(N)
Blog 9 สิ่งเติมเต็ม กับการสูญเสียอันยิ่งใหญ่
ผ่านช่วงเวลาเหน็ดเหนื่อย ที่แสนจะสุขใจ มาได้ระยะหนึ่ง ทุ่มเท แรงกาย แรงใจ ใส่ทุกอย่างไปกับมันจนเต็มที่ ผลตอบแทนที่ได้รับกลับมามันก็สาสมกันจริง ๆ หนี้สินที่เคยมี ค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับ มันก็มีรายได้เข้ามา support จนหมด เรียกว่าเหลือใช้กันทีเดียวเชียว ผ่านจุดนี้มาได้พอควร ด้วยการที่ผมเป็นคนมองการณ์ไกล พอควร เห็นว่า สถานการณ์ของจตุคามรามเทพ คงจะไม่จีรังยั่งยืนแน่นนอน เพราะเนื่องจาก supply มันเริ่มจะมากกว่า demand แล้ว ผมจึงหาทางออกเผื่อไว้แล้ว โดยการเข้ามาศึกษาเรื่องพระเครื่องอย่างจริง ๆ จัง ๆ มีเวลาก็ออกเดินสนามหาประสบการณ์ตลอดเลย ซื้อยิบซื้อย่อย อะไรที่ดูเป็นก็ซื้อหมดครับ เอามาสต็อกเก็บไว้เพื่อรอเวลา
- อันนี้ผมว่าเป็นหลักการอย่างหนึ่งนะของการทำมาค้าขาย ต้องมองการณ์ไกล และเตรียมทางหนีทีไล่ไว้เสมอ เพราะธุรกิจพระไม่เหมือนอย่างอื่น ๆ มาเร็วเคลมเร็ว รุ่นที่ว่าดี ๆ ก็อาจจะช็อตไปง่าย ๆ เพียงชั่วเวลาเท่านั้น
- การศึกษาหาความรู้ ก็ไม่ได้จำกัด อยู่แต่หน้าเวปเท่านั้น ผมมองว่าการออกเดินสนามพระ ก็เป็นส่วนหนึ่งเลยของวงการ เพราะหากเราอยู่เฉย ๆ พระไม่มีวันวิ่งเข้ามาหาเราแน่ ต้องออกเดิน ต้องตาถึง ใช้สายตา ต้องแข่งขันกับคนอื่น ประเภท ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ผมมีประสบการณ์จากเรื่องในสนามพระจะมาแชร์ให้ฟังหลาย ๆ แง่มุม หลาย ๆ อย่าง ไว้จะมาถ่ายทอดให้ฟังในโอกาสต่อ ๆ ไปครับ
มาถึงตอนนี้ มันช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด ผมว่าหลาย ๆ ท่านที่มาอยู่ในช่วงนี้ก็คงมีความสุขเหมือนผม จตุคามรามเทพ คือทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงนี้ ทุกคนต่างวาดฝันกันมากมาย ช่วงนี้ ผมก็มีข่าวดี จะแจ้งให้ทราบ เพราะว่าผมได้ลูกสาว มาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครับ ดีใจสุด ๆ เลยครับ อยากได้ลูกสาวด้วย นึกภาพอนาคตเห็นเด็กผู้หญิงแต่งตัวเป็นตุ๊กตา น่ารัก ๆ พอเลิกงานมาตอนเย็น ก็มาคลอเคลีย ป๊าจ๊ะ ป๊าจ๋า สุขใดในโลกจะเทียมเท่า จริงไหมครับ
ได้ลูกสาวมาชีวิตก็เริ่มดีขึ้นแล้ว หนี้สินเริ่มหมด ก็ให้แม่ของผมเป็นคนเลี้ยงหลานเลย ชีวิตจะได้เริ่มสบายกันเสียที วาดฝันไว้ อยากให้แม่ ให้พ่อ และน้อง ๆ สบายกันทุกคน เวลาก็ผ่านไป ผ่านไป ผ่านไป ปีกว่า ๆ ผมก็สามารถเก็บเงินจากการเล่นพระ เล่นจตุคาม ได้ก้อนหนึ่ง ก็คิดว่าเพียงพอที่จะเอาไปลงทุนซื้อบ้านซักหลังหนึ่ง ถึงจะไม่ใช่ได้ราคาทั้งหมด แต่ก็น่าจะพอให้เรามีเงินลงทุนซื้อได้ ทีเหลือก็คงใช้วิธีกู้เพิ่มเอานะ คิดไว้เช่นนั้น แต่ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น มันทำให้ความรู้สึกต่าง ๆ สิ่งที่วาดฝันไป ต้องหยุดชะงัก เหมือนโลกมันหยุดหมุนไปในชั่วพริบตา
เช้านี้ เห็นแม่ตื่นสายผิดปกติ ก็เลยเข้าไปถาม จำได้ว่าวันเสาร์ เห็นแม่บอกว่าปวดท้อง ท้องมันอืด ๆ แน่นในท้องยังไงไม่รู้ เราก็ไปรีบกุลีกุจอ ให้เจ้าน้องชายออกไปซื้อยาลดกรด และยาระบายมาให้กิน เพื่อปกติ อาการแบบนี้แม่จะเป็นบ่อย ๆ พอได้ยามา ก็กินเข้าไป จนบ่ายก็ยังไม่มีอาการว่าจะหายดีเลย ก็เลย บอกว่าต้องพาไปโรงพยาบาลแล้ว แต่แม่ก็บอกว่า
= ไม่ไปหรอก เสียดายเงิน ทนได้
แต่ซักระยะอาการก็ยังไม่ดีขึ้น จนสุดท้ายก็ต้องบังคับให้ไปโรงพยาบาลให้ได้ สรุปก็ไปหาหมอ ที่โรงพบาบาล
หมอก็เอาเข้าห้องตรวจอาการอย่างละเอียด ตรวจทุกอย่าง ตรวจเลือดด้วย พอค่ำ ๆ หมอก็เรียกเจ้าน้องชายเข้าไปคุย (( ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่เผ้า เพราะติดภาระกิจ งานพระ )) เจ้าน้องชายโทรมาบอกว่า
= หมอบอกว่า แม่เป็น มะเร็งตับ ระยะสุดท้าย อยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน
โลกแมร่งงง หมุนไปหมดเลย มือไม้สั่นไปหมด จะร้องไห้น้ำตามันก็ไม่ไหล คิดไปต่าง ๆ นา ๆ จะทำไงดี จะทำไงดี จะทำไงดี จะหาทางรักษายังไง จะทำยังไง เพื่อให้แม่อยู่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
คืนนั้น ก็ทำอะไรไม่ได้ คิดไปต่าง ๆ นา ๆ นอนไม่หลับเลย จะบอกพ่อก็ไม่กล้ากลัวพ่อจะทำใจรับไม่ได้ ปรึกษาน้อง ๆ กับภรรยา ก็ไม่รู้จะทำยังไง นอนตาแข็งไปจนเช้า พอสาย ๆ ก็ต้องรีบไปโรงพยาบาล เจอหน้าแม่ แม่ก็ยิ้มให้ เราก็ฝืนยิ้มตอบไป คุยกันปกติ แม่ก็ยังเป็นห่วงเราอีกนะ ว่า โรงพยาบาลนี้มันแพง ถามพยาบาลแล้วบอกคืนละหลายตังค์ ให้แม่กลับบ้านเถอะ กลัวจะเป็นภาระของเรา (( ผมงี้น้ำตาไหลออกมาเลย ต้องรีบออกมานอกห้องให้ ภรรยารับหน้าไปก่อน )) พอหมอมาก็ได้เข้าไปคุยกับหมอ
หมอบอกว่า ให้ทำใจรับให้ได้ เพราะมันเป็นระยะสุดท้ายแล้ว หากรักษาดี ๆ ก็คงอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน ผมก็ถามกลับไปว่า รักษาดี ๆ ทำไงครับ หมอบอกว่าก็ต้องให้นอนห้อง ECU (( ห้องกึ่ง ๆ ห้องฉุกเฉิน ให้ยาประคองอาการไว้ )) ผมก็ถามค่าใช้จ่ายคิดเท่าไหร่ ยังไง หมอให้คุยกับพยาบาล
ค่าห้อง ก็คืนละ 10,000 บาท ยังไม่รวมค่าอาหารทางสาย ( หากจำเป็น ) และค่าแพทย์ต่าง ๆ เบ็ดเสร็จแล้วคืนละประมาณ 18,000 บาท
ผมคำนวนในสมองเลย 18,000 x 6 เดือน (ประมาณ 180 วัน) รวมค่าใช้จ่าย = 3,240,000 บาท
เห็นตัวเลขแบบนี้ ผมก็อึ้ง เพราะคงไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น ในสมองมึนไปหมด หาทางออกให้ตัวเอง ว่าจะเอายังไงดีกับเรื่องนี้ สรุปตอนนั้นผมก็กลับบ้านไปก่อน เพื่อไปปรึกษา และบอกความจริงให้พ่อได้รับรู้ เชื่อไหมครับ พอพ่อได้ทราบว่าแม่เป็นมะเร็ง และอยู่อีกได้ไม่นาน พ่อน้ำตาไหลออกมาเลย ร้องไห้ฟูมฟายเลย รีบหาเสื้อมาใส่ บอกจะไปหาแม่เดี๋ยวนั้นเลย ผมก็ต้องห้ามไว้ เพราะรู้ว่าถ้าพอเจอหน้าแม่ พอต้องร้องไห้ออกมาแน่ ๆ เลย คิดดูนะครับ ขนาดคนที่อยู่ด้วยกัน คนแก่ นะ ใกล้กันเป็นต้องทะเลาะกัน เถียงกันไม่เว้นแต่ละวัน แต่พอเวลาแบบนี้ พ่อผมไม่มีเม้มเลย ปล่อยเต็มที่เลย พอพ่อใจเย็นขึ้น ผมก็ปรึกษาเรื่องต่าง ๆ กัน สรุป ก็ได้แนวทางต่อไปนี้ ด้วยเหตุด้วยผล ที่คิดว่า เหมาะสมกับสถานการณ์เป็นที่สุด
หลายคน คงคิดไปต่าง ๆ นา ๆ นะครับ บางคนอาจจะว่า คุ้ม เพื่อให้แม่มีชีวิตอยู่อีก 6 เดือน แต่ผมก็ตัดสินใจทันทีเลยครับ (( ใครจะว่าผมเลว ผมก็ยอมรับได้นะครับ )) ผมขอหมอให้แม่กลับบ้านครับ มันเป็นความเจ็บช้ำ ของลูกคนหนึ่ง ที่ต้องทำแบบนี้ เพราะ ผมคิดแล้วว่า ผมมีภาระอื่น ๆ อีกมากมายเลย ไหนจะพ่อ ไหนจะภรรยา ไหนจะลูก ไหนจะน้อง ๆ ที่ยังต้องพึ่งพาผม ผมกลับไปหาแม่ บอกท่านว่า ผมคงต้องนำท่านกลับบ้าน เพราะหมอให้กลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน ( แต่ไม่ได้บอกท่านนะเรื่องท่านเป็นมะเร็ง บอกว่าเป็นตับอักเสบ ) แม่ยิ้มเชียว ดีใจมาก บอกว่า ดีแล้วลูก จะได้ไม่เปลืองเงิน หน้าตาสดใสขึ้นมาทันทีเลย
กลับมาบ้าน แม่เดินไม่ค่อยไหวนะ เพราะปวดท้องมาก เราก็ได้แต่บอกว่า ตับมันอักเสบมาก ต้องขยันกินยา ก็ให้แม่กินยาตลอด ที่ไหนได้ ยาที่หมอให้มามันเป็นแค่ยาแก้ปวด ชนิดแรงมาก ที่เรียกว่า มอร์ฟีน นั่นแหละ ได้มาอย่างเดียวเลย แค่บรรเทาอาการปวดเท่านั้น ก่อนออกมาหมอยังเรียกไปคุยครั้งสุดท้าย ว่า ให้เราทำใจ และดูแลเค้า (หมายถึงแม่) ให้ดีที่สุดเพราะเค้าคงอยู่กับเราอีกไม่นาน พอกลับบ้าน
- วันแรก (วันอังคาร) เดินทักทายเพื่อนบ้าน หลังจากนอนโรงพยาบาลมา 2 วัน เมาท์กันสนุกเลย
- วันที่สอง นอนไม่อยากลุก พูดได้กินได้
- วันที่สาม นอนไม่อยากลุก พูดไม่ออกแล้ว ได้แต่ เออ ๆ
- วันที่สี่ (วันศุกร์) ---นั่งทำงานอยู่ พอโทรมาบอกว่า แม่ไม่ไหวแล้ว ให้รีบกลับบ้าน พูดไปร้องไห้ไป
- วันที่ห้า (วันเสาร์ ) ผมนั่งจับมือแม่อยู่ตลอดเวลาเลย แม่บีบมือผมเป็นระยะ ๆ เพราะปวดท้องมาก เวลาปวดทีแม่ก็จะเกร็งมือ แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว ผมน้ำตาไหลเป็นระยะ ๆ เพราะสงสารแม่ ทำได้แต่เอายามอร์ฟีน มาบดผสมน้ำ และกรอกใส่ปากแม่ เพียงแค่หวังว่าจะช่วยได้เท่านั้น
สุดท้าย แม่ก็สิ้นใจเช้าวันเสาร์นี่เอง ในอ้อมกอดของลูกคนนี้ เห็นเลยนะลมหายใจเฮือกสุดท้ายของแม่ น้ำตาผมไหลพรากตลอดเวลา พี่น้องร้องไห้กันหมด
แม่ - ผู้ให้ทุกสิ่งกับผม
แม่ - ผู้เป็นแม่ค้าขายผัดไทจน ๆ คนหนึ่ง
แม่ - ผู้ที่ลำบากมาทั้งชีวิต เพื่อให้ลูกมีกิน
แม่ - ผู้เสียสละความสุขทุกอย่างเพื่อให้ลูกสบาย
บัดนี้ได้จากผมไปแล้วชั่วนิรันดร์ น่าเสียดายครับ เพราะผมตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะเลี้ยงแม่ให้สบายที่สุดหลังจากนี้ ที่เราเริ่มตั้งหลักได้ นี่แหละน่าที่โบราณเค้าว่าไว้ กรรมเก่า มันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ผมก็จัดการไปตามประเพณี ให้ดีที่สุดสมกับความรักที่มีให้แก่กันและกัน จนวินาทีสุดท้าย
.จากกันชั่วนิจนิรันดร์ เหลือเพียงความทรงจำ
เท่านั้น
อาจจะดูเศร้าไปนิดนะครับ แต่มันก็เป็นความจริงของชีวิต ที่ทุกคนคงได้สัมผัสแน่นอน บรรยากาศเศร้า ๆ เหงา ๆ แบบนี้ หากใครยังมีแม่อยู่ ก็จงดูแลท่านให้ดี ๆ นะครับ เพราะหากวันหนึ่งเวลาที่ท่านจากเราไปแล้ว เราก็จะไม่มีโอกาสได้ดูแลท่านอีก
Blog นี้ขออุทิศให้กับแม่ของผม ผู้ซึ่ง ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับผม ผมไม่เคยลืมเลือนออกไปจากหัวใจเลย
รักแม่ครับ
ตัดภาพมาครับ
!!!
ผ่านความเศร้ามาแล้ว ทีนี้ก็ต้องทำใจให้เข้มแข็ง ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นต่อไป ใครที่ยังอยู่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป เวลาไม่หวนคืนแน่นอน มีแค่จะก้าวเข้ามาครับ
จากนั้น ผมก็มุมานะ เก็บเงินเก็บ เก็บทอง ( เก็บเป็นทองก็มีนะครับ ) ก็ไม่ได้มากมายอะไรครับ ไม่ได้มีเยอะแยะ แต่ทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาก็แลกด้วยความสุข และความสบายใจ ที่ได้เห็นว่ามันงอกเงยขึ้นมาเรื่อย ๆ ทีนี้ก็ถึงเวลาซะทีแล้วครับ สำหรับความฝันอันยิ่งใหญ่ของผม ที่คิดมาทั้งชีวิต ซึ่งมันจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ
เหมือนเดิมครับชอบกด LIKE ใข่กด LOVE ให้ด้วยนะครับ เพื่อเป็นแรงใจ |
|