ขออนุญาต นำประวัติการสร้างของพระกรุบึงพระยาสุเรนทร์ที่เพื่อนสมาชิกลงไว้มาลงใหม่นะครับ..........
พระสมเด็จบึงพระยาสุเรนทร์ ถือกำเนิดที่ วัดพระยาสุเรนทร์ ตำบลสามวา อำเภอมีนบุรีเดิมวัดนี้ชื่อ "วัดบึงพระยาสุเรนทร์" ด้วยบริเวณใกล้ๆ ที่ตั้งวัดมีบึงขนาดใหญ่แต่ขณะนี้ทางวัดได้ดำเนินการถมบึงดังกล่าวแล้ว จนไม่สามารถทราบว่า ในอดีตเคยมีบึงใหญ่มาก่อน คือ ถมดินจนสูงเสมอ พื้นโดยรอบ นอกจากนี้ยังเปลี่ยนชื่อวัดเป็น "วัดพระยาสุเรนทร์" โดยตัดคำว่า "บึง " ออกไป แต่อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านละแวกนั้นตลอดจนนักสะสมพระเครื่องทุกระดับชั้น ก็ยังคงเรียกชื่อ "วัดบึงพระยาสุเรนทร์" เหมือนเดิมเพราะคุ้นหู และติดปากมาโดยตลอด
ประวัติพระยาสุเรนทร์
ท่านเจ้าพระยาสุเรนทร์ราชเสนา (พึ่ง สิงหเสนี) บุตรของ ท่านพระยามุขมนตรี และเป็นหลานของท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์สิงหเสนี) ต้นตระกูลสิงหเสนี รับราชการทหารในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็น"พระยา" ถือศักดินา 4,000 ไร่ จึงออกไปจับจองที่ตามศักดินา ณ อาณาบริเวณอันเป็นที่ตั้งวัดบึงพระยาสุเรนทร์ในขณะนี้
เมื่อจับจองที่ตามศักดินาแล้วท่านได้ปลูกบ้านบริเวณบ้านฉาง ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านใต้ของวัดประมาณ 10 เส้น โดยเว้นช่วงที่ตรงบึงขนาดใหญ่ หรือบึงพระยาสุเรนทร์ จำนวน 48 ไร่ ไว้ ต่อมาท่านได้สร้างวัดขึ้น คือ วัดบึงพระยาสุเรนทร์ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ. 2431 ในชีวิตบั้นปลายของ เจ้าพระยาสุเรนทร์ได้หันเหเข้ามาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดบึงพระยาสุเรนทร์ที่ท่านได้สร้างไว้ และอุปถัมภ์เสมอมา โดยถือศีลและบวชเณรด้วย ( เหตุที่ท่านไม่อุปสมบทเป็นพระ เพราะมีโรคประจำตัว คือริดสีดวง คนโบราณเขาถือ)
ใครสร้าง พระสมเด็จ บึงพระยาสุเรนทร์ ?
หลังจาก เจ้าพระยาสุเรนทร์ สร้างวัดบึงพระนาสุเรนทร์และได้บรรพชาเป็นสามเณรท่านได้สร้างพระพิมพ์ เพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาตามคตินิยมแต่โบราณแล้วนำส่วนหนึ่งแจกแก่ผู้ต้องการนำไปบูชาติดตัวนอกนั้นบรรจุในองค์พระเจดีย์ข้างบึงพระยาสุเรนทร์และได้ฐานชุกชีพพระประธานในพระอุโบสถ
ท่านอธิการดวง สิงหเสนี เจ้าอาวาสวัดบึงพระยาสุเรนทร์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของ เจ้าพระยาสุเรนทร์ ได้สืบเสาะเกี่ยวกับประวัติการสร้างพระสมเด็จบึงพระยาสุเรนทร์ โดยสอบถามจากโยมบิดา (บุตรชายคนโต ของเจ้าพระยาสุเรนทร์) และผู้เฒ่าผู้แก่ที่ทันยุคทันสมัย นั้น พอสรุปได้ว่า พระยาสุเรนทร์เดิมทีเป็นผู้สนใจวิชาอาคม และได้รับการถ่ายทอดการปลุกเสกน้ำมันมนต์วิเศษของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (ปู่) สำหรับออกทัพจับศึกให้ผิวหนังคงทนต่อศาสตราวุธทั้งปวงและก่อนที่ท่านจะบรรพชาเป็นสามเณร ยังสืบหาพระเกจิอาจารย์จอมขมังเวท ขอถ่ายทอดวิชาอาคมแขนงต่าง ๆ รวมทั้งขอผงวิเศษ และว่านศักดิ์สิทธิ์นานาชนิดเก็บรวบรวมรักษาไว้กระทั่งบรรพชาเป็นสามเณรได้ดำริสร้างพระพิมพ์ขึ้นด้วยตนเองโดยดำเนินการด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการแกะพิมพ์พระด้วยงาช้าง,ผสมผงกดพิมพ์พระ และการปลุกเสก
กรุแตก
พระสมเด็จบึงพระยาสุเรนทร์ แตกกรุเป็นปฐมครั้งแรกเมื่อคราวสงครามอินโดจีน ปี พ.ศ. 2485 ขณะนั้น โยมชุ่ม สิงหเสนี (โยมบิดาของท่านอธิการดวง) และท่านอาจารย์กร่ำเจ้าอาวาสสมัยนั้นได้นำพระที่พบภายในองค์พระเจดีย์มอบให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แจกแก่ทหารจำนวนสามถุงใหญ่ ประมาณว่าหลายพันองค์
ต่อมาในปี พ.ศ. 2512 ทางวัดได้ทำการเปิดกรุอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ที่ใต้ฐานชุกชีพพระประธานในพระอุโบสถ และได้นำพระออกจำหน่ายให้ประชาชนผู้เสื่อมใสศรัทธาทำบุญบูชาองค์ละ 500 บาท เพื่อนำปัจจัยสมทบทุนบูรณะปฏิสังขรณ์เสนาสนะให้รุ่งเรืองวัฒนาสืบไป
แบบพิมพ์
พระสมเด็จบึงพระยาสุเรนทร์ที่พบ และเล่นหากันเป็นมาตรฐานสากลยอมรับกันนั้นมีอยู่ 5 พิมพ์ด้วยกัน คือ
1. พิมพ์สมเด็จฐาน 3 ชั้น
2. พิมพ์สมเด็จฐานแซม
3. พิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์
4. พิมพ์พระเจ้า 5 พระองค์
5. พิมพ์สมเด็จเล็บมือ หรือบางท่านเรียก"พิมพ์ซุ้มกอ"
นอกจากทั้ง 5 พิมพ์ดังกล่าวแล้วท่านผู้รู้ (เซียน) บางท่านยังกล่าวว่า มีพิมพ์พิเศษอีกด้วยคือ พิมพ์ห้า เหลี่ยม และพิมพ์ทรงเจดีย์ แต่ผู้เขียนเองก็ยังไม่เคยเห็นสักองค์ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังมาอีกทอดหนึ่งดังนั้นไม่ขอ ยืนยันแน่ชัด
เนื้อพระ
มีเฉพาะเนื้อผงเพียงเนื้อเดียวเท่านั้นเนื้อละเอียดปานกลาง และแน่นแกร่งพอสมควร สีเขียวอมเทา ซึ่งสีนี้ละม้ายคล้ายคลึงกับ พระสมเด็จปิลันทน์ วัดระฆังและพระกรุวัดท้ายตลาด แต่ไม่ถึงกับเหมือนเลยทีเดียวบางองค์สีเขียวอ่อน บางองค์สีเขียวเข้มไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพที่ผ่านการห้อยบูชาหรือสัมผัสจับต้องมากน้อยเพียงไร เพราะเนื้อพระหากสัมผัสเหงื่อ หรือจับต้องบ่อย ๆ จุดนูน หรือจุดที่ต้องสัมผัส เช่น ซุ้ม , พระพักตร์,ฐาน ฯลฯ เนื้อจะจัดเข้มแลดูมันฉ่ำใสคล้ายเนื้อ "ผงน้ำมัน" ทำให้สีพลอยเข้มจัดไปด้วย
จุดสังเกตอย่างหนึ่งที่ควรจดจำก็คือ เนื้อพระมักจะลั่นร้าวแตกปริ (ในองค์ที่ยังไม่ผ่านการใช้) แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่อย่างชัดเจนแต่ในองค์ที่ไม่เห็นรอยสั่นร้าวแตกปริอาจเป็นเพราะคราบกรุ และขี้กรุบดบังไว้นอกจากนี้น้ำหนักพระจะมากไม่สมดุล กับขนาดด้วย
คราบกรุ - ขี้กรุ
สำหรับ พระที่แตกกรุเมื่อคราวสงครามอินโดจีน คือ พบที่องค์พระเจดีย์ข้างบึงใหญ่ จะมีคราบกรุหรือดินขี้กรุน้อย ถ้ามีก็จับเกาะ ติดแค่ประปราย ไม่มากนัก ผิดกับพระที่ขึ้นจากใต้ฐานชุกชีพพระประธานในพระอุโบสถซึ่งมีคราบกรุขี้กรุขาวนวลจับเกาะทั่วทั้งองค์ แต่คราบนี้จะเกาะเพียงแค่หลวม ๆ ไม่ติดแน่น
ด้านหลัง
ส่วนมากเท่าที่พบ จะมีรอยอักขระเหล็กจารอ่านได้ว่า "ติ ติ อุ นิ" อยู่ภายในเส้นยันต์ล้อมรอบ และอาจมีอักขระตัวอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น อุณาโลม เป็นต้น แต่บางองค์ด้านหลังเรียบไม่ปรากฏเหล็กจารก็มีเช่นกัน แต่น้อยมาก และจะด้วยความนิยมกว่า พระสมเด็จบึงพระยาสุเรนทร์มีการปลอมแปลงเลียนแบบมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ฝีมือยังไม่วิวัฒนาการก้าวไกลถึงขนาดใกล้เคียงทั้งนี้เพราะความนิยม และราคาเล่นหายังไม่กระเดื้องแต่ต่อไปไม่แน่หากพระกรุนี้สนนราคาขึ้นหลักหลาย ๆ พันบาท หรือองค์หนึ่งเป็นหมื่นบาทละก็ ของเก๊ฝีมือระดับพระกาฬย่อมทะลักออกมาอย่างแน่นอนที่สุด
การพิจารณาความแท้ - เทียม
1. พิมพ์
ท่านผู้อ่านโปรดสังเกตจากภาพประกอบบทความนี้พระองค์ซึ่งนำภาพมาลงให้ทัศนากันล้วนแต่เป็นพระชนะเลิศงานประกวดทุกองค์ แต่ความสวยงามหาได้เลิศเลอจัดจ้านเท่าใดนักแสดงว่าพระกรุนี้หย่อนงามมาแต่เดิม แต่ของเก๊เลียนแบบนั้นมักจะสวยงามคมชัด หาตำหนิแทบไม่เจอ รอยกะเทาะแหว่งมุมนิดเดียวก็ไม่มี ซึ่งผิดจากธรรมชาติพระเก่าพระกรุซึ่งต้องมีรอยตำหนิหรือกะเทาะให้เห็นบ้างไม่มากก็น้อยประเภทที่เนี๊ยบ 100 เปอร์เซ็นต์ หาทำยายากขอรับ
2. ขนาด
พระเก๊มักจะมีขนาดเล็ก หรือย่อมกว่าเล็กน้อย หากมองเผิน ๆ อาจไม่นึกถึงเพราะใกล้เคียงกันมากแต่ถ้ามีตัวอย่างเทียบ หรือหมั่นจดจำด้วยสายตาตลอดจนความรู้สึกจะสะดุดตา และหยุดคิดทันที ถ้าหากหดหรือเล็กกว่าปกติ มักจะเป็น " ของเก๊ " ด้วยการถอดแบบพิมพ์จากพระแท้มาเป็นแบบนั่นเอง
3. รอยเหล็กจาร
พระแท้ด้านหลังรอยเหล็กจารจะเขียนเป็นเส้นเล็ก แต่จะหวัด ๆ ไม่ปราณีบรรจง ผิดกับด้านหลังของเก๊ จะบรรจงเขียนซะสวยงาม เพื่อดึงดูดความสนใจ และที่สำคัญที่ร่องอักขระจารจะต้องมีคราบกรุ หรือขี้กรุเกาะติดให้เห็นบ้าง ส่วนของเก๊มักจะลืมถึงจุดนี้ มักจะเน้นคราบที่ด้านหน้าเท่านั้น
4. สี และรอยปริ
เนื้อพระของแท้มีจะออกเขียวอมเทาในองค์เดียวกันสีก็จะเหลื่อมล้ำกันบ้างเล็กน้อย เช่น ช่วงบนเข้ม ช่วงล่างอ่อน ผิดกับของเก๊สีเนื้อเป็นสีเดียวกันตลอดทั้งองค์นอกจากสีพระที่ควรจะศึกษาแล้ว ควรศึกษารอยปริแตกลั่นร้าวด้วย เพราะของเก๊ยังทำไม่เหมือนกับของแท้
พระสมเด็จบึงพระยาสุเรนทร์ มีพุทธคุณโดดเด่นในด้านคงกระพันชาตรีมีชื่อเสียงโด่งดังเกรียวกราวมากในสมัยสงครามอินโดจีน นอกจากนี้ยังเข้มขลังไปด้วย คุณวิเศษ ในด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ มหาโชคลาภด้วยเช่นกัน
ความนิยม
เมื่อหลายสิบปีก่อน พระสมเด็จบึงพระยาสุเรนทร์ นักเลงพระทั้งหลายเล่นหากันมาก แต่ราคาค่านิยมก็ไม่พุ่งพรวดเหมือนกับสำนักอื่น ๆ ที่เชียร์กันขนาดใหญ่ มาบัดนี้ก็เช่นกัน ราคาและความนิยมก็ยังไม่กระเตื้องเหมือนเช่นเคยคือยังเล่นหาอยู่แต่หลัก " พัน " ต้น ๆ ซึ่งเมื่อเทียบถึงความเก่า ซึ่งสร้างไว้ประมาณ 100 ปี ประกอบกับคุณวิเศษความศักดิ์สิทธิ์แล้วนับว่าพระกรุนี้น่าเก็บสะสม และน่าบูชามาก
ผมคัดลอกข้อมูลจาก http://www.g-pra.com/webboard/show.php?No=82335
ขอบคุณท่านมีสวัสดิ์ด้วยครับ |
|