(N)
----บทนำ----
ก่อนอื่นเลยต้องขอแสดงความยินดีกับตัวเองครับ สำหรับ user : nooing ที่ยืนยงมาจนทุกวันนี้ด้วยจำนวน feedback เกือบจะครบ 10,000 feedback ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านฝนมาหลายปี ก็มาถึงวันนี้ได้ ผมขอแชร์ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาตลอดเวลาที่อยู่ในวงการนี้ให้ทุกท่านฟังนะครับ มีด้านดีด้านร้ายด้านขมขื่นปะปนกันไป เป็นแบบมินิซีรีส์ เขียนให้ชวนติดตาม ฮา ๆ นิด ๆ เป็นมุมมองของผมเอง ขออนุญาตลงเป็นบล็อก ๆ นะครับ เขียนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงปัจจุบัน หากใครอยากอ่านก็อ่าน ใครไม่อยากอ่าน หรือเคยมีประเด็นกับผมก็ข้าม ๆ ไปนะครับ ไม่อยากให้รำคาญกัน ^o^ จริงเคยเขียนอัตถชีวประวัติตัวเองไว้นะ ว่าผ่านชีวิตยากลำบากมาแค่ไหน (ต้องทำงานก่อสร้างเป็นกรรมกร เป็นบ๋อยโรงแรมก็เคยมาแล้ว ทำทุกอย่างเพื่อส่งตัวเองเรียนหนังสือเลยนะนั่น หุหุหุ) แต่ไม่อยากให้เยิ่นเย้อมาก ก็เอาพอแค่เริ่ม ๆ Focus ไปที่เรื่องพระ และการมารู้จักวงการนี้ก็พอนะครับ ตัดทอนอะไรออกไปบ้างไม่งั้นจะยาวเกิ๊นนนนนนนนน แต่เท่าที่คิดพล็อตเรื่องไว้ก็น่าจะมากมายหลาย มุมมองอยู่ครับ ข้อมูลอาจจะข้ามไปข้ามมาบ้าง เพราะส่วนใหญ่เขียนสด ๆ แต่ถ้าเป็นไปตามพล็อตที่คิดไว้ก็น่าจะเรียงลำดับความได้นะครับ
ตอนนี้กำลังแต่งนิยายอยู่ครับ เอาพล็อตใกล้ตัวก่อน อยากลองทางใหม่ ๆ บ้าง อันนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้น ก่อนจะไปเขียนเรื่องอื่น ๆ
คิดได้ก็ทำเลยครับ เขียนกันสด ๆ วันต่อวัน เรื่องราวจะไปยังไง ก็คอยติดตาม แต่ก็ไม่รู้จะมีเวลาหรือเปล่า หากทนอ่านได้ก็ทน ทนอ่านไม่ได้ก็ต้องทนครับ หากชอบก็กด LIKE ให้ด้วย เพื่อจะได้มีแรงเขียนต่อ หากไม่ชอบ ก็อยู่เฉย ๆ ((ฮา)) นะครับเพราะผมก็จะเขียนต่ออยู่ดี อิอิอิ อุบอิบๆ
เริ่มกันเลยครับบบบบ
##########################################################
มาถึงตอนนี้ หลาย ๆ ท่านคงอาจจะเริ่มเห็นใจผมมากขึ้นแล้วก็เป็นไร ((รู้นะว่ากำลังเอาใจช่วยผมอยู่แน่ ๆ เลย แองคิดไปเองเปล่าหว่าาาาาาาา ++++)) หลายคนคงนึกอย่างทำขนมไข่นกกระทาไว้กินเอง แล้วล่ะมั้งป่านนี้ ให้พลังไข่นกกระทานำทางชีวิตและผลักดันท่านต่อไปนะครับ
ส่วนผมก็ผ่านมาใกล้จะเริ่มงานกันแล้ว เอาล่ะเริ่มต่อเลยครับ เมื่อทำการคิดวางแผนกันไว้อย่างดีแล้ว ผมก็เริ่มลงมือปฏิบัติการก่อนเลย ด้วยความที่ผมเป็นคนคิดอะไรเป็น Step ก็เริ่มวางแผนต่าง ๆ นา ๆ ((หึ หึ หึ จะได้รู้จัก ศักรินทร์ดาวร้ายก็ตอนนี้แหละ)) เริ่มกำหนดรูปแบบงาน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อทำออกมาให้มันดูดีที่สุด ด้วยเงินจำนวน 150,000 บาท ที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง และบัตรเครดิต เค้าแหละ อ้อออออ เกือบลืมบุญคุณอันยิ่งใหญ่ เจ้ารถสับปะรังเค ด้วย คิดจะเอาโน้นเอานี่ต่าง ๆ นา ๆ ตามประสา แต่สุดท้ายก็ต้องคิดใหม่ ที่เราคิดไว้ทั้งหมดมันทำท่าจะทำไม่ได้ซะแล้ววววววววววววววววววววววววว เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะงานนี้
.
.
เริ่มออกหา สถานที่
เริ่มออกหาชุดแต่งงาน
เริ่มออกหาการ์ด
เริ่มออกหาของชำร่วย
เริ่มออกหาโต๊ะจีน
เริ่มออกหาช่างถ่ายภาพ
ฯลฯ
งานแรกเลย ก็ไปคุยหาสถานที่ ก็ได้ลงตัวที่สโมสรแห่งหนึ่ง และก็เป็นธุรกิจต่อเนื่องเลย มีโต๊ะจีนมาเสนอเพียบเลย ไปสะดุดตาอยู่เจ้าหนึ่ง มีใบปิดมาวางไว้ให้ดู เขียนคำบรรยายความได้น่าประทับใจมาก อันนี้ผมว่าสำคัญนะ เป็นเทคนิคทางการขายได้ดีทีเดียว คำบรรยาย เขียนให้น่าประทับใจ เน้นจุดเด่นของสินค้าออกมาให้มากที่สุด และก็แจ้งว่า สิ่งที่เราเป็นเจ้าของสินค้าจะทำอย่างไรกับมัน และให้ความสำคัญกับมันแค่ไหน สื่อออกมาให้ได้ เพื่อให้คนซื้อ เกิดความน่าเชื่อถือขึ้นมาได้ อันนี้สะดุดใจผมมากก็เลยเลือกเจ้านี้ คุยงานกัน ออกแบบสถานที่กัน และที่สำคัญ ก็ได้ชิมฟรี 1 โต๊ะ ตามสูตร เพื่อเลือกเมนูอาหาร วันที่ไปชิม ไปกันแค่ 3 คนเอง ที่เหลือห่อกลับบ้าน สบายไป อิอิอิ
ทั้งหมดจิปาถะมาก แต่เชื่อไหมครับ สำหรับผม ใช้เวลาในการดำเนินการทั้งหมดนี้เพียง 3 วันเท่าน ทุกอย่างก็อยู่ใน กาารควบคุมของผมได้แล้ว ((หุหุหุ ศักรินทร์ดาวร้ายซะอย่าง))
ตัดภาพมา มีสมุดจดบันทึกเล่มหนึ่งซึ่งจดทุกอย่างไว้ในนั้นอย่างดี มีค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ที่ต้องเตรียม รายชื่อแขก รูปแบบงาน ตั้งใจไว้ว่าจะเรียบ ๆ ง่าย ๆ แต่ให้ดูดีสมฐานะเลยทีเดียวเชียว ค่าใช้จ่ายที่คำนวนไว้คร่าว ๆ ก็ราว ๆ แสนกว่าบาทที่ต้องจ่ายออกไปก่อน เรื่องเงินวางพาน ((ลืมบอกว่าค่าสินสอดไม่ได้เป็นปัญหาเพราะ ไม่ได้เรียกร้องอะไร คงเป็นเพราะเห็นว่าเราเป็นคนทำมาหากิน และช่วยกันหาเงินมาอย่างยากลำบาก )) เรื่องเงินวางพาน ไม่เป็นปัญหาแล้ว เพราะมีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายแฟนที่มีฐานะรับปากว่าจะช่วยออกให้ก่อน เพื่อเป็นหน้าเป็นตา ((อันนี้ผมไม่เกี่ยวนะ เพราะทางแฟนเค้าไปจัดการกันเอง))
วันเวลาก็ผ่านล่วงไป จากวันเตรียมงานทั้งหมด จนถึงวันงานสรุปเป็นเวลา นานมากกกกกกก ((จริง ๆ นะ)) 15 วัน พรุ่งนี้แล้วซินะ จะถึงวันสำคัญแล้ววววววววววว
.
.
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
เสียงโทรศัพท์ของแฟนดังขึ้น แฟนก็ยิ้ม ๆ แล้วรับโทรศัพท์เสียงใสเชียว พูดไปซักพัก หน้าเริ่มเสีย ผ่านไปอีกนิดนึง อะไรวะ แม่เจ้า แฟนผมน้ำตาแตก ร้องไห้โฮ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่หยุดเลย
เกิดอะไรขึ้น !!!!!!!!!!!! ผมถามออกไปทันที พอตั้งสติได้ แฟนผมตัดสาย แต่ก็ยังไม่หยุดร้องไห้ ญาติผู้ใหญ่ โทรมาบอกว่า ไม่สามารถให้ยืมเงินได้แล้ว เพราะ
บลา ๆๆๆๆๆ
.. เหตุผลมากมาย บอกว่าต้องเก็บเงินไว้ใช้ธุระจำเป็น
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!!! เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจผมเป็นครั้งที่ 2 แล้ว เหตุการณ์แบบนี้มันทำไมต้องมาทำร้ายผมตลอดเลย ตอนนี้ทำร้ายแม้กระทั่งคนที่ผมรัก ชีวิตอะไรมันจะเจอแต่ปัญหาแบบนี้ ในสมองพรั่งพรูออกมาด้วยคำถามมากมาย
*** ทำไมวะ ...................
*** ทำไมวะ ..................
*** ทำไมวะ ..................
*** ทำไมวะ ..................
สรุปเลยนะ เท่าที่จับประเด็นได้ คือ ไม่อยากให้ยืม กลัวจะไม่ได้คืน ((ขอคิดเลว ๆ แบบนี้เลยครับ)) เบื่อเนอะเจอแต่แบบนี้ คนที่หวังพึ่งได้ ก็ทำกับเราแบบนี้ทุกที พูดให้ตัวเองดูดี พอถึงเวลาจริงทำไม่ได้ การที่คุณให้ความหวังใครมาตลอดเวลา แต่ถึงวินาทีสุดท้าย คุณกลับทำลายความหวังจนหมดสิ้น เข้าใจนะ ว่ามันอาจลำบากใจ
เรื่องแบบนี้แหละที่ทำให้ผมฮึดสู้ และตั้งปณิธานไว้ในใจทุกวันนี้ ต่อไปนี้จะพึ่งใครทั้งนั้น ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเองให้ได้ ==> นี่แหละคือ แรงผลักดันของชีวิต ของผม
ตัดภาพมาเล่าเรื่องงานต่อนะ
คิดอะไรไปมากมายเลย แต่เราก็น่ะ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ระบบสั่งงานในสมองสั่งให้หยุดได้แล้ว หาทางออก หาทางออก หาทางออก
รวบรวมความคิดทั้งหมด ระดมหาเงินเท่าที่พอจะมีอยู่ตอนนั้น หามาให้หมดทุกทีทุกทาง สรุปได้เงินสดมาเพียง 50,000 บาทเท่านั้น ได้แค่นี้ก็แค่นี้ ปรึกษากัน นำไปแลกเป็นแบงก์ร้อยให้หมด เอามาวางแผ่นบนพาน ให้ได้บานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ((นึกถึงทองคำเปลวนะครับ เวลาทำเอาทองนิดเดียว ตีแผ่นออกไปให้บางและกว้างที่สุด ความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นแบบนั้นเลย)) ผ่านงานเช้าไปได้ดี ทีนี้ก็เหลืองานเลี้ยงตอนเย็น แต่ปัญหาใหญ่ที่กำลังจะตามมาคือ ค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องเตรียมไว้จ่ายให้กับคนจัดงานอีก แสนกว่าบาทนี่ซิ จะทำไง จะทำไง จะทำไง จะทำไง
ทางออกที่คิดได้ตอนนี้ คือ หวังจากเงินซองช่วยงานไงล่ะ ((ฉลาดชิบเป๋งเลย)) คิดได้ดังนั้น ก็มอบหมายหน้าที่นี้ให้เจ้าน้องชายเลย มรึง เฝ้ากล่องเงินไว้ให้ดี หากแขกเข้างานจนจะหมดแล้ว ให้มรึง อุ้มกล่องเงินไปหลังเวทีทันที และจัดการเชือดซะ (หมายถึงเชือดเอาเงินออกมาน่ะ อิอิอิอิ) ให้เรียบร้อย
ลุ้นสุดตัวเหมือนกัน ว่าจะผ่านไปได้หรือเปล่า สุดท้ายก็เอาตัวรอดไปได้อย่างหวุดหวิด เงินได้มาแบบพอดี ๆ เนื่องจากมีผู้ใหญ่ใจดี และบรรดาเจ้านายของแฟน ที่เค้าเอ็นดู ก็ช่วยมาพอสมควร ทำให้รอดมาได้แบบพอดี ๆ ไม่ได้เป็นหนี้เพิ่มเติมอะไร ก็ต้องหาทางเริ่มต้นกันใหม่ สรุปเหตุการณ์นะ
- งานจัดออกมาได้ดูดีถูกใจมาก ในงบประมาณที่วางแผนไว้ทุกประการ สถานที่ถูกใจ อาหารอร่อย จุดนี้ ได้รับคำชมเชยจากเพื่อนบ้าน แม้แต่คนที่ขี้นินทาที่สุดในหมู่บ้านก็ยัง แอบเอาไปเมาท์ ((ในทางที่ดี)) กับคนอื่น อันนี้ก็น่าจะพอเป็นเครื่องยืนยันได้
-
- +๙๙๙๙+ อันนี้แหละหลักการบริหารจัดการกับงาน แต่คงไปบริหารจัดการกับปากคนไม่ได้ แต่งานนี้ถือว่าโชคดีไป
- ก็มีมุมสังเวชใจกับตัวเลขบ้างเล็กน้อย เช่น มา 4 จ่าย 2 (((คิดแล้วหงอย มา 4 คน พ่อ แม่ ลูก ลูก ใส่มา 200 บาท เจริญสุขจริง ๆ ))) เชื่อว่าของแบบนี่ทุกคนต้องเคยสัมผัสมาบ้างแน่ ๆ แต่ช่างมันเหอะ เหมือนที่แม่ผมบอกจัดงานอย่าหวังกำไร เอาหน้าตาพอ แป่วววววว แต่ผมว่าจัดให้ได้กำไรดีกว่านะ (((ไม่น่าเชื่อแม่เลย โฮ โฮ โฮ)))
- สติ จัดการได้ทุกสิ่ง หากเกิดปัญหาต้องใช้สติ ในการแก้ไขปัญหา สติดี ปัญญาเกิด สติ ไม่ดี ต้องไปโรงพยาบาล อันนี้สำคัญมากนะครับไม่ว่าจะเผชิญกับปัญหาหนักหนาแค่ไหน ก็ต้องครองสติให้อยู่ คิดทบทวนหาหนทางแก้ไขและฝ่าฟันมันไปให้ได้
- การวางแผนจัดการก็เป็นส่วนสำคัญ เพราะถ้าเราวางแผนจัดการงานดี มีแผนสำรองไว้เสมอ ไม่ว่ามีอะไร เราก็สามารถจะพลิกแพลงแก้สถานการณ์ให้รอดไปได้แน่นอนครับ
ส่วนตัวผมได้แง่คิดอะไรมาหลายอย่างเลย ได้แรงผลักดันของชีวิต และเริ่มมองหาหนทางใหม่เพื่อที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าให้ได้
ได้ค้นพบกับสัจธรรมข้อหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มาก อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
จบงานนี้ถือว่าเสมอตัวนะครับ ได้พลังในการต่อสู้แล้ว ที่สำคัญได้เข้าหอ ((ทำหน้าตาหื่นมาก อิอิอิ))))) แต่มันก็ใช่ว่าจะดีทีเดียวเพราะผมยังมีภาระหนี้สิน และภาระทางครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบอีกมากมายเลย มาลุ้นกันต่อไปว่า อะไรจะเข้ามาในชีวิตผมอีก และผมจะผ่านสิ่งเหล่านั้นไปได้อย่างไร ไว้พบกันใหม่นะครับ...............................................................
ปล. Blog นี้อาจจะดูไม่ค่อยมีสีสันเท่าไหร่นะครับ เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ มาก เนื่องจากไม่ค่อยสบายครับ ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องให้กันฟัง และอิงหลักการนิดหน่อย เพราะคิดเก๊ก ไม่ค่อยออก และก็อย่างที่บอก การเขียนในแต่ละวันใช้เขียนสด ๆ นึกกันสด ๆ เลย และด้วยเวลาที่มีจำกัด ทำให้ใช้เวลาได้ไม่เกิน Blog ละ 1 2 ชั่วโมงเท่านั้นครับ หากยังชอบกันอยู่ก็กด LIKE ให้กันเหมือนเดิมนะครับ |