โดย
อ.วีระชัย ถาวรทนต์ weerachais@yahoo.com
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ก่อนอื่นต้องขออนุญาตย้อนไปในสมัยที่ยังทำงานในฐานะอนุกรรมาธิการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ได้เคยให้ความเห็นต่อผู้แทนของกระทรวงพลังงานมาโดยตลอดว่า ผู้ส่งออกก๊าซหุงต้มตามมาตรา 7 นั้นมีกำไรเกินควร โดยสูงมากเกือบกิโลกรัมละ 8 บาท ในขณะที่เมื่อขายในประเทศมีค่าการตลาดเพียง 3.25 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นเงินกำไรส่วนเกินปีละเกือบ 10,000 ล้านบาท
ทำไมไม่เก็บภาษีส่งออกหรือหาวิธีการอื่นๆ ที่จะนำกำไรส่วนเกินเหล่านั้นซึ่งไม่ต้องเสียภาษีมาช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้ในประเทศให้ได้ใช้ก๊าซหุงต้มใน
ราคาที่ถูกลง แต่กลับไม่มีคำตอบใดๆจากกระทรวงพลังงานเลย ในวันที่ 3 มิถุนายน 2549
ผมก็ได้เรียกร้องเรื่องนี้ผ่านรายการวิทยุอีกครั้งในคลื่น 90.5 โดยผมคิดว่าคนไทยน่าจะได้รับทราบความจริงกันบ้าง ดังนั้น จึงเป็นที่มาของบทความฉบับนี้ที่จะบอกกล่าวให้ประชาชนได้เข้าใจอย่างแท้จริง
ก๊าซหุงต้ม (LPG) มาจาก 2 ทาง กล่าวคือ เป็นผลพลอยได้ (by product) ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันในสัดส่วนประมาณ 40% ส่วนที่เหลือประมาณ 60% ซึ่งเป็นส่วนหลักนั้นได้จากผลพลอยได้ (by product) ที่เหลือมาจากการแยกก๊าซธรรมชาตินั่นเอง
โดยหลักการของการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติตั้งแต่ปากหลุมนั้น ใช้วิธีคิดจากต้นทุน หรือ cost plus นั่นคือเอาต้นทุน บวกด้วยกำไรพอสมควร เป็นหลักการที่ใช้มาตลอดและเป็นที่ยอมรับ ตัวอย่างเช่น ราคาก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. ขายให้การไฟฟ้า คิดจากราคาเนื้อก๊าซเฉลี่ยที่ปากหลุม บวกกับค่ากำไร หรือ margin แล้วบวกกับต้นทุนส่วนเพิ่มที่คิดบนค่าผ่านท่อ
ประเด็นก็คือว่า ก๊าซหุงต้ม (LPG) เมื่อเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติ หรือผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมัน ต้นทุนส่วนเพิ่มจริงๆ นั้นเกือบไม่มีเลย เพราะการคิดต้นทุนการแยกก๊าซธรรมชาติ กับกำไรบางส่วนได้รวมอยู่ในราคาก๊าซธรรมชาติที่ขายให้การไฟฟ้า หรือขายให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ไปแล้ว
อีกด้านหนึ่งเช่นเดียวกันต้นทุนต่างๆ ของโรงกลั่นน้ำมันก็ได้สะท้อนอยู่ในค่าการกลั่นน้ำมัน และสะท้อนอยู่ในราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ขายอยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่อเป็นดังที่กล่าว ก็อาจพอสรุปได้ว่า ก๊าซหุงต้ม (LPG) มีต้นทุนเพื่อให้ได้มาต่ำมาก เพราะต้นทุนส่วนใหญ่ได้ถูกสะท้อนไปกับราคาขายก๊าซธรรมชาติ และราคาน้ำมันสำเร็จรูปแล้ว
แต่โครงสร้างการตั้งราคาขายก๊าซหุงต้ม (LPG) กลับสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับการตั้งราคาขายก๊าซธรรมชาติ โดยเอาราคาประกาศปิโตรมิน ของทางตะวันออกกลาง ที่ซาอุดีอาระเบีย เป็นเกณฑ์ หักด้วยค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากซาอุฯ มากรุงเทพฯ คงที่ที่ 16 US$ ต่อตัน ซึ่งกำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 315 US$ ต่อตัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
ราคาตามประกาศ ปิโตรมิน (ตั้งเป็นตุ๊กตา) 500 US$/Ton
หักค่าขนส่ง - 16 US$/Ton
คิดที่เพดาน 315 US$/Ton
คิดอัตราแลกเปลี่ยน 40 บาทต่อ US$ เป็น 12.6 บาทต่อกิโลกรัม
ภาษีสรรพสามิต 2.17 บาทต่อกิโลกรัม
ภาษีเทศบาล 0.217 บาทต่อกิโลกรัม
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ชดเชย) -2.5301 บาทต่อกิโลกรัม
ราคาขายส่ง ณ คลังก๊าซ 12.4569 บาทต่อกิโลกรัม
(รัฐต้องชดเชยค่าขนส่งอีก 2-4 บาทต่อกิโลกรัม)
ค่าการตลาด 3.2534 บาทต่อกิโลกรัม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.0997 บาทต่อกิโลกรัม
ราคาขายปลีก (รวม VAT) 16.8140 บาทต่อกิโลกรัม
ถึงแม้ว่าจะมีการตรึงราคาอยู่ทำให้รัฐต้องสูญเงินไปโดยเฉลี่ย 5 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับการชดเชยของกองทุนน้ำมันและค่าขนส่ง แต่ค่าการตลาดที่ผู้ค้าได้รับนั้นสูงถึง 3.25 บาทต่อกิโลกรัม เหมือนการันตีกำไรให้เอกชน โดยที่รัฐได้รายได้จากภาษีเพียง 3.4867 บาทต่อกิโลกรัม แต่รัฐกลับต้องชดเชยสูงถึงประมาณ 5 บาทต่อกิโลกรัม รัฐไม่ได้อะไรเลย
ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นเอกชนผู้ส่งออก ตามมาตรา 7 อาทิเช่น ปิคนิค, ปตท. ,สยามแก๊ส, worldgas, ยูนิค ,คาลเท็กซ์ คงส่งออกกันพอควร (ปตท. อาจจะมีหน้าที่หลักที่จะต้องจัดให้ผู้ใช้ในประเทศมีก๊าซหุงต้มใช้เพียงพอก่อนเป็นอันดับแรกแล้วจึงส่งออก)
วิธีการจัดสรรโควตาส่งออกในอดีตก่อนปี 2549 นั้น ใช้วิธีตกลงกัน จัดสรรกันเองในกลุ่มผู้ค้าตามมาตรา 7 โดยมีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเป็นเจ้าภาพในการตกลงกัน
จากตัวเลขเห็นได้เลยว่าได้กำไรขั้นต่ำอยู่แล้วประมาณเกือบ 200 US$/Ton (เพราะราคาต่างประเทศสูงมากกว่า 500 US$/Ton บางช่วงมากกว่า 600 US$/Ton ด้วยซ้ำ) หรือเกือบ 8 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งตกอยู่ในมือเอกชนล้วนๆ รัฐไม่ได้อะไรเพราะการส่งออกไม่มีการเสียภาษี คิดเป็นตัวเลขคร่าวๆ ส่งออกปีละประมาณ 900,000 ตัน เป็นเงินประมาณ 6,660 ล้านบาทต่อปี (=185 x 40 x 900,000)
คงต้องมีผู้ได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้ เป็นประเด็นที่นำสืบต่อไปน่าจะไม่ยาก เพราะผู้ค้าก๊าซหุงต้มตามมาตรา 7 ก็มีจำกัด อาทิเช่น ปิคนิคแก๊ส, ปตท.,สยามแก๊ส, worldgas, ยูนิค, คาลเท็กซ์ เป็นต้น ฉะนั้นน่าจะพอเห็นภาพพอควร และจะสามารถนำไปสู่วิธีที่จะทำให้ราคาก๊าซหุงต้มลดลงในระยะสั้น และระยะยาวดังนี้
1. จัดเก็บค่าโควตาการส่งออกก๊าซหุงต้ม (LPG) เหมือนกับการเก็บค่าพรีเมียมข้าวในอดีต แล้วออกกฎหมายนำมูลค่าเงินที่เก็บได้นำมาลดราคาค่าก๊าซหุงต้มที่ขายในประเทศ ทดลองคิดเก็บค่าโควตาการส่งออกที่ 3 บาทต่อกิโลกรัม เอกชนยังได้เยอะอยู่ถ้าส่งออก เพราะไม่ต้องเสียภาษีในประเทศเลย คำนวณง่ายๆ ดังนี้ เก็บค่าโควตาส่งออกที่ 3 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 3,000 บาทต่อตัน จากปริมาณส่งออกโดยเฉลี่ยที่ 900,000 ตันต่อปี สำหรับปริมาณการใช้ในประเทศอยู่ที่ประมาณ 2.1 ล้านตันต่อปี มีประมาณ 1.155 ล้านตันใช้ในครัวเรือน (55%) ส่วนที่เหลือก็ใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และขนส่ง
ถ้านำกำไรส่วนเกินจากการส่งออกดังกล่าวมาชดเชยให้ผู้ใช้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือนเท่านั้น โดยที่การชดเชยจากกองทุนน้ำมันยังเป็นเหมือนเช่นในปัจจุบัน ผลจะทำให้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือนจะลดลง 2.3 บาทต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 34.5 บาทต่อถัง สำหรับถังขนาด 15 กิโลกรัม ซึ่งใช้ปกติในครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันขายอยู่เฉพาะราคาเนื้อก๊าซ (เปลี่ยนถัง) ถังละ 265 บาท ถ้าไม่รวมค่าขนส่ง (ซื้อหน้าร้าน) ก็คิดที่ 255 บาทต่อถัง
ดังนั้น ในกรณีดังกล่าวนี้ก็จะสามารถลดราคาลงได้เท่ากับ 34.50 บาทต่อถัง นั่นคือประชาชนจะสามารถซื้อได้ที่ราคา 220.50 บาทต่อถัง (ไม่รวมค่าขนส่งถึงบ้าน) หรือถ้าจะนำกำไรส่วนเกินเหล่านี้มาชดเชยเงินที่กองทุนน้ำมันชดเชยอยู่ก็จะเป็นประโยชน์ ทำให้ไม่ต้องอ้างว่าขณะนี้รัฐได้ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม ผลก็คือสามารถปล่อยลอยตัวได้เลยและประชาชนไม่ได้รับผลกระทบ
2. ในระยะยาว เห็นจะต้องเข้าไปสู่การปรับโครงสร้างการตั้งราคาก๊าซหุงต้ม ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องอาศัยคณะกรรมการจากหลายๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาถกเถียงกัน แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องอาศัยหลักการการตั้งราคาที่ให้สะท้อนต้นทุนส่วนเพิ่มที่แท้จริง ไม่ใช่กำหนดเพดานไว้ที่ 315 US$/Ton ผมเชื่อว่าต้นทุนการผลิตก๊าซหุงต้มจริงๆ ต่ำมาก เพราะเป็นผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมันและการแยกก๊าซธรรมชาติ
ในเมื่อโครงสร้างก๊าซธรรมชาติตั้งแต่ต้นทางจากอ่าวไทยนั้นใช้หลักการต้นทุนเป็นตัวตั้งราคา แต่พอมาเป็นก๊าซหุงต้มซึ่งเป็นผลพลอยได้แท้ๆ กลับเปลี่ยนไปใช้ราคาที่แพงขึ้น หรือเป็นราคากลางที่ซาอุฯ เหล่านี้ไม่เป็นธรรมกับคนไทยเจ้าของประเทศอย่างแน่นอน
3. ค่าการตลาดที่สูงถึง 3.25 บาทต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 1.625 บาทต่อลิตรนั้น ควรจะพิจารณาทบทวนลดลง เพราะสูงมากเมื่อเทียบกับน้ำมันสำเร็จรูปที่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1 บาทต่อลิตร อีกทั้งบางช่วงยังไม่ถึง 1 บาทต่อลิตรเลย ทำไมต้องทำให้เอกชนที่เป็นผู้ค้าก๊าซหุงต้มมีกำไรเกินปกติด้วย
กล่าวโดยสรุปพวกเราคนไทยน่าจะพอคิดได้ว่าการบริหารจัดการด้านพลังงานของประเทศนั้น มีผลประโยชน์ซ่อนอยู่กลับกลุ่มคนบางกลุ่ม ไม่ใช่เป็นประโยชน์ของคนไทยทั้งประเทศ น่าจะถึงเวลาแล้วที่พวกเราคนไทยควรที่จะเรียกร้องการปรับโครงสร้างธุรกิจพลังงานทั้งระบบอย่างจริงจัง เอาไว้ในบทความต่อๆ ไป จะเริ่มตีแผ่โครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ และโครงสร้างค่าไฟฟ้ากันต่อไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
credit จาก www.cefiro-ff-club.com ครับ
"เรามาศึกษานโยบายการใช้ LPG ในรถยนต์ของประเทศฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ และประเทศอื่นๆ กัน -- InquiryS" ดูได้ที่ ...
http://www.gasthai.com/boardgas/Questionold.asp?ID=A3583
สรุปได้ว่า
1. ประเทศใกล้ๆ ไทยเช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง ที่ต่างมีเศรษฐกิจดีกว่าไทย ได้สนับสนุนพลังงานทดแทนทั้ง LPG และ NGV โดยตั้งราคาให้ถูกกว่าน้ำมัน 50% เหตุผลคือเสียเงินตราต่างประเทศน้อยลง ลดมลภาวะทางอากาศ ทำให้ต้นทุนสาธารณสุขต่อสังคมลดน้อยลง ทั้งๆ ที่ประเทศเหล่านี้ต้องนำเข้า LPG และ NGV ซึ่งในสนธิสัญญาที่ประเทศใน APEC (ที่ไทยเป็นสมาชิก) ได้ตกลงกันว่าจะเปิดเสรีการค้าและการผลิต
2. ประเทศอังกฤษและประเทศในทวีปอเมริกา ก็มีนโยบายส่งเสริมทั้ง LPG และ NGV แต่ก็เหมือนกับในข้อ 1 คือ ผู้ใช้รถโดยสารขนาดกลาง-เล็ก นิยมใช้ LPG มากกว่า เนื่องจากมีประสิทธิภาพดีกว่า การขนส่งก็สะดวกกว่า
3. ประเทศไทยได้ LPG ส่วนใหญ่มาจากผลพลอยได้การกลั่นน้ำมันดิบเพื่อได้เบนซิน ดีเซล ส่วนใหญ่ใช้ LPG ในโรงงานอุตสาหกรรม และตามบ้าน ยังมีเหลืออีกมากจนต้องส่งออกไปขายยังประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนที่ใช้ในรถแท็กซีประมาณ 6 หมื่นคันในกรุงเทพที่วิ่งสองกะนั้น มีประมาณการใช้น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับยอดส่งออก คือไม่ถึงร้อยละ 10 ของยอดส่งออก LPG ข้อมูลนี้เป็นของกระทรวงพลังงานเอง
4. ราคาจำหน่าย LPG ในประเทศไทย ได้บวกค่าภาษีประมาณ กก. 3 บาท บวกค่าการตลาดอีก กก. ละ 3 บาท แต่ได้รับชดเชย กก.ละ 3 บาทเช่นกัน (1 กก. ประมาณ 2 ลิตร) เป็นข้อมูลจากกระทรวงพลังงาน ดังนั้นถ้าเลิกชดเชย ราคาจะแพงขึ้นอีกประมาณลิตรละ 1.50 บาท แต่ถ้าลดภาษีลงก็จะขายในราคาเดิมได้อยู่ และขอฟันธงได้ว่าประเทศไทยไม่ขาดแคลน LPG มีเหลือใช้จนต้องส่งออกด้วยซ้ำ
5. NGV หรือ Natural Gas for Vehicles เป็นคำที่ ปตท. เรียกแทน CNG หรือ Compressed Natural Gas ปตท. เป็นผู้ผูกขาดการผลิตและการจำหน่ายแต่ผู้เดียวในประเทศไทย ราคาที่ขายหน้าปั้มคือ กก. ละ 8.50 บาทนั้น สาธารณชนไม่ทราบโครงสร้างราคาที่แท้จริง ดังนั้น ปตท. อาจขึ้นราคาอีกเมื่อไรก็ได้
6. ไม่มีเอกชนสนใจลงทุนทำปั้ม NGV ในประเทศไทย ปตท. เคยชวน Caltex และ Shell มาลงทันทำปั้ม NGV แต่ถูกปฏิเสธโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสอง เนื่องจากไม่คุ้มทุน ด้วยราคาขายในปัจจุบันและการลงทุนที่มาก แม้กระทั่งรัฐบาลฮ่องกงเองก็ยังยกเลิกการลงทุนเปลี่ยนจาก LPG เป็น NGV ด้วยเหตุผลความไม่คุ้มค่า
7. NGV ที่ ปตท. ชักจูงให้รัฐบาลไทยโปรโมท และกีดกัน LPG นั้น มาจากการกลั่นแก๊สธรรมชาติ (natural gas) ที่ ปตท. ผูกขาดการขายแต่ผู้เดียวในประเทศไทย หนึ่งในสี่หรือร้อยละ 25 ที่ไทยใช้อยู่ ปตท. ซื้อมาจากพม่าผ่านทางท่อแก๊สธรรมชาติที่มาลงที่ราชบุรี ส่วนใหญ่เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ดังนั้นจึงเสมือนว่า NGV ที่ใช้อยู่นั้นประมาณหนึ่งในสี่ซื้อมาจากพม่า ไม่ได้เป็นพลังของไทยตามที่ ปตท. โฆษณาแต่อย่างไร
8. นโยบายกระทรวงพลังงานที่สนับสนุน NGV และ เพิกใช้/กีดกัน LPG เป็นพลังงานทางเลือกนั้น สวนกระแสการค้าเสรีที่รัฐบาลได้ทำสัญญากันระหว่างประเทศใน APEC และไม่มีเหตุผลดีพอ แต่เมื่อมาดูผู้ถือหุ้นใหญ่โดยเอกชนใน ปตท. ก็จะเข้าใจว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่
9. การดำเนินนโยบายในข้อ 7 ของรัฐนั้น ทำให้ประเทศเสียโอกาส และสูญเสียรายได้ที่ต้องใช้เบนซิน ดีเซล และซื้อแก๊สธรรมชาติจากพม่ามากลั่นเป็น NGV สักวันหนึ่งเมื่อมีการตรวจสอบก็จะต้องมีผู้รับผิดชอบและชดเชยค่าเสียหายนี้ให้กับประเทศ
กระทู้นี้เพื่อเปิดกว้างทัศนคติและแนวนโยบายของต่างประเทศเกี่ยวกับการใช้แก้ส LPG ในรถยนต์ที่เรียกว่า autogas สืบเนื่องจาก ปตท. และรัฐบาลมีนโยบายจำกัดการใช้ LPG ในรถยนต์และส่งเสริม NGV แทน เรามาดูกันว่าประเทศอื่นๆ เขามีนโยบายอย่างไร
เริ่มที่ ฮ่องกง จาก เวป http://www.legco.gov.hk/yr99-00/english/pa...orts/a1664e.pdf หรือ
http://66.102.7.104/search?q=cache:-GFfQ_r...e:pdf&hl=th ที่เป็นเอกสารรายงานของคณะกรรมาธิการเรื่องการขนส่งที่เสนอต่อสภาผู้แทนของฮ่องกง (Report of the Panel on Transportfor submission to the Legislative Council) เสนอต่อสภาฯ เมื่อ 21 มิถุนายน ค.ศ. 2000 คณะกรรมาธิการนี้มีสมาชิกเป็นผู้แทน 16 ท่านซึ่งมีที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการขนส่งของฮ่องกง ในเอกสาร 6 หน้านี้ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 20 ข้อ ข้อที่ 5 ของหน้า 2 คณะกรรมาธิการสรุปผลการศึกษาจากการสัมมนาว่า เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนฮ่องกง จีงเสนอให้มีมาตรการดึงดูดใจให้รถแทกซีทั้งหมดมาใช้ LPG จากการใช้ดีเซล ด้วยมาตรการให้เงินสนับสนุน สร้างปั้ม LPG และมีการบำรุงรักษารถยนต์ที่ใช้ LPG ทั้ง 20 ข้อที่เป็นข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาลฮ่องกงไม่มีที่ใดกล่าวถึงการใช้ NGV เลย ดูข้อความที่ยกมาได้ ...
มาดูที่ไต้หวัน มีข่าวเมื่อ ตุลาคม 2005 เมื่อสองเดือนมานี่เองว่า รัฐบาลไต้หวันมีนโยบายเพิ่มจำนวนรถใช้แก้ส LPG เพื่อแทนที่เบนซิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการลดสภาวะอากาศเป็นพิษในเมืองและลดค่าใช้จ่าย ปัจจุบันมีรถใช้แก้ส LPG ในได้หวันอยู่ 8,000 คัน ร้อยละ 95 เป็นแทกซี ทางราชการหวังว่าจะเพิ่มจำนวนปั้มแก้ส LPG อีก 10 แห่งจากเดิม 14 ปั้ม เพื่อรองรับรถยนต์ใช้แก้ส LPG อีกสามปีข้างหน้าจำนวน 15,000 คัน ดูภาษาอังกฤษได้ที่นี่ ...
Taiwan plans to increase LPG cars October 2005
http://www.conocophillips.co.uk/stations/a...se_LPG_cars.htm
ลงใต้ไปดูที่ออสเตรเลีย มีข่าวเมื่อ กันยายน 2005 ว่าบริษัท Holden ได้ประกาศผลิตรถยนต์ใช้แก้ส LPG ออกจำหน่าย ตามหลัง Ford ที่ได้ผลิตรถใช้แก้ส LPG มาแล้วหลายปี และอัตราการปรับเครื่องยนต์ให้ใช้แก้ส LPG ของคนออสเตรเลียก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูภาษาอังกฤษที่นี่ ...
http://www.conocophillips.co.uk/stations/a...PG_vehicles.htm
Australia moves to LPG vehicles
มาดูเกาหลีใต้บ้าง เมื่อ พฤษภาคม 2005 รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศนโยบายขึ้นภาษีน้ำมันดีเซลในอัตราที่สูงเพื่อลดมลภาวะอากาศ เพิ่มอีกเป็นร้อยละ 14.4 เพื่อให้ราคาเป็นร้อยละ 85 ของเบนซิน และคาดว่าราคาแก้ส LPG จะลดลงจากการลดภาษีเพื่อให้มีราคาร้อยละ 50 ของเบนซิน ดูภาษาอังกฤษได้ที่นี่ ...
South Korea plans massive diesel tax to curb emissions
http://www.conocophillips.co.uk/stations/a...b_emissions.htm
คราวนี้ไปอังกฤษ มีข่าวเมื่อ กันยายน 2005 ว่าคนอังกฤษหลายพันคนนำรถไปเปลี่ยนไปใช้ LPG ถึงแม้จะมีค่าติดตั้งอย่างน้อย 1,600 ปอนด์ (ประมาณแสนสองหมื่นบาท) มากกว่าปีที่แล้วที่มีจำนวน 15,000 คัน เนื่องจากราคาแก้ส LPG ถูกกว่าเบนซินอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง มีปั้มแก้สในอังกฤษ 1,300 แห่งที่เป็นของบริษัท Shell และ บริษัท Calor ปัจจุบันมีรถเก๋งและรถแวนขนาดเล็ก 120,000 คันในอังกฤษที่ใช้ LPG จากจำนวนรถทั้งหมด 30 ล้านคัน คิดเป็น 0.5 เปอร์เซ็นต์ นอกจากอังกฤษแล้ว ยังมีรถยนต์ใช้ LPG กันมากในอิตาลี ฝรั่งเศส เนเธอแลนด์ โดยเฉพาะที่เยอรมันมีรถยนต์ใช้แก้ส LPG ในอัตราเพิ่มขึ้นสูงมาก
UK Motorists turn to LPG as Petrol Prices Soar
http://www.conocophillips.co.uk/stations/a...Prices_Soar.htm
ในเกาหลีใต้ รัฐบาลเขามีนโยบายชัดเจนในการส่งเสริมการใช้ NGV หรือ compressed natural gas ในรถบัสสาธารณะ โดยกระทรวงพลังงานของเขามีนโยบายที่จะให้รถบัส 20,000 คันในเมืองใหญ่เปลี่ยนมาใช้ NGV ภายในปี ค.ศ. 2007 ส่วนรถใช้ LPG นั้นมีอยู่ 1.4 ล้านคันในปัจจุบัน โดยจะส่งเสริมเทคโนโลยีใหม่แบบ liquefied petroleum injection คือให้ฉีดแก้สในสภาพของเหลวเข้าไปเผาไหม้ เพื่อลดมลภาวะในอากาศมากขึ้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่ารัฐบาลเกาหลีใต้กำหนดนโยบายชัดเจนว่า NGV ใช้กับรถโดยสารสาธารณะขนาดใหญ่ ส่วน LPG ใช้ในรถขนาดเล็ก
อ้างอิง http://www.asiairnet.org/publications/pubs/jeong.pdf
กลับมาที่ออสเตรเลีย Australian Gas Association (AGA) หรือสมาคมผู้ใช้แก้สออสเตรเลีย ที่แยกเป็น Australasian Natural Gas Vehicles Council (ANGVC) and the Australian Liquefied Petroleum Gas Association(ALPGA) คือทั้งผู้ใช้แก้ส NGV และ LPG ได้ทำรายงานเสนอต่อรัฐบาล เพื่อสนับสนุนการลดหย่อนภาษี โดยอ้างเหตุผลว่าช่วยรักษาสภาพแวดล้อมและลดการนำเข้าน้ำมัน รายงานนี้ให้ตัวเลขในปี 1999 ว่ามีรถยนต์ใช้ NGV 2,200 คัน ใช้ LPG 550,000 คัน มีจำนวนแก้ส LPG ที่ใช้ในรถยนต์เป็น 65 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือใช้ในครัวเรือน และอุตสาหกรรม มีปั้มแก้ส 3,500 แห่ง เป็นที่สองรองจากประเทศสหรัฐฯ บริษัท Ford ของออสเตรเลียยังได้ทำสัญญากับรัฐบาล Hong Kong ที่จะผลิตรถยนต์ใช้แก้ส LPG เพื่อมาแทนที่รถแทกซีในฮ่องกงที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลอีกด้วย
http://fueltaxinquiry.treasury.gov.au/cont...ads/AGA_242.pdf.
ในรายงาน Better Air Quality หรือคูณภาพอากาศที่ดีขึ้น เมื่อปี 2002 ( http://www.eere.doe.gov/cleancities/international/pdfs/baq_trip_rep.pdf และ http://66.102.7.104/search?q=cache:NuVtsgQ...e:pdf&hl=th ) รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมและขนส่งของ Hong Kong ได้รายงานต่อที่ประชุมว่า ฮ่องกง ได้เปลี่ยนให้รถแทกซี 90 เปอร์เซ็นต์มาใช้แก้ส LPG ด้วยการให้เงินสนับสนุน และกำลังมีโปรแกรมใหม่ที่จะเปลี่ยนรถบัสเล็ก 5,000 คันมาใช้แก้ส LPG ด้วยเงินสนับสนุนและมาตรการส่งเสริมของรัฐบาล
ในรายงาน APEC Energy Overview ทีออกมาเดือนธันวาคม 2002 ที่จัดทำโดย Asia Pacific Energy Research Centre (APERC) ที่ตั้งอยู่ในญี่ปุ่น รายงานนี้ได้สำรวจการใช้พลังงานของประเทศสมาชิกทั้ง 21 ประเทศรวมทั้งไทย ในส่วนของประเทศไทย (หน้า 112) ได้ให้ตารางว่าประเทศไทยผลิตแก้สได้ 19,620 ktoe (kilo ton of oil equivalent หรือเทียบเท่าน้ำมันดิบพันตัน) มีปริมาณการใช้ 1,389 ktoe ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อมูลปี 2000 หรือเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา แต่ให้อัตราการใช้แก้สเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าน หรือเกือบสามพัน ktoe ก็เห็นว่าไทยมีแก้สเหลือใช้จำนวนมาก แก้สที่ได้มานี้เป็นแก้สธรรมชาติ ส่วนใหญ่นำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมเป็น compressed natural gas ส่วนหนึ่งสกัดเป็น LPG เพื่อใช้ในครัวเรือน อุตสาหกรรม เนื่องจากเหมาะสมต่อการใช้และการขนส่ง อีกส่วนหนึ่งทำเป็น NGV ใช้ในรถยนต์ ในรายงานฉบับนี้ยังระบุว่า ปตท. เป็นบริษัทเชื้อเพลิงบริษัทเดียวในประเทศไทยที่มีท่อส่งแก้สและน้ำมัน และเป็นผู้นำเข้าแก้สที่ไทยใช้ร้อยละ 20 ผ่านทางท่อส่งแก้สของ ปตท. จากพม่า
อ้างอิง
www.apecthai.org/.../file_art/APEC%20Energy%20Overview%202002. pdf?PHPSESSID=071b00062809df655542e0b8571d50b9
ตรงจุดนี้ จากข้อมูลบางส่วนที่นำมาเสนอ เห็นได้ว่ารัฐบาลต่างๆ ในโลกส่งเสริมการใช้แก้สแทนเบนซินหรือดีเซล ในภาคการขนส่ง ด้วยเหตุผลการลดมลภาวะเสียในอากาศ ประหยัดการใช้พลังงานที่มาจากเบนซิน ดีเซล มาตรการส่งเสริมในเกาหลี ไต้หวัน ออสเตรเลีย อังกฤษ ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ รัฐให้เป็นเงินสนับสนุน ลดหย่อนภาษี หรือประกันราคา ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็น LPG หรือ NGV ซึ่งที่จริงก็มาจากแก้สธรรมชาติเหมือนกัน แต่เนื่องจากระบบโครงสร้างและลักษณะทางกายภาพของ LPG ที่เป็นของเหลวมีความกดดันต้ำ ประมาณแรงอัดเท่ากับลมในยางรถยนต์ จีงมีผู้ใช้ LPG ในรถยนต์ขนาดเล็กมาก โดยเฉพาะรถแทกซีของประเทศนั้นๆ บางประเทศมีนโยบายชัดเจนที่จะสนับสนุน LPG ในรถยนต์ขนาดเล็ก และสนับสนุนการใช้ NGV ในรถโดยสารสาธารณะขนาดใหญ่เช่นเกาหลีใต้ คนส่วนใหญ่จึงนิยมติดตั้งระบบ LPG ในรถยนต์ขนาดเล็กของตน เนื่องจากอุปกรณ์และเทคโนโลยีเหมาะสมราคาไม่แพง จีงมีผู้ใช้ LPG เป็นจำนวนมากกว่า NGV ทั้งๆ ที่ราคาเชื้อเพลิง NGV ถูกกว่า แต่ที่เหมือนกันในทุกประเทศคือเขาไม่มีนโยบายส่งเสริมแก้สชนิดใดชนิดหนึ่งและจำกัดการใช้แก้สอีกชนิดหนึ่ง
ประเทศสมาชิก APEC ทั้ง 21 ประเทศ ที่อยู่ริมขอบมหาสมุทรแปซิฟิกตามรายงานที่อ้างอิงในต่างก็มีนโยบายสนับสนุนการใช้แก้สธรรมชาติ (ที่นำมาผลิตเป็น LPG และ NGV) เป็นพลังงานสะอาดมาทดแทนการใช้เบนซินและดีเซล เพื่อลดภาระการสั่งเข้ามาจากต่างประเทศ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีประเทศใดประเทศหนึ่ง ยกเว้นประเทศไทย ที่ส่งเสริม NGV อย่างเดียว และลดหรือจำกัดการใช้ LPG ในรถยนต์
สำหรับการที่ผู้บริหาร ปตท. บอกว่าโรงกลั่นและปตท. ร่วมกันอุ้มแก้ส LPG ถึง กก. ละ 11 บาทนั้น ถ้าดูจากโครงสร้างเชื้อเพลิงของกระทรวงพลังงาน ราคาวันที่ 26 ธ.ค. 48 ใน http://www.eppo.go.th/petro/price/pt-price...2005-12-26.html เห็นได้ว่า ราคาที่โรงกลั่นขายแก้ส LPG (รวมกำไรแล้ว) คือ กก. ละ 12.9576 บาท ซึ่งเป็นการผลิตจากแก้สธรรมชาติและผลพลอยได้จากการกลั่นเบนซิน-ดีเซล เสียภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ภาษีมูลค่าเพิ่มเต็มที่ และมีค่าการตลาดให้ปั้มแก้สหรือโรงบรรจุแก้ส กก. ละ 3.2566 บาท ได้รับการชดเชยจากกองทุนน้ำมัน กก. ละ 2.8877 บาท หรือประมาณ 3 บาท เป็นราคาขายปลีก กก. ละ 16.81 บาท ซึ่งปั้มแก้สเอามาขายเป็นลิตรละ 9 บาทกว่าในกรุงเทพ เรียกว่าขายเกินราคาขายปลีกที่ตั้งไว้เสียอีก ดังนั้นถ้ามองว่าราคาแก้ส LPG 1ถูกอุ้มด้วยกองทุนน้ำมัน ก็ให้ตัดการสนับสนุนตรงนี้เสีย ราคาแก้ส LPG ที่เป็นราคาขายปลีกหน้าปั้มแก้สหรือโรงบรรจุแก้สก็ควรขึ้นไม่เกินลิตรละ 1.50 บาท หรือประมาณว่าราคาที่ไม่มีการสนับสนุนด้วยกองทุนน้ำมันควรจะไม่เกินลิตรละ 12 บาท
เป็นการมองต่างมุมของ ปตท.กับนโยบายพลังงานของประเทศอื่น เมื่อประเทศอื่นใช้ lpg ปตท.ก็จะขอเป็นผู้ขาย โดยบีบให้ชาวบ้านเลิกใช้ lpg ในรถ จะได้ส่งออกไปหากำไรไงครับ เพราะกำไรจากขายในบ้านเราถูกควบคุมราคาโดยกลุ่มผู้ใช้ตามบ้าน(หุงต้ม) (จริงๆแล้ว ปตท.คงอยากให้ชาวบ้านใช้ฟืนหุงหาอาหารมากที่สุด อิๆ) ส่วน คต.18 ที่บอกว่า ปตท.กำไรกว่า 60,000 ล้านบาท จากธุรกิจแก็ส คงไม่ทั้งหมดครับ กำไร ปตท.เทียบรายปีดังนี้(ของปีนี้ 9 เดือน)
ณ วันที่ 2005/30/09/2548 2004/31/12/2547 2003/31/12/2546 2002/31/12/2545
สินทรัพย์รวม 556,032.18 487,226.24 324,605.37 296,592.27
หนี้สินรวม 318,580.02 302,311.27 195,676.18 199,295.89
ส่วนของผู้ถือหุ้น 214,109.72 164,374.19 112,309.91 81,169.72
มูลค่าหุ้นชำระแล้ว 27,972.46 27,972.46 27,972.46 27,972.46
รายได้รวม 708,344.27 680,650.03 512,743.18 409,334.63
กำไรสุทธิ 68,372.51 62,666.47 39,400.98 24,506.80
กำไรต่อหุ้น(บาท) 24.44 22.40 14.09 8.76
ROA(%)* 25.01 23.59 21.47 16.78
ROE(%)* 49.62 45.30 40.73 35.22
อัตรากำไรสุทธิ(%) 9.65 9.21 7.68 5.99
กำไรงวด 9 เดือน ปตท. 68,372.51 ล้านบาท ปกติ 60 เปอร์เซ็นต์ มาจากธุรกิจแก็ส แต่ที่น่าสนใจดูความเปลี่ยนแปลงของผลการดำเนินการมันก้าวกระโดดอย่างมาก ใครวางแนวทางให้มันมาอย่างนี้ เงินคนไทยทั้งนั้นเลยครับ
ส่วนกำไรสุทธิล่าสุดปี2550-2551 200,000,000,000 สองแสนล้านต่อปี
ถ้ารัฐ หรือ ปตท. บีบคนใช้ LPG ในภาคขนส่ง หรือในผู้ใช้ยานพาหนะเล็กๆอย่างพวกเรา โดยการ ไม่อนุญาตให้ตั้งปั๊ม LPG เพิ่ม ไม่ต่อใบอนุญาต ปั๊ม LPG เดิม ขึ้นภาษี ที่หัวจ่ายแก๊สในปั๊มเติมรถอีกเยอะๆ จุดประสงค์เพื่อบีบให้คนหันมาใช้ NGV ............อย่างนี้แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี ผมไม่ได้หมายความว่า ใครติด NGV แล้วจะไม่ดี ใครใคร่ติดระบบใดก็เป็นวิจารณญาณของบุคคลคนนั้น ไม่ว่ากัน แต่การดำเนินธุรกิจอันใด น่าจะเปิดให้มีการแข่งขัน โดยเสรีและเป็นธรรม ถ้า ปตท. หรือรัฐ จะส่งเสริม NGV ก็ต้องออกมาแข่งขันในด้านการตลาด การบริการ เพิ่มปั๊มใหม่ ลดราคาติดตั้งNGV ให้ใกล้เคียงค่าติดตั้ง LPG เท่านี้ ผมเชื่อว่ามีคนหันมาติดตั้ง NGV เองแหละครับ คนที่อยากติด NGV ก็เยอะนะครับ แต่ติดตรงทีต้องลงทุนสูงมาก มากกว่าการติด LPG หลายเท่าตัว ถังในเมืองไทยก็ยังไม่พัฒนาไปถึงไหน น้ำหนักมาก เติมได้น้อย ต้องกลับมาเติมบ่อยๆ ปั๊มก็น้อย สิ่งเหล่านี้คือข้อบกพร่องของ NGV รัฐหรือ ปตท.จะมาบอกว่า การติดตั้ง LPG ไม่ปลอดภัยเท่า ของ NGV ระเบิดง่าย ผมว่า โดยสภาพแล้วNGV ต่างหากที่อันตรายกว่า เพราะแรงดันแก๊สมหาศาลกว่า แก๊ส LPG หลายเท่านัก อู่ที่ติดตั้ง NGV ที่ได้มาตรฐานมีไม่กี่อู่ และหากอ้างเรื่องความปลอดภัยจริง รัฐก็น่าที่จะหันมาแก้ไขให้ตรงจุดคือควบคุมมาตรฐานของอู่ที่ติดตั้ง LPG คือจะเปิดอู่ติดตั้งLPG ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐ ผ่านองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นกำกับดูแล ลักษณะอู่เป็นอย่างไร ช่างเป็นอย่างไรต้องผ่านการอบรมก่อนให้วิธีการติดตั้งเป็นมาตรฐาน อู่นั้นใช้อุปกรณ์อย่างไร แล้วก็ออกใบอนุญาต เก็บภาษีได้อีกด้วย ซึ่งปัจจุบัน เราไปติดตั้งตามอู่ทั้งหลาย ที่ไม่ใช่นิติบุคคล จะไม่ได้ออกใบเสร็จให้ ที่กล่าวเบื้องต้นอย่างนี้ ก็ควบคุมมาตรฐานของอู่ได้ในระดับหนึ่ง แก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัยตามที่ ปตท.อ้างได้ระดับหนึ่ง การแข่งขั้นกันอย่างเสรี ถ้าแฟร์กันจริงๆ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภค แต่ต้องแฟร์กันจริงๆ ไม่ใช่รัฐใช้อำนาจเหนือคู่แข่งอย่างปตท.
ลองคิดดูไหมครับว่า ถ้ารัฐสกปรกกับคนใช้แก๊สLPG แล้วพวกเราจะมีมาตรการทำอย่างไรกันดีครับ |
|