมะ ผู้ปฏิบัติตามธรรมะแล้วสามารถคุ้มครองคนเองได้ ถึงยังงั้นแล้ว ผู้กองสมบุญยังคงรบเร้าจะเอาให้ได้
หลวงพ่อจึงบอกว่า อาตมาเคยมีพระเครื่องเหมือนกัน 12 องค์ เหตุที่มีนั้นเกิดจากโยมคนหนึ่งนำกระเป๋าที่ลูกสาวเคยใช้มาถวายเพราะลูกสาวตาย คิดถึงลูกสาวมากทุกครั้งที่เห็นกระเป๋าใบนี้หลวงพ่อไม่รู้จะเอากระเป๋าไปทำอะไรเพราะเป็นของที่ที่พระใช้ไม่ได้ แต่เพื่อรักษาน้ำใจ จึงรับเอาไว้ ตั้งใจจะเอาไว้ใส่เข็มเย็บผ้ากับด้าย เปิดดูแล้วไม่มีอะไรในกระเป๋าจึงเอาไปแขวนไว้ข้างฝา ด้านหัวนอน
หลายวันต่อมา เห็นกระเป๋าแกว่งไปมา เข้าใจว่าลูกหนูคงเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วออกไม่ได้ จึงลุกไปเปิดกระเป๋าดูและเห็นพระเครื่องรูปใบโพธิ์อยู่ในกระเป๋า 12 องค์ ไม่ทราบว่ามาอยู่ในกระเป๋าได้อย่างไร
ต่อมาก็มีผู้ทราบเรื่องและมาทยอยขอไปจนหมดไม่เหลือ ผู้รับพระเครื่องไปบอกว่า เป็นพระเครื่องหลวงพ่อลี วัดอโศการาม ปากน้ำ ผู้ได้ไปก็เก็บเงียบจนดูเหมือนจะหายสาบสูญไปเลย
เมื่อผู้กองไม่สามารถรบเร้าเอาของดีจากหลวงพ่อได้ จึงกราบขอเส้นเกษาที่ปลงแล้วของท่าน ก็เลยได้ไปตามประสงค์ จึงเป็นเหตุให้มีผู้ขอเส้นเกษาของหลวงพ่อตามอย่างกันมาโดยตลอด
ครั้นผู้กองกลับกรมทหารแล้วก็เล่าเรื่องที่ได้พบหลวงพ่อชาและเกิดความเลื่อมใสให้เพื่อนทหารด้วยกันฟัง วันต่อมาจึงนัดแนะกันมาหาหลวงพ่อชาพร้อมกัน 4 คน คือ ผู้กองสมบุญ ร้อยโทกิตติ ร้อยโทวินัย และทหารยศนายพันอีก 2 นาย
ทั้งหมดสนทนากับหลวงพ่อแล้วก็เกิดความเลื่อมใสขอฝากตัวเป็นศิษย์ และขอให้หลวงพ่อจดชื่อพวกตนเอาไว้ หลวงพ่อหยิบกระดาษ ปากกาขึ้นมาแล้วบอกว่า 11คุณกิตติช่วยจดที”
ร้อยโทกิตติถึงกับสะดุ้ง และซักไซ้ไล่เลียงว่าใครบอกชื่อผมกับหลวงพ่อหรือยังไง ทุกคนบอกว่าเปล่า
ต่อมา นายพันตรีสมใจ จันทรศร ได้ทราบกิตติศัพท์ของหลวงพ่อชาจากนายทหารที่เคยไปกราบท่าน จึงไปรับตัวผู้กองสมบุญ พร้อมทั้งภรรยาเพื่อไปกราบหลวงพ่อด้วยกัน
ระหว่างทางก็พูดว่า “ผมตั้งใจจะถามอะไรอย่างหนึ่งกับพระอาจารย์ชา ดูว่าท่านจะตอบได้หรือไม่ แต่ผมไม่บอกว่าอะไร
เมื่อได้พบและสนทนากับหลวงพ่อครู่หนึ่ง หลวงพ่อซึ่งกำลังอธิบายธรรมะให้ทุกคนฟังอยู่ขณะนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า
“อย่างเช่นบางคนมีความสงสัยเรื่อง สวากฺขาโต ภควตาธมฺโม..”
ผู้พันสมใจถึงกับลุกขึ้นทันที แล้วกราบลงตรงหน้าหลวงพ่อชา เกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างเต็มที่
ยังไม่ได้ถามเลยท่านก็ตอบให้เสียแล้ว
เรื่องทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเองเหมือนกันข้าพเจ้าใกล้ชิดกราบไหว้หลวงพ่อชาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆไม่ประสีประสาและได้รับเมตตาจากหลวงพ่อพอสมควร จนถึงวัยเริ่มจะรุ่น
วัยอย่างนั้นย่อมเริ่มจะรู้จักสนใจผู้หญิง และมีอารมณ์เพศเป็นปกติธรรมดา สำหรับข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าออกจะหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์เพศเป็นอันมาก แอบดูหนังสือโป๊ แอบอ่านหนังสือใต้ดินอยู่เป็นกิจวัตร
คงต้องบอกว่าข้าพเจ้าได้รับเมตตาจากหลวงพ่อจริง ๆ จนถึงกับหลวงพ่อเอ่ยปากชวนข้าพเจ้าบวชสองครั้ง ในระยะเวลาห่างกัน 2-3 ปี ขณะยังมีอายุประมาณ 12-15 ขวบ
ครั้งหนึ่งสหายของหลวงพ่อคือพระอาจารย์ฉลวย มาเยี่ยมหลวงพ่อที่วัดหนองป่าพง และจะพำนักอยู่ที่นี่หลายวัน วันแรกหลังฉันภัตตาหารแล้ว หลวงพ่อพาพระอาจารย์ฉลวยเดินเที่ยวชมรอบ ๆ วัด โดยมีข้าพเจ้าเพียงคนเดียวร่วมทางไปด้วย
ระหว่างเดินผ่านปากทางเข้าเขตที่พักของแม่ชีด้านหลังวัด หลวงพ่อก็หยุดสนทนากับพระอาจารย์ฉลวย แล้วหันมาหาข้าพเจ้า พลางชี้ไปที่ป้ายคำกลอนบนต้นไม้
“อ่านดัง ๆ ซิ” หลวงพ่อสั่ง
“การมีภรรยาเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การไม่มีภรรยาเป็นลาภอันประเสริฐ การมีสามีเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การไม่มีสามีเป็นลาภอันประเสริฐ”
ข้าพเจ้าอ่านไปรู้สึกเหมือนถูกจับความผิดได้ไปด้วย และหลวงพ่อก็ยืนฟังเงียบ ๆ เสร็จแล้วหัวเราะเบา ๆ
หลังจากนั้นเมือข้าพเจ้าหยิบหนังสือโป๊เมื่อไหร่ มักจะมีความรู้สึกว่า มีสายตาของหลวงพ่อเฝ้ามองอยู่เสมอ


เรื่องที่ 2
บิดาข้าพเจ้าก็เป็นผู้ที่หลวงพ่อให้ความเมตตากรุณาอย่างมากเหมือนกัน ครั้งที่บิดาของข้าพเจ้าป่วยหนัก เข้าโรงพยาบาลด้วยโรคถุงน้ำดีอักเสบ หลวงพ่อทราบข่าวก็ส่งคนวัดให้นำเอาเส้นเกษาซึ่งห่อด้วยตะกั่วมองดูเหมือนหัวลูกปืนมาให้บิดาข้าพเจ้าในโรงพยาบาล
ต่อมาหลวงพ่อก็เดินทางมาเยี่ยมไข้ด้วยตัวเอง ถามไถ่อาการตามธรรมดาไป ในขณะที่บิดาข้าพเจ้ามีปิติยินดีจนตาแดง ๆ เกือบจะร้องไห้ ก่อนกลับหลวงพ่อบอกกับบิดาข้าพเจ้าว่า
“หายแล้วไปอยู่วัดกับอาตมานะ”
บิดาข้าพเจ้าก็รับปาก
ภายหลังอีกไม่กี่วัน หมอก็ให้บิดาข้าพเจ้ากลับบ้านได้ เนื่องจากอาการดีขึ้นจนปลอดภัยแล้ว มารดาและพี่สาวก็เตือนให้บิดาข้าพเจ้าไปอยู่วัดกับหลวงพ่อเสียเถิด แต่บิดาข้าพเจ้าห่วงกิจการค้าและห่วงลูก ๆ ไม่ยอมไปอยู่วัด
ไม่นานหลังจากนั้น บิดาข้าพเจ้าก็กลับเข้าโรงพยาบาลอีกและถึงแก่ความตายในครั้งนี้เอง


เรื่องที่ 3
โดยทั่วไปแล้ว ไม่ใคร่มีผู้ทราบว่าหลวงพ่อเคยแจกของดีแก่ลูกศิษย์ลูกหาทั่วไปอยู่บ้าง ของดีเหล่านั้นมีไม่มาก และไม่แพร่หลายไปยังจังหวัดอื่น ๆ คงมีแต่เพียงชาวจังหวัดอุบลฯ เท่านั้นที่ได้ไว้เป็นส่วนใหญ่
ภายหลังปี 2520 หลวงพ่อก็เลิกแจก และไม่ให้ใครสนใจเรื่องนี้อีก ของดีเหล่านั้นมีอะไรบ้างข้าพเจ้าไม่อาจบอกได้ เนื่องจากว่าทางวัดไม่อยากให้ข้าพเจ้านำเรื่องนี้มาเผยแพร่ เพราะจะผิดความประสงค์ของหลวงพ่อ และจะเป็นการฝืนความปรารถนาของหลวงพ่อด้วย
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้รับทุกข์เวทนาเพราะปวดฟันจนทนไม่ไหว ถึงกับน้ำตาไหลไม่รู้ตัว ยาแก้ปวดก็ไม่มี ยังเป็นเด็กวัดอนงคาราม วงเวียนเล็ก ไม่มีเงิน ต้องทนทุกข์อยู่จนค่อนคืนอย่างทรมาน
ข้าพเจ้าระลึกได้ท่ามกลางความเจ็บปวด จึงลุกขึ้นไปรินน้ำมาแก้วหนึ่ง ตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อขอยาแก้ปวด เพราะทนไม่ไหวจริง ๆ แล้วเอาของดีของหลวงพ่อจุ่มลงในแก้วน้ำ เสร็จแล้วยกขึ้นดื่ม
ขอสาบานว่าข้าพเจ้ารู้สึกในทันทีที่น้ำล่วงพ้นลำคอเข้าไปว่าตรงจุดที่ปวดแทบตายในปากนั้นตอดตุบ ๆ ตามจังหวะเต้นของหัวใจ. ความเจ็บป่วยก็วูบหาย วูบหาย ตามจังหวะนั้นอยู่เพียงเสี้ยววินาทีก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที


เรื่องที่ 4
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับน้ำมนต์ คล้ายคลึงกับเรื่องของหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม
ชาวบ้านคนหนึ่งไปขอให้หลวงพ่อทำน้ำมนต์ หลวงพ่อให้ตักน้ำมา 1 ขัน เอามาวางตรงหน้าไม่ได้ทำอะไรกับน้ำมนต์เลย หลวงพ่อคุยกับแขกคนนั้นคนนี้เรื่อยไป
ชายชาวบ้านเห็นหลวงพ่อไม่ทำน้ำมนต์ให้ก็เตือนว่า “น้ำมนต์ของผมล่ะครับ”
“เสร็จแล้วเอาไปกรอกใส่ขวดเถอะ” หลวงพ่อตอบ
ชายคนนั้นก็กรอกน้ำในขันที่หลวงพ่อไม่ได้แตะต้องใส่ขวดอย่างหงุดหงิดไม่พอใจ
ครั้นออกจากวันก็เททิ้งด้วยโทสะ
ปรากฏว่าเทไม่ออก
ทุกคนซึ่งนั่งคุยกับหลวงพ่อก็พากันแปลกใจที่ได้เห็นชายคนนั้นกลับเข้ามาอีก แล้วละล่ำละลักขอขมาโทษหลวงพ่อปากคอสั่น
ยังมีอีกมากมายหลายเรื่อง หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นกับหลายคน ซึ่งโลดโผนตื่นเต้นกว่านี้ แต่ข้าพเจ้าไม่สะดวกใจจะนำมาเล่าให้ฟัง คงต้องเก็บเอาไว้ผู้คนเดียวต่อไป เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่ประสบเรื่องนอกเหตุเหนือผลจากของดีของหลวงพ่อและค่อยปล่อยให้อากาศธาตุเป็นผู้บันทึกเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้อย่างเงียบ ๆ
บุญฤทธิ์และอิทธิปาฏิหาริย์นี้ หลวงพ่อชาเคยกล่าวว่ามันเป็นของเล่นของเด็ก ๆ ถ้าไปเล่นกับมันมากเกินไปจะหลง
พระสุปฏิปันโนทุกองค์มักจะใช้บุญฤทธิ์เฉพาะเวลาปรารถนาจะโน้มน้าวผู้คนเข้าวัดเท่านั้น เมื่อเข้ามาแล้วก็จะเทศนาดึงให้ออกจากสิ่งเหล่านั้น
อย่างเช่นเรื่องใบ้หวย ทุกคนทราบว่าหลวงพ่อไม่เคยทำแต่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเคยบอกใครคนหนึ่งไปจนถูกและได้เงินก้อนใหญ่มากที่สุดในชีวิต ใครคนนั้นก็พยายามเข้าวัดเพื่อหวังตัวเลขจากหลวงพ่ออีกสักครั้ง หลวงพ่อก็ค่อย ๆ เทศนาดึงให้ออกจากการเล่นหวย ในที่สุดใครคนนั้นบัดนี้เป็นพุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดตลอดมา และไม่แตะต้องการพนันอีกเลย
เรื่องยิงไม่ออก แทงไม่เข้า รถคว่ำไม่ตาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับบุญฤทธิ์ของหลวงพ่อเล่นกัน


หลวงพ่อกับชินบัญชรคาถา
เฮียคุง (คุณชัยสิทธิ เตชะศิริธนะกุล) เป็นผู้ค้นคว้าศึกษาเรื่องราวของครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในอดีตมามากและมีความประทับใจในเรื่องราวของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์กับหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า เป็นพิเศษ
เมื่อรู้จักหลวงพ่อชาครั้งแรก เกิดศรัทธา ถวายตัวเป็นศิษย์โดยกราบเรียนว่า ตนเองอยากจะหาครูบาอาจารย์ไว้สักองค์เหมือนกรมหลวงชุมพรฯ มีหลวงปู่ศุขเป็นอาจารย์ ตั้งใจว่าจะขอเอาหลวงพ่อเป็นอาจารย์แบบนั้น
หลวงพ่อตอบว่าไม่ทันเชื่อหรอก อีกหน่อยพอได้ยินว่าหลวงพ่อนั้นดัง หลวงปู่โน้นดี ก็จะแจ้นไปหาเหมือนเก่า
เฮียคุงยืนยันว่า รับรอง ไม่เป็นแบบนั้น
หลวงพ่อหัวเราะ ไม่ว่าอะไร
ภายหลัง เฮียคุงซึ่งได้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ได้รับใช้ปรนนิบัติเสมือนเป็นศิษย์เป็นอาจารย์อย่างแท้จริงโดยไปมาหาสู่วัดหนองป่าพง ปานว่าเป็นบ้านที่สอง วันหนึ่งมีเวลาว่างก็นั่งสวดคาถาชินบัญชรอยู่คนเดียว หลวงพ่อได้ยินจึงถามว่า คุงสวดคาถาอะไร เฮียคุงกราบเรียนว่าคาถาชินบัญชรครับ หลวงพ่อจึงบอกให้เฮียคุงสวดดัง ๆ ให้ท่านฟังด้วย เฮียคุงก็สวดดัง ๆถวายท่านตามบัญชา
เมื่อสวดจบแล้วหลวงพ่อกล่าวว่า คาถานี้ดีมาก พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย
ต่อมาหลวงพ่อนำพระลูกวัดไปวัดถ้ำแสงเพชร อำเภออำนาจเจริญ โดยมีโยมนำรถผู้มารับท่านและพระอีกประมาณ 5 รูป จากวัดหนองป่าพง ซึ่งเฮียคุงก็ได้ร่วมเดินทางไปด้วยหลวงพ่อนั่งข้างหน้าข้างคนขับ พระลูกวัดนั่งกลางรถ ส่วนเฮียคุงนั่งหลังสุดคนเดียว
พอรถวิ่งไปได้สักระยะหนึ่ง เฮียคุงเกิดกลัวอุบัติเหตุ จึงเอนหลังลงสวดพระคาถาชินบัญชรอยู่ในใจ หมายเอาพระคาถานั้นเป็นที่พึ่งกันภัย
หลวงพ่อซึ่งนั่งอยู่หน้าสุดก็หัวเราะและกล่าวว่า
“คุงมันกลัว สวดชินบัญชรใหญ่”


ช่วยเด็กตกน้ำ
คุณกมล สินธุเชาน์ เล่าว่า ครั้งหนึ่งหลวงพ่อสั่งให้เฮียเหมาออกไปที่หน้าวัด ให้ไปบอกรถคันหนึ่งจอดอยู่หน้าวัดหนองป่าพงว่า อย่าไปไหน หลวงพ่อจะออกไปทำธุระ จะต้องใช้รถ คุณกมลนึกแย้งในใจว่าหน้าวัดจะมีรถที่ไหน วัดหนองป่าพงสมัยนั้นเรื่องจะมีรถผ่านไปมายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร แต่ขัดคำสั่งไม่ได้ต้องออกไปดู พบว่ามีรถยนต์จอดอยู่คันหนึ่งจริง ๆ จึงบอกกล่าวแก่เจ้าของรถตามบัญชาหลวงพ่อ
เมื่อกลับมารายงานเรื่องรถถวายหลวงพ่อแล้ว ท่านลุกขึ้นครองจีวรและกล่าวว่า
“ไปวัดเขื่อนจักคราว” (จักคราว หมายถึง สักนิดหน่อยสักเดี๋ยว สักครู่)
วัดเขื่อนคือวัดวนโพธิญาณ สาขาของวัดหนองป่าพง ตั้งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนสิริธร อ.พิบูลมังสาหาร
“ไปทำไมหลวงพ่อ” เฮียเหมาสงสัย
“ไปช่วยเด็กตกน้ำ” หลวงพ่อตอบ
ระยะทางจากวัดหนองป่าพงไปถึงวัดเขื่อนราว ๆ 80 กว่ากิโลเมตร สมัยนั้นใช้เวลาวิ่งเกือบสองชั่วโมงจึงถึง
เมื่อไปถึงก็เป็นเวลาพอดีกับครอบครัวของนายอำเภอปรีชา ณ ศีลวันต์ กำลังเล่นน้ำที่ริมฝั่งวัดเขื่อน ขณะนั้นเกิดอุบัติเหตุขึ้นทันที ลูกของท่านนายอำเภอจมหายลงไปในน้ำ ภรรยาของท่านนายอำเภอก็โผตามไปช่วย เลยมีอันจมหายไปด้วยกันทั้งคู่
หลวงพ่อซึ่งไปถึงวัดพอดีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ท่านไม่ได้เดินไปที่ริมฝั่งเกิดเหตุแต่อย่างใด ท่านเพียงเดินขึ้นไปศาลาวัดเหมือนมีธุระกับทางวัดและนั่งลงพักที่นั่น
ครู่เดียวก็ได้ทราบข่าวอุบัติเหตุแม่ลูกจมน้ำจะตาย แต่กลับปลอดภัยดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ
รายละเอียดการรอดตายไม่ทราบชัดว่ารอดขึ้นมาได้อย่างไร
คงทราบแต่ว่าเมื่อแม่ลูกปลอดภัยแล้ว หลวงพ่อก็กลับวัดหนองป่าพงทันที
เป็นการเดินทางไปถึงแล้วนั่งพักแป๊บเดียวแล้วก็กลับดังคำที่ท่านบอกว่าจะไปช่วยเด็กตกน้ำ


กระสุนฝังกะโหลก
คุณอ้อน (ไม่ทราบชื่อจริง) ลูกเจ๊จู เมืองอุบลฯ ขณะยังเป็นวัยรุ่นไปเที่ยวแถวหน้าโรงหนังเฉลิมวัฒนา (เก่า) กับน้องชาย ผู้เป็นน้องมีเรื่องวิวาทกับจิ๊กโก๋แถวนั้น ถูกไล่ตี คุณอ้วนเป็นห่วงน้องวิ่งมาขวางจึงถูกยิงด้วยลูกซองสั้นเผาขนเข้าข้างหลัง
กระสุนไม่เข้า เพียงติดอยู่บนผิวหนังชั้นนอก แพทย์แคะออกให้จนหมด แต่มีกระสุนเม็ดหนึ่งฝังอยู่กับกะโหลกท้ายทอย แพทย์เห็นว่าไม่น่าแคะออกจึงคงเอาไว้อย่างนั้น
คุณอ้วนได้ไปกราบหลวงพ่อชาในภายหลัง เรียนท่านว่า ถูกยิง ไม่เป็นไร คงมีแต่กระสุนฝังกะโหลกอยู่เม็ดหนึ่งหมอไม่แคะออก
หลวงพ่อบอกว่า
“เอาไว้อย่างนั้นแหละ ทีนี้กัน (ปืน) ดี”
(คุณอ้วนแขวนพระเครื่องพิมพ์คล้ายสมเด็จแต่เป็นรูปเหมือนหลวงพ่อ เนื้อดอกคะยอมอยู่องค์เดียวในขณะถูกยิง)


หลวงพ่อไม่ยอมให้
คุณบรรจง เจนคูณทองคำใบ เล่าว่าเพื่อนของเขาเป็นตำรวจตระเวนชายแดน อยากจะได้พระเครื่องของหลวงพ่อชา เทียวมาเวียนขอพระของหลวงพ่อจากคุณบรรจง จนเขาต้องพาไปกราบหลวงพ่อที่วัดหนองป่าพง เพื่อให้ไปขอกับหลวงพ่อด้วยตัวเอง
เมื่อกราบขอหลวงพ่อ ปรากฏว่าท่านไม่ให้ ท่านกลับหยิบพระที่คนเขาเรียกว่าพระงั่ง ซึ่งไม่ใช่พระของท่าน (คงมีใครมาถวายไว้) ให้กับเพื่อนคุณบรรจง และบอกว่า
“ของเจ้ามันต้องอันนี้”
เพื่อนคุณบรรจงเสียใจมาก ไม่ได้พระของหลวงพ่อก็กลับมาอ้อนวอนขอจากคุณบรรจง จนกระทั่งใจอ่อน มอบให้ไป 1 องค์ (ปลดจากคอ)
ภายหลังเพื่อนคุณบรรจงกลับมารายงานว่า ได้แขวนพระหลวงพ่อชาไปรบกับคอมมิวนิสต์แถบชายแดนอุบลฯ ตัวเขาหลบอยู่ในเบิมกับเพื่อน 2-3 คน มีลูกอาร์พีจี ยิงมาตกกลางเบิมลูกหนึ่ง ระเบิดตูม ทุกคนตายหมด ตัวเพื่อนคุณบรรจงดำปี๋ไปทั้งตัวเพราะเขม่าดินปืน ไม่เป็นอะไรแม้แต่รอยแมวข่วนแต่ว่าพระเครื่องของหลวงพ่อที่แขวนในคอ ละเอียดป่นเป็นผงจึงอ้อนวอนขอบคุณพระบรรจงอีกแต่คราวนี้คุณบรรจงไม่ให้


หลวงพ่อโกย
คุณบุญส่ง อุกาพรหม เล่าว่า เรื่องนี้ได้ยินมาจากปากหลวงพ่อ
วันหนึ่งหลวงพ่ออารมณ์ดีเล่าว่า มีจ่าทหารคนหนึ่งได้พระเครื่องรุ่นสุดท้าย พิมพ์ห้าเหลี่ยมเล็ก ปี 2520 ไปเที่ยวงานวัด เกิดมีเรื่องยิงกันโดยที่จ่าทหารนายนี้ไม่เกี่ยวข้องด้วย แต่ว่ามีลูกปืนพุ่งเข้าใส่ เฉียดบั้นเอวจนเสื้อที่รัดรูปขาดไหม้แต่ไม่ถูกผิวหนัง หลวงพ่อจึงถามว่า แล้วเจ้าทำยังไงล่ะ
“ผมก็วิ่งหนี” จ่าทหารบอก
"นั่นแหละ หลวงพ่อโกย" หลวงพ่อว่า


เอาแค่สอบได้
อำพล เจน สมัยเด็กเรียนหนังสือดี ได้เซอร์ติฟิเกตถึง 2 ใบจากโรงเรียนอัสสัมชัญ อุบลฯ พอเข้าโรงเรียนเบญจมมหาราช ปีแรกได้อยู่ห้องคิงส์ ปีที่ 2 เริ่มเกเรก็ร่วงมาห้องบ๊วย ปีที่ 3 ทำท่าจะเรียนไม่รอด
ทุกครั้งที่สอบ อำพล เจน จะไปกราบขอพรหลวงพ่อขอให้สอบได้ที่ดี ๆ ลำดับต้น ๆ ก็ได้ดีมาตลอดตั้งแต่อยู่อัสสัมชัญ เพราะว่าเรียนค่อนข้างดี ครั้นสมัยมาอยู่โรงเรียนเบญฯก็แย่ลงไม่กล้าไปขอพร พอถึงปีสุดท้ายใกล้จะสอบไล่ ม.ศ.3 กลัวตก ก็ไปกราบขอพรหลวงพ่อเหมือนทุกครั้ง คือขอให้สอบได้ที่ดี ๆ
คราวนี้หลวงพ่อบอกว่า
“เอาแค่สอบได้นะ”
ผลสอบออกมาเกือบตก คาบเส้นยาแดงผ่าแปด


ห้ามเลี่ยมทอง
คุณบุญส่ง อุกาพรหม เล่าว่าในโอกาสปีใหม่ปีหนึ่ง คนไปกราบนมัสการหลวงพ่อมากมาย หลวงพ่อแจกพระเกษ คุณบุญส่งก็คลานเข้าไปขอรับบ้าง รับแล้วก็มานั่งอยู่ใกล้ ๆ และได้ยินหลวงพ่อบอกว่า
“เอาไปแล้วก็อย่าไปเลี่ยมทอง แค่พลาสติคก็พอ”
“ทำไมล่ะครับ” มีคนถามท่าน
“เลี่ยมทองแล้วพระจะไม่อยู่ด้วย” หลวงพ่อตอบ “คน
มันชอบเอาทองไปขาย พระก็เลยชอบติดไปกับทอง ไม่ต้องเลี่ยมทองแหละดี พระจะได้อยู่กับตัว”


ข้อห้ามเวลาแขวนพระหลวงพ่อ
มีผู้ได้รับพระเครื่องจากหลวงพ่อแล้วถามท่านว่า พระ
ของหลวงพ่อถืออะไรไหม
“ไม่ถือ” หลวงพ่อว่า “แต่ถ้านอนกับผู้หญิงก็ถืออยู่”
เรื่องนี้ผมได้กราบเรียนหลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญว่าพระของหลวงพ่อชาก็เหมือนของหลวงปู่คำพันธ์แหละครับ คือไม่ถืออะไรเลย แต่หลวงพ่อชาว่าถ้าเป็นผู้หญิงก็ถืออยู่
หลวงปู่คำพันธ์ยิ้ม ๆ แล้วบอกว่า
“ถ้านอนด้วยกันเฉย ๆ ไม่เป็นไร แต่นอนเป็นงานเป็นการ ก็ถอดพระออกเสียหน่อย ละอายพระ”


ให้กลืนลงคอ
มีผู้เล่าให้ผมฟังว่า มีทหารคนหนึ่งได้รับพระเกษจาก
หลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อสั่งว่า ถ้าถูกข้าศึกจับได้ให้กลืนพระเกษลงใส่ท้องทันที
“ทำไมครับ” ทหารนายนั้นสงสัย
“เดี๋ยวข้าศึกก็เอาพระเจ้าไปเท่านั้น” หลวงพ่อตอบ


สู้ของเจ้าไม่ได้
คุณกมล สินธุเชาวน์ (เหมา) เป็นหัวแรงในการสร้างเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อ คือเหรียญที่ระลึกงานศพ แม่ชีพิมพ์ ช่วงโชติ โยมแม่ของหลวงพ่อ เหรียญทั้งหมดหลวงพ่อให้เก็บไว้ในกุฏิของท่าน ยังไม่แจก เก็บนานถึง 4 ปี (รายละเอียดมีอยู่ในภาควัตถุมงคล) วันหนึ่งหลวงพ่อไปร่วมงานพุทธาภิเษกที่วัดแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เพราะว่ารับนิมนต์ไปสวดมนต์เย็น ที่นั่น
ความจริงทางวัดแห่งนั้นมากราบนิมนต์ท่านไปนั่งปรกปลุกเสก แต่ท่านไม่รับ จึงเปลี่ยนนิมนต์ไปสวดมนต์เย็นแทน ท่านจึงรับ พอไปถึงวัดปรากฏว่าเขาจัดอาสนะให้ท่านนั่งปรกปลุกเสกท่านก็ไม่ยอม และเอะอะว่านิมนต์ท่านมาสวดมนต์เย็นท่านก็จะสวดให้ไม่ใช่ให้มานั่งปรกนี่
ตกลงท่านก็ได้ให้พระฝรั่งรูปหนึ่งขึ้นไปนั่งบนอาสนะนั่งปรกแทน ส่วนท่านนั่งสวดมนต์เย็น
ขากลับท่านให้รถพาไปทางบ้านบุ่งหวาย จะกลับวัดทางด้านนั้น ระหว่างอยู่ในรถท่านพูดกับกมลว่า
“เฮาอยากมาดูว่าเขาปลุกเสกพระอย่างไรหรอกถึงรับนิมนต์ เห็นแล้วก็จังซั่นล่ะนะ สู้ของเจ้าไม่ได้เนาะ อยูกับเฮามากี่ปีแล้ว 3 ปีแม่นบ่ เฮาสวดให้ทุกวันเลย”
หลังจากนั้นอีก 1 ปี ท่านจึงนำเหรียญออกแจก รวมเวลาที่เหรียญรุ่นนี้อยู่กับท่าน 4 ปีเต็ม ๆ
ขณะที่ท่านพูดนั้นเป็นปี 2520 เหรียญเก็บอยู่กับท่านได้ 3 ปี


ชาตรี โสภณพานิช มาขอเหรียญหลวงพ่อชา
คุณกมล สินธุเชาวน์ เล่าว่า วันหนึ่งมีรถเบ็นซ์มาจอดหน้าบ้าน คนที่มากับรถเบ็นช์คือ คุณชาตรี โสภณพานิช มาพบคุณกมลเพื่อจะขอบูชาเหรียญหลวงพ่อชา คุณกมลจึงมอบให้เป็นที่ระลึกไปคู่หนึ่ง คือเหรียญเงินและทองแดงอย่างละเหรียญ


ผจญมารขอหวย
ลุงเกลี้ยง อุกาพรหม เป็นโยมใกล้ชิดหลวงพ่อที่สุดคนหนึ่ง ออกธุดงค์ร่วมกับหลวงพ่อมากที่สุด ถึงกับมีสัญญากันว่า ถ้าหลวงพ่อมารับเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะกำลังทำอะไร แต่งตัวยังไง จะไปกับหลวงพ่อทันที
สมัยหนึ่งหลวงพ่อยังหนุ่มแน่น ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ภูกอย บ้านป่าตาว (ปัจจุบันขึ้นกับจังหวัดมุกดาหาร) มีชาวบ้านมาเฝ้าขอหวย ถึงกับขนข้าวปลาอาหารมาหุงหาอยู่กินหน้ากุฏิหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อไม่ยอมออกมาภายนอกเป็นเวลาถึง 3 วัน 3 คืน หนักเบาก็ไม่ออกมา ฉัน บิณฑบาตก็ไม่ออกมา ท่านเก็บตัวเงียบไม่ยอมให้พวกขอหวยได้เห็นหน้า
ลุงเกลี้ยงเล่าว่าตอนนั้นหลวงพ่ออาพาธหนักด้วย ยอมทนทุกข์เวทนาอยู่ในกุฏิไม่ออกมา เพราะว่าพวกขอหวยมาเฝ้า ท่านถึงกับเอาใบสุทธิมาเผาทิ้ง เพราะคิดว่าจะต้องตายแน่นอน เมื่อตายแล้วไม่ต้องการให้คนอยู่ข้างหลังเดือดร้อนกับท่าน ไม่ต้องรู้จักว่าท่านเป็นใครมาจากไหน มีญาติพี่น้องเป็นใคร
ตายแล้วหมดเรื่องตรงนี้ ว่างั้นเถิด
ลุงเกลี้ยงเล่าว่า หลวงพ่อได้กล่าวว่า “เออ พอจะตายเข้าจริง ๆ มันสบายแท้ ๆ”
แต่ท่านก็ไม่ตาย
3 วัน 3 คืน ของพวกเฝ้าเอาหวยก็หมดเสบียงอาหาร พวกนั้นจึงลงจากภูกอยกลับไปบ้านเพื่อเตรียมเสบียงอาหาร มาเฝ้ากันใหม่ จังหวะที่เขากลับไปบ้านหาเสบียง หลวงพ่อก็เผ่นออกจากุฏิหนีพ้นไปได้


หลวงพ่อให้หวย
ตอนหนึ่งที่ป่าตาวอีกเหมือนกัน บ้านโยมในป่าตาวนิมนต์ท่านไปทำบุญบ้าน ลุงเกลี้ยงได้ติดตามไปด้วย เสร็จงานบุญแล้วหลวงพ่อก็กลับอุบลฯ พวกคลั่งหวยก็ตามมาส่ง จะหาโอกาสเอาหวยให้ได้
ท่านออกจากป่าตาวเดินตัดป่าไปบ้านตาดไฮ จนเลยตาดไฮจะเข้าหนองห้าง ลุงเกลี้ยงก็รำคาญเพราะเห็นว่าตามกันไม่ลดละจริง ๆ จึงว่า จะเอาเลขไปทำไมกัน พวกเขาก็ว่า จะเอาไปแทงหวย
“แทงทำไม” ลุงเกลี้ยงซัก
“จะได้เงินมาซื้ออะไรกิน” พวกเขาตอบ
“นี่เขาให้เงินฉันมา 45 บาทไว้เป็นค่ารถกลับอุบลฯ เอาเงินนี่ไปซะ ไม่ต้องเอาหรอกเลข”
“ไม่เอา จะเอาเลข”
ลุงเกลี้ยงยืนยันว่าเงิน 45 บาทนี้เอาไปเลย ไม่ต้องมา
เซ้าซี้เอาของไม่แน่นอน เงินนี่เห็น ๆ ว่าแน่นอนแล้ว ก็ให้แล้วยังไม่เอาอีกหรือ”
พวกเขาก็ไม่เอา
ลุงเกลี้ยงไม่ว่าอะไร พวกนั้นก็ยังคงเดินตามไม่ลดละจนกระทั่งถึงต้นสมอกลางนาต้นหนึ่ง หลวงพ่อก็หยุดพักและพูดว่า
“สมัยก่อนธุดงค์ผ่านมาทางนี้ ต้นเสมอต้นนี้แหละ มีเด็กเลี้ยงควายเก็บลูกเสมอมาถวาย 4-5 ลูก หว๊านหวาน เก็บเมล็ดมันเอาปลูกกินที่บ้านเด้อ”
เมื่อถึงหนองข้างแล้ว พวกคลั่งหวยเห็นว่าไม่ได้หวยแน่แล้วก็กลับ ส่วนหลวงพ่อและลุงเกลี้ยงก็ขึ้นรถประจำทางกลับถึงเมืองอุบลฯ
ขณะที่มาถึงหน้าวัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ ยังไม่ถึงวัดหนองป่าพง ได้ยินหวยออกพอดี
45
หลวงพ่อหัวเราะ หันมาพูดกับลุงเกลี้ยงว่า
“พวกนั้นคงคิดว่าเราให้หวยเนาะ”


รดน้ำมนต์ไล่ผี
ผมจำไม่ได้ว่าเรื่องนี้คุณกมลหรือคุณชัยสิทธิเป็นผู้เล่า เข้าใจว่าเป็นคุณกมลเล่ามากกว่า ถ้าจำผิดก็ขออภัยคุณชัยสิทธิด้วย
เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งตอนบ่าย คุณกมลและเพื่อนนั่งคุยกับหลวงพ่ออยู่ใต้ถุนกุฏิของท่าน ซึ่งปกติเป็นที่รับแขกไปในตัว
ขณะนั้นมีแขกอินเดีย 2 ผัวเมียเดินตรงมาที่กุฏิหลวงพ่อ ฝ่ายหัวก็ส่งเสียงลั่นมาแต่ไกลให้ได้ยินว่า “ถ้าเธอยังเห็นมันเดินมาด้วยก็เตะมันเสียสิ” ซึ่งฟังแล้วไม่เข้าใจว่าเป็นอะไร เพราะฝ่ายเมียไม่ได้ตอบ คงมีแต่อาการตื่นกลัว
พอเข้ามาถึงก็เข้ากราบหลวงพ่อแล้วเล่าเรื่องถวายว่า เมียของตนเห็นว่ามีผีมากวันนี้เป็นผีแม่ชีฝรั่ง เห็นผีตัวนั้นอยู่เคียงข้างตลอดเวลา ไม่เป็นอันกินอันนอน ทำความรำคาญให้กระผมเป็นอันมาก ขอให้หลวงพ่อช่วยด้วย
หลวงพ่อบอกคุณกมลไปตักน้ำมาถังหนึ่ง แล้วท่านก็จุดเทียนทำน้ำมนต์ เสร็จแล้วรดน้ำมนต์ให้แขก 2 ผัวเมียซึ่งก้มกราบนิ่งอยู่เคียงข้างกัน
หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้ฝ่ายเมียก่อน แล้วรดลงตรงที่ว่างระหว่างกลางของสองผัวเมีย แล้วรดให้ฝ่ายผัว
คุณกมลสังเกตเห็นแปลกเข้าอย่างหนึ่ง สะกิดเพื่อนให้ดู หลวงพ่อรดน้ำมนต์ คือเวลาน้ำมนต์ของหลวงพ่อรดแทรกลงระหว่างกลางสองผัวเมียนั้น น้ำมนต์หายไปกลางอากาศ ไม่ตกลงสู่พื้นกุฏิ
คล้าย ๆ กับน้ำมนต์รดอะไรที่ไม่เห็นตัวเข้าอย่างหนึ่ง
เมื่อรดเสร็จแล้วหลวงพ่อให้แขกผู้ผัวเอาน้ำมนต์กลับไปบ้าน ไปเติมใส่น้ำดื่มและน้ำอาบ
แขกสองผัวเมียก็หายเงียบไป ไม่มีใครได้ข่าวอีก
หลายเดือนต่อมา หลวงพ่อต้องการด้ายสำหรับเย็บจีวร ก็สั่งให้คุณกมลไปหาซื้อด้ายมาถวาย คุณกมลหาซื้อด้ายที่หลวงพ่อต้องการทั้งเมืองอุบลฯ ไม่ปรากฏว่ามีขาย
หมดหนทางก็ข้ามมาอำเภอวารินฯ เห็นร้านของแขกขายผ้าร้านหนึ่งก็เข้าไปถามซื้อ
ไม่ทันสังเกตหรอกครับว่าเป็นแขกสองผัวเมีย
แขกผู้ผัวก็ทักทายก่อน เพราะจำคุณกมลได้ ว่า จำเขาได้ไหม เขาเคยไปรดน้ำมนต์กับหลวงพ่อ คุณกมลก็จำได้และนึกอยากรู้เรื่องอยู่แล้ว ได้โอกาสถามว่า เรื่องมันเป็นยังไง
แขกก็เล่าว่า
“เมียผมถูกผีมากวน ผมทำอย่างไรไม่หาย ไปหาใครก็ช่วยไม่ได้สักที คืนหนึ่งผมฝันเห็นหลวงพ่อชา ผมไม่รู้จักท่านมาก่อนนะครับ แต่ก็ฝันเห็นท่านมาบอกว่าให้ไปที่วัดหนองป่าพงจะช่วย ผมก็ไปหาท่านตามความฝัน แปลกใจเหมือนกันว่า ท่านมีตัวมีตนอย่างที่ฝันจริง ๆ”.
“รดน้ำมนต์แล้วหายไหม” คุณกมลซัก
“หายครับ” แขกว่า “พอกลับมาถึงบ้านเมียผมก็บอกว่า ผีไม่มีมากวนแล้ว หายจนวันนี้”
หลังจากนั้นแขกก็ถามว่าต้องการอะไรถึงมาที่ร้านเขา พอทราบจุดประสงค์ก็บอกว่าด้ายที่หลวงพ่อต้องการนั้นมีอยู่ที่ร้านพอดี ตั้งใจจะไปทำอะไรถวายหลวงพ่ออยู่แล้ว ไม่มีโอกาส จึงขอถวายด้ายนี้ทั้งกล่องเลย
เป็นอันได้ด้ายมาถวายหลวงพ่อมากกว่าที่หลวงพ่อต้องการเสียอีก


ลองกับตัวเองสิ
มีคนไปฟ้องหลวงพ่อว่า มีผู้นำพระเครื่องของหลวงพ่อไปลองยิงด้วยปืน หลวงพ่อถามว่าลองอย่างไร เขาบอกว่าลองโดยเอาพระเครื่องหลวงพ่อไปแขวนกับต้นไม้แล้วยิง หลวงพ่อถามว่า ยิงแล้วเป็นยังไง เขาว่ายิ่งออก แต่ไม่ถูกพระ
หลวงพ่อจึงว่า
“ทีหลังให้แขวนไว้กับตัว แล้วยิงใส่ตัวเองสิ มันถึงจะไม่ออก”

โดยคุณ sophon_ka (240)  [จ. 02 ต.ค. 2549 - 02:59 น.]



โดยคุณ chartchay_ho21 (265)(2)   [จ. 02 ต.ค. 2549 - 08:23 น.] #53022 (1/3)
ขอบคุณครับ

โดยคุณ GDF_2006 (72)  [จ. 02 ต.ค. 2549 - 15:04 น.] #53094 (2/3)
ขอบคุณมากๆครับ

โดยคุณ BankHiWay (7.4K)  [อา. 06 พ.ค. 2555 - 10:05 น.] #2235118 (3/3)


(N)
[url= http://image.ohozaa.com/view2/9bk4][img]http://image.ohozaa.com/i/635/wvtOO.gif[/img][/url]

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1