ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : พระเกจิ5แผ่นดิน-112ปี

(D)
หลวงปู่สุภา กันตสีโล พระเกจิ5แผ่นดิน-112ปี

คอลัมน์ มงคลข่าวสด



"ถ้าเสียสัตย์ ก็เสียศีล เสียศีลแล้ว ธรรมก็ไม่บังเกิด"

"ฆ่าจิตของเราให้มันตาย อย่าให้มีโกรธ อย่าให้โลภ อย่าให้มีหลง"

ปาฐกถาธรรมอันสะท้อนถึงแก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนา โดยพระมงคลวิสุทธิ์ หรือที่ชาวภูเก็ตหรือพุทธศาสนิกชนชาวไทยรู้จักกันดีในนามของ "หลวงปู่สุภา กันตสีโล" พระเถระเจ้าอาวาสที่มีอายุยืนที่สุดในโลก

ปัจจุบัน หลวงปู่สุภา สิริอายุ 112 พรรษา 92 เป็นเจ้าอาวาสวัดสีลสุภาราม หมู่ที่ 6 ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต

อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สุภา วงศ์ภาคำ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 พุทธศักราช 2438 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีวอก ณ บ้านคำบ่อ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายพล และ นางสอ วงศ์ภาคำ

เมื่ออายุได้ 7 ขวบ ได้พบกับพระธุดงค์ที่มาปักกลดที่ใต้ต้นตะแบกใหญ่ท้ายหมู่บ้านคำบ่อ ได้คลานเข้าไปกราบบนตักพระธุดงค์รูปนั้น ได้ลูบศีรษะด้วยความเมตตาเอ็นดูพร้อมกับกล่าวว่า

"เด็กน้อยเอ๋ย ต่อไปเจ้าจักได้บวชเรียนในพระพุทธศาสนาบวชเมื่อใดแล้ว อย่าลืมไปเสาะหาหลวงพ่อให้จงได้ พบกันในวาระที่เจ้าได้ครองผ้าเหลืองเหมือนหลวงพ่อนี่แหละ"

2 ปีต่อมา จึงเข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ด้วยการที่โยมบิดาได้นำตัวไปฝากพระอาจารย์สวน อบรมสั่งสอนอยู่หนึ่งปีเต็ม กระทั่ง พระอาจารย์สวนบอกกับหลวงปู่สุภาว่า "อย่างเณรมันต้องก้าวหน้ากว่านี้ ฉันจะพาไปเมืองอุบลไปเล่าเรียนต่อให้แตกฉาน อยู่กับฉันมันก็แค่นี้"

พ.ศ.2449 ได้รับการนำตัวลงจากบ้านคำบ่อมาฝากไว้ในสำนักเรียนของพระมหาหล้า แห่งวัดไพรใหญ่ จ.อุบลราชธานี โดยพระมหาหล้าได้ทดสอบความรู้เบื้องต้น พบว่า สามเณรสุภามีความรู้เบื้องต้นดีมาก

สามเณรสุภา ได้เล่าเรียนมูลกัจจายน์และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ก่อนออกเดินทางไปที่วัดท่าอุเทน เนื่องจากได้ยินกิตติศัพท์ถึงพระภิกษุผู้เป็นพระสายวิปัสสนา ที่กำลังสร้างพระธาตุท่าอุเทน จ.นครพนม ว่าเป็นพระผู้มีบารมีธรรมอันน่าเคารพนับถือ

ครั้นสามเณรเข้าไปกราบนมัสการตรงหน้าของพระวิปัสสนาจารย์ ท่านกล่าวขึ้นว่า "บัดนี้ถึงเวลาที่เราได้พบกัน เด็กน้อยจำเราได้หรือไม่"

ภาพเด็กตัวน้อยที่คลานเข้าไปกราบพระธุดงด์ที่ปักกลดอยู่ใต้ต้นตะแบกใหญ่ กลับมาปรากฏชัดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงของพระวิปัสสนาจารย์ที่กำลังสร้างพระธาตุท่าอุเทนพูดขึ้นว่า

"เราชื่อสีทัตต์ เณรมีนามใดกัน มาจากที่ใดต้องการอะไรจากเรา"

สามเณรสุภา กล่าวตอบด้วยความปีติว่า "กระผมนมัสการพระคุณอาจารย์ด้วยความปรารถนาจะได้รับการอบรมด้านวิปัสสนากรรมฐานตามแบบที่พระคุณอาจารย์ได้รับการถ่ายทอดมา กระผมเรียนมูลกัจจายน์ห้าเล่มสำเร็จแล้วขอรับ"

พระอาจารย์สีทัตต์หยั่งเชิงสามเณรน้อยเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงว่า "เณรเรียนมูลกัจจายน์มาแล้วไยไม่เรียนปริยัติธรรมต่อไป เพราะการเรียนปริยัติธรรม เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม และยังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ก้าวหน้าในตำแหน่งการปกครอง ส่วนประโยชน์ทางโลก เมื่อสึกออกไปแล้วสามารถเทียบวุฒิทำงานหรือรับราชการได้ตำแหน่งดี"

สามเณรสุภา กล่าวด้วยความมุ่งมั่นว่า "กระผมต้องการเพียงอย่างเดียว คือ ปฏิบัติทางจิต หรือวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อใช้ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ ขอเพียงพระอาจารย์รับเป็นศิษย์จะอยู่ในโอวาทสืบไป"

หลังจากทดสอบความตั้งใจจริง ทำให้พระอาจารย์สีทัตต์ รับสามเณรสุภาเป็นศิษย์และสอนอบรมกัมมัฏฐานให้

กระทั่ง อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีพระอาจารย์สีทัตต์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า กันตสีโล

พศ.2463 พระสุภาได้ตัดสินใจออกธุดงด์ จึงเข้าไปกราบลาพระอาจารย์สีทัตต์

พระอาจารย์สีทัตต์ได้บอกกับศิษย์ ให้ไปพบกับพระครูวิมลคุณากร หรือหลวงปู่ศุข เกสโร แห่งวัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกสิณและวิชชาแปดประการมีอภิญญาจิตสูง

ท่านจึงเดินทางไปวัดปากคลองมะขามเฒ่า เพื่อนมัสการหลวงปู่ศุข เมื่อไปถึงเห็นพระภิกษุรูปร่างสันทัด ผอมเกร็ง แต่ผิวพรรณวรรณะผุดผ่องคล้ายทาด้วยขมิ้น แต่เมื่อเข้าไปใกล้จึงรู้ว่าไม่ใช่ขมิ้น แต่กลับเป็นแสงที่เรื่อเรืองอยู่บนผิว

หลวงปู่ศุขถามว่า ต้องการจะเรียนอะไรก็บอกมาเพราะท่านสีทัตต์ฝากฝังไว้แล้ว ท่านกลับตอบว่า ขอให้เป็นเรื่องที่พระอาจารย์จะเมตตาอบรมสั่งสอน ทำให้หลวงปู่ศุขพึงพอใจ

ทั้งนี้ หลวงปู่ศุขได้เมตตาถ่ายทอดวิชาให้ท่าน รวมทั้งคอยทำหน้าที่อุปัฏฐากหลวงปู่ศุข

ต่อมาในปี พ.ศ.2466 หลวงปู่ศุข มรณภาพลงระหว่างที่ท่านกำลังออกธุดงควัตรใหม่ เพื่อแสวงหาวิเวก โดยเดินทางขึ้นไปทางภาคเหนือข้ามชายแดนไปยังประเทศต่างๆ อาทิ พม่า อินเดีย จีน เป็นต้น

ครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสพบกับพระภิกษุอายุถึง 100 กว่าปี คือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งมีวิชาอาคมแขนงต่างๆ และเชี่ยวชาญด้านกสิณและฌานสมาบัติต่างๆ ซึ่งท่านได้สั่งสอนหลวงปู่สุภาถึงสามปีเต็ม

หลวงปู่สุภา เป็นผู้ชอบเล่าเรียนศึกษา ได้ยินว่าที่แห่งใด มีพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมและวัตรปฏิบัติดี ท่านมักจะไปขอเล่าเรียนวิชาการ อาทิ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ, หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา, หลวงพ่อกบ วัดชนแดน, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เป็นต้น

หลวงปู่เสาะแสวงจนได้วิชาจากอาจารย์หลากหลายสำนัก รวมถึงไปขอเรียนวิชาปรอทสำเร็จจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

เส้นทางธุดงค์จากภาคอีสาน เหนือ ใต้ กลาง ตะวันออก ตะวันตก ไม่มีดินแดนแห่งใดที่หลวงปู่สุภาไม่เคยธุงดงค์ไปเหยียบ ท่านท่องธุดงค์ไปแล้วแทบทุกตารางนิ้ว รวมไปถึงมาเลเซีย สิงคโปร์

อาจกล่าวได้ว่า ครึ่งชีวิตของหลวงปู่สุภา คือ การธุดงค์ ตลอดเวลาที่ธุดงค์ไปในประเทศไทย หลวงปู่สร้างแต่ความเจริญไว้เสมอ เช่น สร้างวัด สร้างศาลาการเปรียญ สร้างสำนักสงฆ์ ตามถิ่นทุรกันดารทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา

หลายครั้งที่มีผู้เหนี่ยวรั้งให้หยุดธุดงค์เพื่อเป็นเจ้าอาวาส จนเล่ากันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาหลวงปู่สุภาได้พัฒนาสร้างวัดมาหลายสิบวัด แต่ไม่ยอมรับเป็นเจ้าอาวาส

ล่าสุด ได้มาสร้างวัดแห่งหนึ่ง และได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่า วัดสีลสุภาราม และหลวงปู่สุภายอมรับเป็นเจ้าอาวาสเป็นวัดแรกในชีวิต

หลวงปู่สุภา นับเป็นตัวอย่างของการปฏิบัติอยู่ในความเพียร ความวิริยะ อุตสาหะ ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม

แม้วัยล่วงเลยมากว่าหนึ่งศตวรรษ แต่หลวงปู่สุภา ไม่เคยย่อท้อในชีวิตของท่าน มีแต่คำว่าให้และสร้างทุกอย่างสำเร็จ

ด้วยเมตตาบารมีธรรมของท่าน

-คัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์ข่าวสดคร๊าบ........

sg:

โดยคุณ ศรีปราชญ์ (1)  [อา. 15 ก.ค. 2550 - 01:33 น.]



!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1