อาจารย์แตง หรือ หลวงปู่แตง ธัมมโต วัดอ่างศิลานอก ท่านเกิดปี พ.ศ. ๒๓๔๒ ปีที่ ๑๗ ในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก อุปสมบท ณ วัดอ่างศิลา เมื่อพ.ศ. ๒๓๖๒ เมื่อบวชแล้วได้ศึกษาคัมภีย์โบราณ ที่โยมบิดาท่านนำติดตัวมา ตอนครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก เมื่อปีพ.ศ. ๒๓๑๐ ทั้ง๕เล่ม กับบิดาของท่าน จนสำเร็จกสิณ๑๐ ตามคัมภีย์วิสุทธิมรรค และสำเร็จวิธีทำผงพุทธคุณทั้ง๕ คือ อิทธิเจ,ปถมัง,ตรีนิสิงเห,มหาราช,พุทธคุณ และสำเร็จอักขระยันต์ และพระเวทย์พุทธธาคม ๑๐๘ ประการ อีกทั้งศึกษาในคัมภีย์โหราศาสตร์ และตำรายารักษาโรคต่างๆ๑๐๘ ประการ
วัดอ่างศิลาถือเป็นตักศิลาของภาคตะวันออก หลากหลายเกจิอาจารย์ดังได้ไปศึกที่สำนักวัดอ่างศิลาแห่งนี้ อาจจะเป็นด้วยตำหรับตำราที่ตกทอดมาจากกรุงศรีอยุธยาคราวเสียกรุงเมื่อปีพ.ศ. ๒๓๑๐ มาอยู่ที่นี่ อาจารย์แตง หรือ หลวงปู่แตง ธัมมโชโต ถือว่าท่านเป็นต้นตำหรับเครื่องรางในรูปเสือแกะ แม้แต่หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย(ผู้สร้างเสืออันโด่งดัง) ท่านยังมาศึกษาจากหลวงปู่แตงที่สำนักวัดอ่างศิลาแห่งนี้ หลักฐานที่อ้างอิงเกี่ยวกับหลวงปู่แตง จะเห็นได้จากภาพวาดลงสี บนบานประตูและหน้าต่างในโบสถ์ (ภาพที่นำมาให้ชมด้านบน) จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องราวเรียงกันไปแต่ล่ะบาน มีอยู่รูปหนึ่งซึ่งเป็นรูปหลวงพ่อปานนั่งแกะเสือ ในสมัยก่อนท่านคงโด่งดังเกี่ยวกับเสือจริงๆ จนต้องมีการเขียนบันทึกเป็นภาพเขียนสีเอาไว้ที่บานประตูและหน้าต่าง ภาพเขียนสีนั้นกรมศิลปากร ระบุว่ามีความงดงามและเป็นฝีมือช่างชั้นครูในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นอกจากหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยแล้ว ยังมีเกจิอาจารย์ที่มาศึกษาจากหลวงปู่แตงและสำนักวัดอ่างศิลา เท่าที่ทราบก็มี หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ เรียนวิชาทำปลัดขลิก หลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก เรียนวิชาทำแพะ
ส่วนลูกศิษย์ฆรวาส ก็มี ตากัน(โจรสลัด) ตากันเป็นโจรสลัดมีวิชาอาคม กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ท่านทราบข่าวก็ปราบปรามตามจับอยู่หลายปี สู้กันทีไร ก็เอาชนะกันไม่ได้ เรียกว่ากินกันไม่ลง เพราะต่างคนต่างมีวิชาอาคม จนกรมหลวงชุมพรฯ ท่านต้องนัดเจรจากับตากันตัวต่อตัวบนเกาะร้าง แล้วขอให้ตากันเลิกเป็นโจรสลัดแล้วหันมาช่วยบ้านเมืองเพราะเป็นคนมีฝีมือ
หมอเพชร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ก้นกุฎิของหลวงปู่แตง เล่าเรียนทางด้านยารักษาโรคเก่งและเชี่ยวชาญด้านการรักษามาก มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการสร้างเสือของหลวงปู่แตงว่า คนที่อยากได้เสือต้องนำชุดเครื่องเซ่น อันมีหัวหมู พานบายศรี ตลอดจนดอกไม้ธูปเทียน ในการปลุกเสกเสือท่านจะทำการปลุกเสกในโบสถ์ ซึ่งตรงกลางโบสถ์จะมีรอกซึ่งใช้ชักหัวหมูขึ้นไปข้างบน ท่านจะปลุกเสกจนเสือลอยขึ้นไปติดหัวหมูด้านบนถึงจะเป็นอันใช้ได้ แต่ปัจจุบันเป็นที่น่าเสียดายว่ารอกดังกล่าวไม่ได้อยู่ ณ ที่เดิมแล้ว เหลือก็แต่ภาพเขียนสีบนบานประตูและหน้าต่าง |
|