ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : พระบรมราโชวาท “รู้ รัก สามัคคี”

(D)
พระบรมราโชวาท “รู้ รัก สามัคคี”<br>
พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์<br>
<br>
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เคยทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทให้แก่ผู้ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีหนึ่ง ณ ศาลาดุสิตาลัย เป็นการเตือนสติ เป็นการชี้แนะถึงเทคนิคการทำงานร่วมกัน โดยได้รับสั่งเป็นประโยคสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งกว้างขวางว่า "รู้ รัก สามัคคี"<br>
<br>
หากจะหยิบยกนำเอาประโยคสั้นๆ ดังกล่าวมาพิจารณาวิเคราะห์ขยายความออกไปในเชิงรัฐศาสตร์ น่าจะได้ใจความว่า<br>
<br>
๑. "รู้" คือ ปัญญา มีความรู้ความเข้าใจในงานที่จะต้องทำ<br>
<br>
๒. "รัก" คือ การมีความรัก ความพอใจในงานที่จะต้องทำนั้น<br>
<br>
๓. "สามัคคี" คือ การร่วมกันทำงานด้วยความจริงใจ อย่างพร้อมเพรียง กัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง อิจฉาริษยากัน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ทำงานนั้น เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมอย่างแท้จริง ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน เพื่อเข้าพกเข้าห่อของตน หรือ ญาติมิตรพรรคพวกของตน<br>
<br>
อย่างไรก็ตาม หากได้นำความหมายของคำทั้งสามดังกล่าวข้างต้นมาศึกษาวิเคราะห์ในเชิงพุทธศาสตร์ ซึ่งอยู่บนรากฐานของความเป็นจริง ที่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ด้วยเหตุ และผล ทุกกาลเวลา ดังคำศัพท์บาลีที่ว่า "อะกาลิโก เอหิปัสสิกโก" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในบทสวดมนต์สรรเสริญพระธรรมคุณคือ "สวากขตา ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิกโก โอปะนะยิโก....." จะได้เนื้อหาสาระเป็นรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้<br>
<br>
คำว่า "ปัญญา" ซึ่งตรงกับคำว่า "รู้" นั้นเป็นคุณสมบัติประจำตัวอย่างหนึ่งของมนุษย์ จัดเป็นนามธรรม มีสมองซึ่งเป็นรูปธรรมเป็นฐานกำเนิด การทำงานของสมองที่กระตุ้นให้จิตเกิดปัญญา หรือมีความรู้ในเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านทวาร หรือ อายาตนะทั้งหกเข้ามา ผู้ที่มีอวัยวะส่วนสมองไม่สมบูรณ์เนื่องจากมีการเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ไม่สอดคล้องกับอายุวัยเท่าที่ควร จึงถูกเรียกว่า เป็นคนปัญญาอ่อน หรือ ผู้ที่มีอวัยวะส่วนสมองเสื่อมสภาพไปตามอายุวัย จะมีอาการหลงๆ ลืมๆ สติปัญญาไม่แตกฉานเช่นแต่ก่อน ทางการแพทย์เรียกว่า เป็นโรคความจำเสื่อม หรือ "อัลไซเมอร์"<br>
<br>
ในคัมภีร์พระวิสุทธิมรรค ท่านได้จำแนกลักษณะของปัญญาไว้ ๓ ระดับ หรือที่ เรียกว่า "ปัญญา ๓" ดังต่อไปนี้<br>
<br>
๑. สัญญา รู้จัก เป็นความรู้ผิวเผิน คือ รู้แต่เพียงสิ่งที่มากระทบ สิ่งที่มาได้ประสบทางอายาตนะว่า เป็นอะไรอันหนึ่ง แต่ไม่รู้ชัดว่า เป็นอะไรแน่ เป็นวิวัฒนาการทางสมองในชั้นต้นๆ ของมนุษย์ในวัยทารกที่เพิ่งจะรู้ความ มีอายุระหว่าง ๓ เดือน ถึง ๓ ปี เมื่อเห็นธนบัตร อย่างดีจะรู้เพียงว่า เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งที่มีรูปลักษณะแบน สี่เหลี่ยมเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่า เป็นเงินตราที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้<br>
<br>
๒. วิญญาณ รู้แจ้ง คือ รู้ได้ดีกว่าข้อแรก เป็นวิวัฒนาการทางสมองของมนุษย์ในขั้นต่อมาซึ่งมีอายุตั้งแต่ ๓ ปีขึ้นไปจนถึง ๑๕ ปี เป็นปัญญาที่เกิดมาจากการได้รับการอบรม สั่งสอนของบิดามารดา หรือ โดยการศึกษาจากโรงเรียนในระดับต้นๆ เป็นความรู้ระดับชาวบ้าน ทั่วไป เมื่อเห็นธนบัตร ก็พอจะรู้ความว่า เป็นเงินตราที่จะนำมาจับจ่ายใช้สอยได้ แต่ไม่สามารถจะจำแนกแยกแยะได้ว่า เป็นธนบัตรดี หรือธนบัตรปลอม<br>
<br>
๓. ปัญญา รู้ทั่ว คือ รู้ได้อย่างละเอียดว่า สิ่งนั้นๆ เป็นอะไร มีแหล่งกำเนิดมาอย่างไร ใครเป็นคนทำ ใครเป็นเจ้าของ เป็นวิวัฒนาการทางสมองของมนุษย์สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง อันเป็นผลมาจากการศึกษาและประสบการณ์ของชีวิตที่เพิ่มขึ้นในวัยอายุที่ผ่านมา เมื่อเห็นธนบัตร จะรู้ได้ทันทีว่า เป็นธนบัตรปลอมหรือไม่ เป็นเงินตราสกุลใด บ่อเกิดของปัญญาของมนุษย์มี ๓ อย่าง คือ<br>
<br>
๑. มาจากการฟังที่เรียกว่า "สุตมยปัญญา" เป็นปัญญาที่เกิดจากการเล่าเรียน หรือถ่ายทอดกันมา<br>
<br>
๒. มาจากการคิดพิจารณาหาเหตุผลด้วยตนเอง ที่เรียกว่า "จินตามยปัญญา"<br>
<br>
๓. มาจากการสร้างขึ้นมา ทำให้เจริญพัฒนาขึ้นมาที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" เป็นปัญญาที่เกิดจากการใช้สมองในการทำกิจกรรมต่างๆ คือ การฟัง ซักถาม สอบค้น การสนทนา การถกเถียง อภิปราย การสังเกตดู เฝ้าดู ดูอย่างพินิจ การพิจารณาโดยแยบคาย การชั่งเหตุผล การไตร่ตรอง ตรวจสอบ ทดสอบ สอบสวน ทดลอง เป็นต้น<br>
<br>
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับเรื่องวิธีการสร้างปัญญา ไว้ดังนี้<br>
<br>
"การเรียนรู้ทุกอย่างนั้น จะต้องเรียนความรู้ของผู้อื่นก่อนเป็นเบื้องต้น เมื่อรู้แล้วจึงมาพิจารณาด้วยเหตุผลให้เห็นเด่นชัดละเอียดลงไปอีกชั้นหนึ่ง ให้ถึงเนื้อหาสาระ จึงจะอ้างอิงเป็นหลักฐานได้ ไม่ใช่เป็นความรู้อย่างเลื่อนลอย แต่แม้ถึงขั้นที่สองแล้ว ก็ยังถือว่า นำมาใช้ให้ได้ผลจริงๆ ไม่ได้ ยังจำเป็นจะต้องนำความรู้นั้นมาปฏิบัติฝึกฝนอีก เพื่อให้ผลประจักษ์แจ้ง และเกิดความคล่องแคล่วชำนิชำนาญขึ้นพร้อมกันไปด้วย จึงจะนำไปใช้ปฏิบัติงานให้เกิดผลได้ไม่ ขัดข้อง<br>
<br>
" คำว่า "รู้ หรือ ปัญญา" นี้ จึงเป็นแกนนำที่ทำให้บรรลุประโยชน์แก่ตนโดยเฉพาะ เน้นการพึ่งตนเองได้ในทุกระดับ เพื่อไม่ต้องเป็นภาระของผู้อื่น หรือ ถ่วงหมู่คณะ และเพื่อพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่น รวมทั้งส่วนรวม<br>
<br>
ส่วนคำว่า "รัก" คือ การมีความรัก ความพอใจในงานที่จะต้องทำ นั้น ตรงกับคำพระที่ว่า "ฉันทะ" ซึ่งเป็นองค์ธรรมหนึ่งของ "อิทธิบาท ๔ " ซึ่งเป็นคุณธรรมที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ มีองค์ประกอบ ๔ ประการ คือ<br>
<br>
๑. ฉันทะ คือ มีความต้องการ มีใจรัก มีความพอใจในงานที่จะต้องทำ มีใจปรารถนาอยากให้งานที่จะทำ หรือกำลังทำ ประสบความสำเร็จบังเกิดเป็นรูปธรรมให้ได้<br>
<br>
๒. วิริยะ คือ มีความพากเพียรขยันขันแข็ง มีความตั้งใจจริงที่จะทำงานที่รักนั้นให้สำเร็จ ไม่ท้อถอย เบื่อหน่าย เมื่อมีปัญหาอุปสรรค<br>
<br>
๓. จิตตะ คือ มีความตั้งใจจริง มีจิตฝักใฝ่จดจ่อ หมั่นเฝ้าสังเกตเรื่องราวข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตนรักอยู่อย่างใกล้ชิดทุกระยะ<br>
<br>
๔. วิมังสา คือ รู้จักใช้ปัญญาไตร่ตรอง เฝ้าตรวจตรา ตรวจสอบงานที่ตนกระทำด้วยเหตุด้วยผล<br>
<br>
เมื่อใดก็ตาม เมื่อมีความรัก ความพอใจในงานที่ได้รับมอบหมายให้กระทำก็ดี โดยความริเริ่มของตนเองก็ดี ความพากเพียร คือ วิริยะ ความตั้งใจจริง มีจิตใจฝักใฝ่จดจ่อ คือ จิตตะ และการทุ่มเทความรู้สติปัญญาเพื่อให้งานนั้นประสบความสำเร็จ คือ วิมังสา ย่อมเกิดขึ้นมาเป็นเงาตามตัว<br>
<br>
คำว่า "รัก" ตามพระบรมราโชวาทนั้น มิได้จำกัดอยู่เพียงนี้ ยังมีความหมายขยายความออกไปเพิ่มเติม รวมไปถึง ความรักแบบพรหม คือ ความรักที่มีความเมตตา กรุณา เป็นพื้นฐาน นำไปสู่ความปรารถนาที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลสนับสนุนให้บุคคลอื่นบรรลุประโยชน์ หรือเข้าถึงจุดหมายของชีวิตของเขาในระดับต่างๆ ประคับประคองให้เขาสามารถพึ่งตนเองได้<br>
<br>
สำหรับความว่า "สามัคคี" นั้น เป็นองค์ธรรมสำคัญที่จำเป็นต้องมีอยู่ในหมู่คณะบุคคล เป็นแกนนำที่ทำให้บรรลุประโยชน์ทั้งให้แก่ตน ให้แก่บุคคลอื่น และให้แก่หมู่คณะ แก่สังคม หรือแก่ชุมชนอันเป็นส่วนรวมได้ทั้งสามประการในคราวเดียวกัน เป็นพฤติกรรมที่เกื้อกูล พึงประสงค์ ที่สังคมพึงต้องการโดยทั่วไป<br>
<br>
ตามหลักพระพุทธศาสนา ท่านได้แสดงให้เห็นถึงผลที่จะได้รับจากสามัคคีธรรม ไว้มีสาระสำคัญว่า เมื่อความสามัคคีเกิดขึ้นในหมู่คณะ ชุมชนใด ย่อมจะเกิดความรัก มีแต่ความ สุขความบันเทิง ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก แก่งแย่งแข่งดี ร่วมกันช่วยเหลือทำงานเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างพร้อมเพรียงกัน<br>
<br>
ดังนั้น พระบรมราโชวาทด้วยประโยคสั้นว่า "รู้ รัก สามัคคี" เมื่อได้นำมาอธิบายขยายความตามหลักวิชาพุทธศาสตร์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว จะเห็นได้อย่างแน่ชัดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งพระทัยที่จะอบรมสั่งสอนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรู้จักเข้าใจใน "เทคนิคการทำงานร่วมกัน" นั่นเอง<br>
*********************<br>
<br>
เรียบเรียง ณ วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๒<br>
<br>
พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์<br>
<br>
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เคยทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทให้แก่ผู้ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีหนึ่ง ณ ศาลาดุสิตาลัย เป็นการเตือนสติ เป็นการชี้แนะถึงเทคนิคการทำงานร่วมกัน โดยได้รับสั่งเป็นประโยคสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งกว้างขวางว่า "รู้ รัก สามัคคี"<br>
<br>
หากจะหยิบยกนำเอาประโยคสั้นๆ ดังกล่าวมาพิจารณาวิเคราะห์ขยายความออกไปในเชิงรัฐศาสตร์ น่าจะได้ใจความว่า<br>
<br>
๑. "รู้" คือ ปัญญา มีความรู้ความเข้าใจในงานที่จะต้องทำ<br>
<br>
๒. "รัก" คือ การมีความรัก ความพอใจในงานที่จะต้องทำนั้น<br>
<br>
๓. "สามัคคี" คือ การร่วมกันทำงานด้วยความจริงใจ อย่างพร้อมเพรียง กัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง อิจฉาริษยากัน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ทำงานนั้น เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมอย่างแท้จริง ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน เพื่อเข้าพกเข้าห่อของตน หรือ ญาติมิตรพรรคพวกของตน<br>
<br>
อย่างไรก็ตาม หากได้นำความหมายของคำทั้งสามดังกล่าวข้างต้นมาศึกษาวิเคราะห์ในเชิงพุทธศาสตร์ ซึ่งอยู่บนรากฐานของความเป็นจริง ที่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ด้วยเหตุ และผล ทุกกาลเวลา ดังคำศัพท์บาลีที่ว่า "อะกาลิโก เอหิปัสสิกโก" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในบทสวดมนต์สรรเสริญพระธรรมคุณคือ "สวากขตา ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิกโก โอปะนะยิโก....." จะได้เนื้อหาสาระเป็นรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้<br>
<br>
คำว่า "ปัญญา" ซึ่งตรงกับคำว่า "รู้" นั้นเป็นคุณสมบัติประจำตัวอย่างหนึ่งของมนุษย์ จัดเป็นนามธรรม มีสมองซึ่งเป็นรูปธรรมเป็นฐานกำเนิด การทำงานของสมองที่กระตุ้นให้จิตเกิดปัญญา หรือมีความรู้ในเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านทวาร หรือ อายาตนะทั้งหกเข้ามา ผู้ที่มีอวัยวะส่วนสมองไม่สมบูรณ์เนื่องจากมีการเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ไม่สอดคล้องกับอายุวัยเท่าที่ควร จึงถูกเรียกว่า เป็นคนปัญญาอ่อน หรือ ผู้ที่มีอวัยวะส่วนสมองเสื่อมสภาพไปตามอายุวัย จะมีอาการหลงๆ ลืมๆ สติปัญญาไม่แตกฉานเช่นแต่ก่อน ทางการแพทย์เรียกว่า เป็นโรคความจำเสื่อม หรือ "อัลไซเมอร์"<br>
<br>
ในคัมภีร์พระวิสุทธิมรรค ท่านได้จำแนกลักษณะของปัญญาไว้ ๓ ระดับ หรือที่ เรียกว่า "ปัญญา ๓" ดังต่อไปนี้<br>
<br>
๑. สัญญา รู้จัก เป็นความรู้ผิวเผิน คือ รู้แต่เพียงสิ่งที่มากระทบ สิ่งที่มาได้ประสบทางอายาตนะว่า เป็นอะไรอันหนึ่ง แต่ไม่รู้ชัดว่า เป็นอะไรแน่ เป็นวิวัฒนาการทางสมองในชั้นต้นๆ ของมนุษย์ในวัยทารกที่เพิ่งจะรู้ความ มีอายุระหว่าง ๓ เดือน ถึง ๓ ปี เมื่อเห็นธนบัตร อย่างดีจะรู้เพียงว่า เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งที่มีรูปลักษณะแบน สี่เหลี่ยมเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่า เป็นเงินตราที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้<br>
<br>
๒. วิญญาณ รู้แจ้ง คือ รู้ได้ดีกว่าข้อแรก เป็นวิวัฒนาการทางสมองของมนุษย์ในขั้นต่อมาซึ่งมีอายุตั้งแต่ ๓ ปีขึ้นไปจนถึง ๑๕ ปี เป็นปัญญาที่เกิดมาจากการได้รับการอบรม สั่งสอนของบิดามารดา หรือ โดยการศึกษาจากโรงเรียนในระดับต้นๆ เป็นความรู้ระดับชาวบ้าน ทั่วไป เมื่อเห็นธนบัตร ก็พอจะรู้ความว่า เป็นเงินตราที่จะนำมาจับจ่ายใช้สอยได้ แต่ไม่สามารถจะจำแนกแยกแยะได้ว่า เป็นธนบัตรดี หรือธนบัตรปลอม<br>
<br>
๓. ปัญญา รู้ทั่ว คือ รู้ได้อย่างละเอียดว่า สิ่งนั้นๆ เป็นอะไร มีแหล่งกำเนิดมาอย่างไร ใครเป็นคนทำ ใครเป็นเจ้าของ เป็นวิวัฒนาการทางสมองของมนุษย์สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง อันเป็นผลมาจากการศึกษาและประสบการณ์ของชีวิตที่เพิ่มขึ้นในวัยอายุที่ผ่านมา เมื่อเห็นธนบัตร จะรู้ได้ทันทีว่า เป็นธนบัตรปลอมหรือไม่ เป็นเงินตราสกุลใด บ่อเกิดของปัญญาของมนุษย์มี ๓ อย่าง คือ<br>
<br>
๑. มาจากการฟังที่เรียกว่า "สุตมยปัญญา" เป็นปัญญาที่เกิดจากการเล่าเรียน หรือถ่ายทอดกันมา<br>
<br>
๒. มาจากการคิดพิจารณาหาเหตุผลด้วยตนเอง ที่เรียกว่า "จินตามยปัญญา"<br>
<br>
๓. มาจากการสร้างขึ้นมา ทำให้เจริญพัฒนาขึ้นมาที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" เป็นปัญญาที่เกิดจากการใช้สมองในการทำกิจกรรมต่างๆ คือ การฟัง ซักถาม สอบค้น การสนทนา การถกเถียง อภิปราย การสังเกตดู เฝ้าดู ดูอย่างพินิจ การพิจารณาโดยแยบคาย การชั่งเหตุผล การไตร่ตรอง ตรวจสอบ ทดสอบ สอบสวน ทดลอง เป็นต้น<br>
<br>
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับเรื่องวิธีการสร้างปัญญา ไว้ดังนี้<br>
<br>
"การเรียนรู้ทุกอย่างนั้น จะต้องเรียนความรู้ของผู้อื่นก่อนเป็นเบื้องต้น เมื่อรู้แล้วจึงมาพิจารณาด้วยเหตุผลให้เห็นเด่นชัดละเอียดลงไปอีกชั้นหนึ่ง ให้ถึงเนื้อหาสาระ จึงจะอ้างอิงเป็นหลักฐานได้ ไม่ใช่เป็นความรู้อย่างเลื่อนลอย แต่แม้ถึงขั้นที่สองแล้ว ก็ยังถือว่า นำมาใช้ให้ได้ผลจริงๆ ไม่ได้ ยังจำเป็นจะต้องนำความรู้นั้นมาปฏิบัติฝึกฝนอีก เพื่อให้ผลประจักษ์แจ้ง และเกิดความคล่องแคล่วชำนิชำนาญขึ้นพร้อมกันไปด้วย จึงจะนำไปใช้ปฏิบัติงานให้เกิดผลได้ไม่ ขัดข้อง<br>
<br>
" คำว่า "รู้ หรือ ปัญญา" นี้ จึงเป็นแกนนำที่ทำให้บรรลุประโยชน์แก่ตนโดยเฉพาะ เน้นการพึ่งตนเองได้ในทุกระดับ เพื่อไม่ต้องเป็นภาระของผู้อื่น หรือ ถ่วงหมู่คณะ และเพื่อพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่น รวมทั้งส่วนรวม<br>
<br>
ส่วนคำว่า "รัก" คือ การมีความรัก ความพอใจในงานที่จะต้องทำ นั้น ตรงกับคำพระที่ว่า "ฉันทะ" ซึ่งเป็นองค์ธรรมหนึ่งของ "อิทธิบาท ๔ " ซึ่งเป็นคุณธรรมที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ มีองค์ประกอบ ๔ ประการ คือ<br>
<br>
๑. ฉันทะ คือ มีความต้องการ มีใจรัก มีความพอใจในงานที่จะต้องทำ มีใจปรารถนาอยากให้งานที่จะทำ หรือกำลังทำ ประสบความสำเร็จบังเกิดเป็นรูปธรรมให้ได้<br>
<br>
๒. วิริยะ คือ มีความพากเพียรขยันขันแข็ง มีความตั้งใจจริงที่จะทำงานที่รักนั้นให้สำเร็จ ไม่ท้อถอย เบื่อหน่าย เมื่อมีปัญหาอุปสรรค<br>
<br>
๓. จิตตะ คือ มีความตั้งใจจริง มีจิตฝักใฝ่จดจ่อ หมั่นเฝ้าสังเกตเรื่องราวข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตนรักอยู่อย่างใกล้ชิดทุกระยะ<br>
<br>
๔. วิมังสา คือ รู้จักใช้ปัญญาไตร่ตรอง เฝ้าตรวจตรา ตรวจสอบงานที่ตนกระทำด้วยเหตุด้วยผล<br>
<br>
เมื่อใดก็ตาม เมื่อมีความรัก ความพอใจในงานที่ได้รับมอบหมายให้กระทำก็ดี โดยความริเริ่มของตนเองก็ดี ความพากเพียร คือ วิริยะ ความตั้งใจจริง มีจิตใจฝักใฝ่จดจ่อ คือ จิตตะ และการทุ่มเทความรู้สติปัญญาเพื่อให้งานนั้นประสบความสำเร็จ คือ วิมังสา ย่อมเกิดขึ้นมาเป็นเงาตามตัว<br>
<br>
คำว่า "รัก" ตามพระบรมราโชวาทนั้น มิได้จำกัดอยู่เพียงนี้ ยังมีความหมายขยายความออกไปเพิ่มเติม รวมไปถึง ความรักแบบพรหม คือ ความรักที่มีความเมตตา กรุณา เป็นพื้นฐาน นำไปสู่ความปรารถนาที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลสนับสนุนให้บุคคลอื่นบรรลุประโยชน์ หรือเข้าถึงจุดหมายของชีวิตของเขาในระดับต่างๆ ประคับประคองให้เขาสามารถพึ่งตนเองได้<br>
<br>
สำหรับความว่า "สามัคคี" นั้น เป็นองค์ธรรมสำคัญที่จำเป็นต้องมีอยู่ในหมู่คณะบุคคล เป็นแกนนำที่ทำให้บรรลุประโยชน์ทั้งให้แก่ตน ให้แก่บุคคลอื่น และให้แก่หมู่คณะ แก่สังคม หรือแก่ชุมชนอันเป็นส่วนรวมได้ทั้งสามประการในคราวเดียวกัน เป็นพฤติกรรมที่เกื้อกูล พึงประสงค์ ที่สังคมพึงต้องการโดยทั่วไป<br>
<br>
ตามหลักพระพุทธศาสนา ท่านได้แสดงให้เห็นถึงผลที่จะได้รับจากสามัคคีธรรม ไว้มีสาระสำคัญว่า เมื่อความสามัคคีเกิดขึ้นในหมู่คณะ ชุมชนใด ย่อมจะเกิดความรัก มีแต่ความ สุขความบันเทิง ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก แก่งแย่งแข่งดี ร่วมกันช่วยเหลือทำงานเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างพร้อมเพรียงกัน<br>
<br>
ดังนั้น พระบรมราโชวาทด้วยประโยคสั้นว่า "รู้ รัก สามัคคี" เมื่อได้นำมาอธิบายขยายความตามหลักวิชาพุทธศาสตร์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว จะเห็นได้อย่างแน่ชัดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งพระทัยที่จะอบรมสั่งสอนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรู้จักเข้าใจใน "เทคนิคการทำงานร่วมกัน" นั่นเอง<br>
*********************<br>
<br>
เรียบเรียง ณ วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๒

โดยคุณ brain (160)(2)   [ศ. 20 มิ.ย. 2551 - 07:11 น.]



โดยคุณ pusit (1.7K)  [ศ. 20 มิ.ย. 2551 - 08:10 น.] #305184 (1/2)
ทรงพระเจริญ ขอน้อมรับด้วยเกล้า

โดยคุณ BankHiWay (7.8K)  [ส. 09 ก.ค. 2554 - 22:29 น.] #1734401 (2/2)


(N)
.

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1