(N)
สมัยเมื่อผมเรียนชั้นประถม
เมื่อก่อนอยู่บ้านนอกเรียนโรงเรียนวัด วัดหยุดนี่คือวันโกนกับวันพระ ไม่ได้หยุดเสาร์อาทิตย์แบบปัจจุบัน
แบบบางทีแต่งตัวไปโรงเรียน ถึงโรงเรียนอ้าวไม่มีใครมาเลย มาดูอีกทีอ้าววันโกนนี่หว่า 555
การเรียนสมัยนั้นตอนผมอยู่ ป.1 จำได้ว่าใช้กระดานชนวน ดินสอหินในการขีดเขียน
คุณครูที่สอนก็มีเทคนิคให้รางวัลกับนักเรียนที่เขียนดี ลายมือสวยด้วยการให้ดินสอหินเป็นรางวัล
ไม่ได้ชมตัวเองนะ ผมเนี่ยไม่เคยต้องซื้อดินสอหินในระหว่างเรียน ป.1 เลย
ขึ้น ป.2 ถึงได้ใช้ดินสอดำและสมุด ในการขีดเขียน จนถึง ป.4 โน่น ดินสอยอดฮิตสมัยก่อนก็ต้องตรายีราฟ ที่พอใช้ได้หน่อย
ถ้าใช้ยี่ห้ออื่นนี่ แท่งนึงหลาวกว่าจะได้ใช้นี่เหลือสั้นจึ๊ดเลย
พอขึ้น ป.5 ก็จะได้เริ่มใช้ปากกา การใช้ปากกาก็จะมีแบบ ลูกลื่น หมึกซึม และปากกาอีกอย่างที่นักเรียนต้องหัดเขียนให้ได้คือ ปากกาคอแร้ง
ปากกาคอแร้งก็จะเป็นด้ามไม้ ติดปลายปากกาไว้ ใช้จุ่มหมึก แล้วเอามาเขียน เริ่มหัดใหม่ๆนี่ เลอะเทอะเปรอะเปื้อนกันน่าดู
วัตถุที่ใช้ซับน้ำหมึกยอดฮิต ก็คือชอล์คที่ครูใช้เขียนกระดานดำนั่นเอง
ไอ้เจ้าปากกาคอแร้งนี่ ครูจะเอามาสอนและบังคับให้เขียนในวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งสมัยก่อนที่เรียน ก็ต้องเขียนและฝึกทั้ง 4 แบบพิมพ์
มีแบบพิมพ์ใหญ่ เขียนใหญ่ พิมพ์เล็ก เขียนเล็ก ไม่รู้ปัจจุบันนี้นักเรียนยังได้เรียนและหัดเขียนทั้ง 4 แบบพิมพ์อยู่หรือป่าว
ไอ้เจ้าปากกาคอแร้งนี้ก็จะถูกใช้ให้นักเรียนมาฝึกหัดเขียนตัวเขียนใหญ่ และเขียนเล็ก เทคนิคในการเขียนครูก็จะพร่ำบอกว่า
ต้องเขียนและลากเส้นแบบ ขึ้นเบา ลงหนัก ฝึกไปสักระยะจนชำนาญใครที่เขียนเก่งๆ ก็จะเขียนได้สวยงามมากทีเดียว
ปัจจุบันนักเรียนชั้น ป.5 คงไม่มีใครได้เขียนปากกาคอแร้งแล้วเน๊อะ
เมื่อก่อนเด็กๆตอนเรียนก็สงสัยว่า ครูจะบังคับให้เขียนเจ้าปากกาคอแร้งนี่ไปทำไม ปากกาลูกลื่นก็มีสะดวกสะบายกว่าตั้งเยอะ
โดยเฉพาะลูกลื่นยี่ห้อ Big นี่นิยมสุด
อีกวิชาที่น่าเบื่อ เป็นวิชาในหมวดภาษาไทย ที่แยกหมวดวิชาในการเรียนซึ่งครูจะสอนในหัวข้อวิชาที่ชื่อว่า "อ่านเอาเรื่อง"
ซึ่งวิชานี้ ก็ต้องประกอบไปด้วยการอ่านๆๆๆๆๆๆๆๆ อ่านให้เข้าใจ เมื่อครูถามในเรื่องที่อ่านก็ต้องตอบให้ได้
และก็จะมีการแต่งเรื่อง ซึ่งครูจะให้หัวข้อมา แล้วก็ต้องเขียนเรื่องราวให้เป็นเรื่องตามหัวข้อ เรียกวิชานี้ว่า "วิชาเรียงความ"
ซึ่งทั้งสองวิชานี้มันน่าเบื่อมากๆทั้งอ่านทั้งเขียนแบบมากๆ อ่านยังไงให้เข้าใจเรื่องราวที่สุด เขียนอย่างไรให้เป็นเรื่องราวน่าสนใจ
แต่ถึงจะเบื่อแค่ไหนก็ต้องฝึกต้องทำให้ได้ เพราะครูสมัยก่อนบอกเลยดุมาก ไม่ได้ใจดีแบบครูเจ๋งจริงประธาน ของพวกเราหรอก
มานึกๆดูนักเรียนรุ่นผมเนี่ย ถูกฝึกฝนมาให้อ่าน ทำความเข้าใจ มาตั้งแต่เด็ก
สมัยก่อนสื่อบันเทิงที่จะหาความสุขได้ง่ายที่สุดก็คงจะเป็น วิทยุ และการอ่านหนังสือนี่แหละ
จนล่วงเลยมาถึงยุคนี้สมัยนี้ตัวเองก็ยังวนว่ายอยู่กับการอ่านอยู่ดี การอ่านของผมเมื่อได้อ่านแล้ว จะต้องทำความเข้าใจในข้อความนั้นๆให้ได้ด้วย
ไม่อย่างนั้นก็จะอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าจะเข้าใจ ผมจะไม่อ่านแบบผ่านๆให้จบๆไป เพราะหากอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็จะมานั่งถามตัวเองว่า จะเสียเวลาอ่านไปทำไม
อันนี้พูดถึงข้อความง่ายๆ เรื่องราวง่ายๆ ที่มันมีคำตอบอยู่ในโจทย์สมบูรณ์แบบแล้วนะ แต่หากอ่านแล้วมันเป็นปริศนา ก็คงต้องไขว่คว้าหาถามผู้รู้ให้เข้าใจต่อไป
ซึ่งเมื่อย้อนเรื่องราวดูแล้ว ไอ้วิชา "อ่านเอาเรื่อง" กับ "วิชาเรียงความ" ที่ผมเรียนมาสมัยอยู่ชั้นประถม มันก็ช่วยผมได้เยอะอยู่เหมือนกัน
เพราะไม่อย่างนั้นผมอาจต้องเป็นเหมือนคนสมัยใหม่ในปัจจบันหลายๆท่าน ที่เบื่อตัวหนังสือ ไม่ชอบอ่าน อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ เป็นแน่เลย.......
ขอบคุณครู พยุง, ครูฑูล, ครูผัน, ที่เคียวเข๊ญสั่งสอนผมมา ทำให้ผม "อ่านเอาเรื่อง และเรียงความ"ได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ |