ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : พระอาจารย์เกษตร ปคุโณ เตรียมพร้อมกับงานบุญ 100%



(N)
ประวัติพระอาจารย์เกษตร ปคุโน อายุ 72 ปี
ฉันเกิดวันพฤหัสบดีที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๗ ที่ตำบลบ้านพุทราอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา คุณพ่อชื่อแดง คุณแม่ชื่อกองทรัพย์ ธงพุทธรักษ์ มีพี่สาว ๑ คนและมีพี่ชาย ๑ คน เมื่ออายุประมาณ ๒ ขวบ ครอบครัวย้ายไปอยู่หลังวัดสุธจินดา อำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา พ่อเป็นครูใหญ่โรง-เรียนประถม คุณแม่ขายของเล็กๆ น้อย ๆ อยู่บ้าน
เข้าสู่วัยรุ่นชอบศึกษาค้นคว้า มักอ่านหนังสือประวัติบุคคลสำคัญประวัตินักวิทยาศาสตร์ นักผจญภัย ทำให้ได้รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เป็นตัวอย่างการดำเนินชีวิต เป็นเครื่องช่วยตัดสินใจ เมื่ออ่านแล้วมีความชอบใจอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง สมัยเป็นนักเรียนมัธยมมีหนังสือเรียนภาษาอังฤษเล่มหนึ่งประกอบด้วยเรื่องสั้นหลายเรื่อง มีอยู่เรื่องหนึ่งชื่อ "THE PILGRIMS " เป็นเรื่องของนักพรตนักบวชผู้เบื่อโลกทิ้งบ้านทิ้งครอบครัวทิ้งทรัพย์สมบัติไปใช้ชีวิตสันโดษมักน้อยไม่สะสมข้าวของเป็นผู้ถือศีล ไม่มีบ้านเรือนพเนจรร่อนเร่ไป โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีพโดยมุ่งหวังการบรรลุธรรมวิเศษ ฉันอ่านแล้วอยากจะใช้ชีวิตอย่างนี้
โรงเรียนมัธยมที่เรียนครั้งนั้นอยู่ใกล้กับวัด ทุกเย็นวันศุกร์ครูใหญ่จะพาครูและนักเรียนทั้งหมดทุกชั้นไปสวดมนต์และฟังเทศน์ในวัดเป็นเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ตลอดเวลาที่ฟังเทศน์อยู่ฉันไม่รู้เรื่องเลย ได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงดัง " ฉอดๆ " แต่ก็ทนพนมมือฟังจนหมดเวลาถึงแม้จะเมื่อยก็ทนเอาถือว่าได้บุญ ครูอาจารย์ท่านได้ปลูกฝังพระพุทธศาสนาให้เราซึ่งมีผลต่อมาในภายหลังมาก อายุ ๑๗ ปี ไปเรียนต่อชั้นอุดมศึกษาปีที่ ๑ ที่กรุงเทพฯอาศัยอยู่บ้านญาติซึ่งมีคนอาศัยอยู่มาก ตอนเย็นตอนค่ำมีคนอยู่พร้อมหน้ามีความอึกทึกครึกโครม ครั้นถึงเวลาเช้าก็แยกย้ายกันออกจากบ้านไปหมด วันหนึ่งอยู่บ้านคนเดียวนั่งพิจารนาดูรู้สึกวังเวงเหมือนป่าช้า ธรรมดาบ้านในเมืองหลวงมักอยู่กันอย่างแออัด บ้านแต่ละหลังจะมีรั้วมิดชิดแน่นหนาและสูงชะเง้อดูไม่ถึง มักมีแอ่งน้ำเน่าอยู่ทั่วไป ถึงแม้แต่ละบ้านจะอยู่ติด ๆ กันแต่เจ้าของบ้านแต่ละบ้านจะไม่รู้จักกัน ไม่สนใจกันและกัน ไม่รู้เรื่องซึ่งกันและกัน มีความเป็นอยู่อย่างสะดุ้งผวา หวาดระแวง พิจารณาดูอีกทีรู้สึกว่าบ้านเหมือนคุกเหมือนตะราง เป็นอาณาจักรสี่เหลี่ยมแคบ ๆ กักขังสัตว์ตาบอดให้จมปลักอยู่ รู้สึกว่าบ้านไม่ใช่สถานที่ ๆน่ารื่นรมย์ แต่เป็นสถานที่ที่น่าเกลียดน่าชัง, น่าสะพรึงกลัว, น่าเบื่อหน่าย
เมื่ออยู่ในวัยหนุ่มจะไม่เล่นหูเล่นตากับสตรี เพราะกลัวเขาจะผูกมัดให้สิ้นอิสระภาพ จะไม่คบคนที่เป็นนักเลงหรือคนที่พูดจาไม่สุภาพ จะเลือกคบคนที่มีศีลธรรมพูดจาสุภาพซึ่งทำให้ได้รับคำแนะนำที่ดี ๆ ที่จำเป็นต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวันทำให้เอาตัวรอดมาได้ไม่ตกไปสู่ที่ชั่ว
ตั้งหน้าตั้งตาค้าขายมานาน แต่ก่อนนี้เคยคิดว่า " ถ้าเรามีเงินไม่กี่ร้อยบาทก็จะดีใจและพอใจ " เดี๋ยวนี้มีเงินเป็นกอบเป็นกำ กลับไม่พอใจมีแต่ความโลภมากอยากได้ยิ่งขึ้น อยากเป็นเศรษฐี เคยคิดจะไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมญาติสักทีแต่ก็คิดว่า " ให้รวยกว่านี้ก่อนเถอะ " ผลัดผ่อนมาตลอด ขณะที่มีเงินมีทองไม่เคยส่งไปให้พ่อให้พี่หรือให้ผู้มีพระคุณใดๆ เลย เคยเห็นอาซิ้มอาซ้อเขายังไปวัดไปทำบุญทำกุศลในวันตรุษวันสารทวันเทศกาลสำคัญๆ แต่ตัวเราไม่เลยกลัวขาดรายได้ ตั้งใจจะเอาเงินเขาอย่างเดียวไม่ยอมทำบุญทำกุศลให้เกิดศิริมงคลแก่ชีวิต สันดานตระหนี่มีมาก
ต่อมาชีวิตเริ่มตกต่ำ กิจการชักไม่เจริญ ชักมีอุปสรรค มีเหตุอันไม่คาดคิดทำให้เสียทรัพย์อยู่บ่อย ๆ ออกจากบ้านมา ๙ ปี ถึงคราวชีวิตตกต่ำหนัก อยากเป็นเศรษฐียิ่งทะเยอทะยานกิจการยิ่งแย่มีเหตุให้เป็นไปต่าง ๆ นานา เปลี่ยนกิจการหลายอย่างก็ยิ่งเลวลงจนเหลือทุนอยู่ก้อนหนึ่งซึ่งไม่มากนักได้ไปเช่าหอพักอยู่ในกรุงเทพฯ โดยไม่ทำอะไรได้แต่มองหาลู่ทางอยู่ จะอยู่ที่ไหนก็ไม่สบายใจ ไม่เป็นสุข มักเปลี่ยนที่อยู่บ่อย แต่ละแห่งอยู่เพียง ๑-๒ เดือน วันหนึ่งมีความคิดขึ้นมาว่า " บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ, จะกิน, จะนอน,จะอุจจาระ,จะปัสสาวะก็ต้องเสียเงินทั้งนั้น มีอะไรบ้างที่เป็นของเรา มีอะไรบ้างที่ไม่ต้องเสียเงินแลก
ชีวิตขณะนั้นรู้สึกมืดตื้อ เป็นลักษณะเสี่ยงดวง ตอนเช้ารับประทานอาหารเสร็จก็ออกไปเที่ยว อยากดูอะไรอยากเห็นอะไรก็ไปดูไปเห็นไปสัมผัสแต่ก็รู้จักประมาณตน ขณะที่ไปดูไปชมไปเที่ยวอยู่นั้นไม่มีความสุขเลยมีแต่ความเร่าร้อนอยู่ในอกในใจจนเย็นจนค่ำก็กลับไปนอน ก่อนนอนยังต้องออกไปตลาดโต้รุ่งหาอะไรรับประทานอีกรอบ ใช้ชีวิตอย่างนี้ทุกวันเป็นเวลาเกือบ ๑ ปี วันหนึ่งขณะที่ขึ้นรถเมล์ไปเที่ยวนั่งอยู่บนที่นั่งตอนหน้ารถตาก็ดูอะไรต่ออะไรไปเรื่อยใจก็คิดหาทางประกอบอาชีพการงาน รถแล่นจากทางบางขุนพรหมไปทางบางลำพู กำลังพิจารณาอาชีพที่ต่ำสุดไล่ไปถึงอาชีพที่สูงสุด แล้วไล่จากสูงที่สุดไปต่ำที่สุดพิจารณา ทวนไปทวนมาอยู่ครู่หนึ่งคิดว่า " เราจะทำอะไรดีหนอ " รถได้แล่นมาถึงสี่แยกบางลำพูติดไฟแดงอยู่ เวลานั้นเป็นเวลาสายแดดจ้าเต็มที่ทันใดก็เกิดแสงสว่างวาบสว่างกว่าแสงอาทิตย์จนเห็นอะไร ๆ เป็นสีเงินพร้อมกันนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาว่า " เป็นพระ " ความรู้สึกก็ตอบรับขึ้นมาทันทีว่า "ใช่…ใช่แล้ว."
ทั้ง ๆ ที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดเรื่องพระเรื่องเจ้าเลยขณะนั้นก็เกิดความสบาบอกสบายใจขึ้นมาทันทีแล้วก็ลืมเหตุการณ์นั้นเสียสิ้นไปเที่ยวต่อไป มาระลึกได้เอาเมื่อแก่ ลายวันต่อมาขณะที่เดินอยู่ระหว่างสี่แยกบางลำพูไปทางโรงพิมพ์มหามงกุฏราชวิทยาลัยหน้าวัดบวรวิหาร เป็นเวลาบ่าย แดดร้อน อากาศร้อนอบอ้าว ในอกในใจก็ร้อน บนบาทวิถีมีผู้คนเดินขวักไขว่มากมาย ขณะนั้นเหลือบมองเห็นพระภิกษุองค์หนึ่ง เดินมาแต่ไกลจากทางโรงพิมพ์
มหามงกุฏฯ ท่านเดินมาท่ามกลางผู้คนแต่ท่านเด่นกว่าใครเหมือนพระจันทร์ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว เพียงพบเห็นท่านเท่านั้น ความร้อนอบอ้าวจากอากาศภายนอกและความเร่าร้อนในอกในใจของฉันก็หายเป็นปลิดทิ้ง มีความสนใจในตัวท่านทันที ท่านเป็นพระภิกษุหนุ่มรูปงาม หน้าตาผ่องใสยิ่งนัก ยิ้มนิด ๆ เดินมีตาทอดลง ตาไม่ล่อกแล่ก ไม่ถือร่ม ไม่ถือย่าม ไม่สวมรองเท้า กิริยาการเดินงามจริง เดินนิ่มนวลไม่กระตุก เคลื่อนไปได้เหมือนไม่ต้องออกกำลังอย่างการเดินของมนุษย์ทั่วไป เมื่อท่านเดินเข้ามาใกล้เห็นผิวของท่านนวลผ่องเนียนละเอียดสดใสขาวเหมือนงาช้าง ห่มจีวรสีเหลืองซีด ๆ เพราะความเก่าแต่สะอาดมีรอยปะเล็ก ๆ อยู่ ๒-๓ รอย ฉันเกิดความเลื่อมใสศรัทธาจับจิตจับใจคิดว่าพระองค์นี้ต้องบรรลุสิ่งที่สูงที่สุดเป็นแน่ เมื่อท่านเดินสวนทางกันผ่านไปด้านหลังฉันแล้วฉันก็ยังหันไปมองอีกแล้วจึงเดินต่อไป มารู้สึกเสียใจและตำหนิตนเองว่า " เราไม่ได้ไหว้ท่าน " แล้วก็ลืมเหตุการณ์นั้นหมด ไปเที่ยวต่อไป
" พระผู้เป็นเจ้าองค์นั้นเป็นใคร? เป็นมนุษย์ เป็นอมนุษย์ หรือเป็นพระอรหันต์มาปรากฏเพื่ออนุเคราะห์ลูกโดนเฉพาะ บัดนี้พระผู้เป็นเจ้าอยู่หนใด เป็นเวลานานนักหนาแล้วที่ลูกลืมเสียสนิท อะไรหนอมาบังดวงตาบังใจของลูก เพิ่งมาระลึกได้เอาเมื่อแก่ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมใดที่ลูกได้ล่วงเกินท่าน ทำไม่ดีไม่งามกับท่านลูกกราบขอขมาขอพระผู้เป็นเจ้าจงงดโทษ ลูกขอยึดถือท่านว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก. " เมื่อศึกษาหลักธรรม ได้อ่านประวัติของพระพุทธเจ้า ประวัติของพระอรหันต์และผู้มีบุญทั้งหลายจากพระไตรปิฎกอย่างเข้าใจซาบซึ้งแล้ว เกิดเห็นโทษของการครองเรือนว่ามีความคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี คือ กิเลส ตัณหา เป็นทางมาแห่งบาป เห็นการออกบวชเป็นทางปลอดโปร่ง อิสระเสรี ไม่ต้องมีภาระ เป็นทางมาแห่งบุญ เป็นทางสิ้นเวรสิ้นบาปกรรมจึงคิดจะบวช ได้ไปติดต่อกับวัดต่าง ๆ ในกรุงเทพฯทราบว่าต้องมีญาติมารับรองและมีเงื่อนไขมาก
ฉันไม่อยากให้ญาติรู้จึงคิดจะไปบวชหมู่กับเขาที่เขาเคยจัดกัน คอยติดตามดูประกาศแจ้งความจากหนังสือพิมพ์ ติดตามอยู่ ๓ วันก็พบประกาศเชิญชวนบวชหมู่ที่จังหวัดอ่างทองทางหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งโดยทางศาลากลางจังหวัดจัดขึ้น ฉันรีบไปสมัครเป็นคนแรกทันที เจ้าภาพก็ต้อนรับด้วยความดีใจไม่ซักไซ้อะไรเลย ในวันเข้าโบสถ์ พ่อ พี่ญาติ ๆสืบทราบก็มาพบกันที่โบสถ์พอดี เงินทองที่เหลือได้ทำบุญจนหมด บาปกรรมทั้งหลายที่เคยทำมาตลอดชีวิต ขอหยุดเพียงแค่นี้ ลาทีชีวิตที่ผิดพลาดอย่างมาก หันหลังให้อกุศลกรรมอันลามกหันหน้าสู่ทางบุญทางกุศล สู่ร่มเงาอันสงบเย็นของบวรพระพุทธศาสนา เป็นอันได้บวชเป็นพระภิกษุเมื่ออายุ ๒๘ ปี ในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้ฉายาว่า " พระภิกษุ เกษตร ปคุโณ " มีพระพุทธวงศาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ จำพรรษาอยู่ที่วัดอ่างทองวรวิหาร
เมื่อบวชแล้วได้เรียน นวโกวาท อันเป็นหลักคำสอนพระภิกษุใหม่ที่เขาย่อเป็นบางส่วนจากพระไตรปิฎกซึ่งทางวัดบังคับให้เรียน ข้อวัตร ข้อปฏิบัติ เช่น การทำวัตรสวดมนต์ปรนนิบัติครูบาอาจารย์ฉันปฏิบัติอย่างเคร่งครัดไม่ขาดตกบกพร่อง งานวัดงานพระศาสนาก็ยินดีช่วยด้วยความเต็มใจ คิดว่าชีวิตนี้จะทำงานให้พระพุทธศาสนา
เป็นพระภิกษุแล้วรู้สึกปลอดโปร่ง ไม่ร้อนอกร้อนใจ ไม่สะดุ้งหวั่นไหวหวาดกลัวเหมือนครั้งเป็นคฤหัสถ์ เหมือนมาสู่อาณาจักรใหม่สู่โลกใหม่ ในพรรษานั้นฉันก็ยังอ่านพระไตรปิฎกอยู่เป็นประจำเพื่อให้เกิดความแตกฉานขึ้นใจ ได้พบพุทธพจน์ว่า " ผู้ใดมีทรัพย์แล้วไม่เลี้ยงดูมารดา บิดาทรัพย์ของผู้นั้นย่อมพินาศ " พระองค์ทรงตรัสไว้ไม่มีผิด ฉันมาหวนระลึกถึงชีวิตในอดีตขณะที่ยังท่องเที่ยวค้าขายทำมาหากินอยู่ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานด้วยความขยันที่สุดประหยัดที่สุดเพื่อความร่ำรวย ดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังแต่แล้วก็มีเหตุให้เป็นไปต่าง ๆ นานา เกิดอุปสรรคจนล้มคว่ำไม่เป็นท่า
ชะตานี้เอ๋ยช่างเลวทราม ตลอดชีวิตไม่มีความสุขเลย ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ด้วยความยากลำบากเป็นเวลาหลายปี ก็ศูนย์สลายหลายเป็นความว่างเปล่า สมแล้วที่เราไม่เคยส่งเงินไปให้พ่อ ให้พี่หรือญาติผู้มีพระคุณ ตลอดชีวิตเราไม่เคยเอื้อเฟื้อท่านด้วยการไหว้กราบไม่เคยเอื้อเฟื้อด้วยคำไพเราะอ่อนหวาน ไม่เคยเอื้อเฟื้อท่านด้วยทรัพย์สินอันควรให้ ไม่ได้ทำอะไรให้ท่านได้ชื่นชมเลย ท่านมีแต่ให้เราทุกอย่าง เคยเห็นเพื่อนรุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาเริ่มต้นชีวิตด้วยการหอบใบตรวจฉลากล๊อตเตอรี่ วิ่งขาย หอบหนังสือพิมพ์เดินเร่ขาย เขาเลี้ยงพ่อผู้แก่เฒ่า เลี้ยงแม่ผู้แก่เฒ่า ส่งน้องเรียนหนังสือ รู้จักให้ทาน รู้จักทำบุญทำกุศล กิจการของเขาก็รุ่งเรืองเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ช้าไม่นานก็ตั้งตัวได้ต่อมาก็ได้เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่โตกันทุกคน แต่ก่อนนี้เห็นแล้วให้อิจฉา
มาบัดนี้ฉันรู้ดีรู้ชั่วแล้วรู้สึกชื่นชมยินดี อนุโมทนาสาธุ " ขอเพื่อน ๆ ทุกคนจงอยู่เป็นสุข จงประสพกับความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อน ๆ ทุกคนทำดีแล้ว ทำถูกต้องแล้ว" ผลของบาปมีจริง ผลของบุญมีจริง นรกมีจริงสวรรค์มีจริง ไม่ต้องรอชาติหน้าเลย " ลูกมารู้สำนึกเอาเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างหมดไปแล้ว เคราะห์กรรมครั้งนี้พ่อแม่ไม่ได้ทำให้, พี่น้องไม่ได้ทำให้, ญาติทั้งหลายไม่ได้ทำให้,เทวดาไม่ได้ทำให้,พระพรหมไม่ได้ทำให้ แต่เราทำของเราเอง พอกันที…ชีวิตที่ผิดพลาด ! ตั้งแต่บัดนี้ลูกจะสร้างแต่กรรมดี จะสร้างแต่บุญบารมี จะอุทิศส่วนบุญให้ทุกท่าน
เคยได้ยินเสียงเล่าลือถึงพระภิกษุผู้เก่งผู้วิเศษบ้างเหมือนกันแต่ไม่สนใจ ไม่อยากเห็น เพราะได้อ่านประวัติของพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญาซึ่งเก่งกว่ามากมายในพระไตรปิฎกแล้ว ที่อยากพบอยากเห็นยิ่งกว่าคือพระภิกษุรูปใดที่เคร่งครัดรักษาสิกขาบทได้ ๒๒๗ ข้อนั้นต่างหาก พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราปรินิพพานแล้วเธออย่าคิดว่าศาสดาของเธอจะไม่มี ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพระธรรมและพระวินัย (พระไตรปิฎก) อันเราตรัสไว้ดีแล้วจะเป็นศาสดาแทนเรา." ดังนั้นฉันจึงไม่คิดจะเสาะแสวงหาอาจารย์อื่นใดเลย จวนออกพรรษาฉันชักชวนพระภิกษุด้วยกันออกธุดงค์แสวงหาความสงบความวิเวกก็ไม่มีใครไป เมื่อออกพรรษาได้ไม่นานฉันได้เข้าไปลาท่านเจ้าอาวาส ท่านไม่ว่าอะไร ท่านพูดสั้น ๆ ว่า " เกษตร…อย่าทำให้เสียชื่อนะ." ฉันน้อมรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้ไม่ลืม ออกจากวัดแล้วก็เที่ยวไปตามภูเขา, ตามถ้ำ,ตามป่าช้าแสวงหาที่สงบสงัดปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนาตามที่ได้ศึกษามาจากพระไตรปิฎก พบวัดไหนสำนักไหนมีความสงบพระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็อยู่จำพรรษาด้วย ขณะเดียวกันก็ช่วยงานวัด เช่น การก่อสร้าง วาดภาพฝาผนัง ปั้นรูปปั้นในพระพุทธศาสนา ซึ่งสมัยเป็นนักเรียนชอบด้านนี้และมีฝีมือทางศิลป์อยู่ ทุกหนทุกแห่งที่ไปมักสร้างผลงานไว้ งานพระศาสนานี้ถือว่าเป็นงานใหญ่มีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ เป็นงานที่ทำให้โลก คิดถึงงานที่ทำไว้ทีไรปลื้มใจทุกที
ยังจำได้ว่าเมื่อแม่ยังไม่ตายท่านได้แบ่งที่ดินอันเป็นมรดกให้แปลงหนึ่ง รู้สึกเหมือนมีอะไรผูกมัดอยู่ยังไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง จิตก็ไม่สงบจึงกลับไปบ้านเพื่อยกที่ดินคืนให้พ่อ จากการที่ออกจากบ้านไปมาทำค้าขายเป็นเวลานาน มีเงินมีทองแล้วไม่เคยส่งข่าว ไม่เคยไต่ถามทุกข์สุขใครเลย ไม่เคยส่งเงินไปบ้านเลย เมื่อไปถึงบ้านพบพ่อ พ่อพูดว่า " ไปมีความสุขอยู่คนเดียว ไม่คิดถึงใครบ้างเลย " ฉันรู้สึกสำนึกผิดและอับอายมาก ได้จัดการโอนโฉนดที่ดินให้เรียบร้อยแล้วก็ลาทุกคนออกมา เมื่อออกจากบ้านมาแล้วยังคิดถึงบ้านอยู่อีก ๗ วันจึงหาย
บัดนี้ความใฝ่ฝันเมื่อครั้งเป็นเด็ก เคยฝึกเอาไว้เมื่อยังเป็นเด็กที่อยากใช้ชีวิตในป่าเป็นจริงแล้ว หรืออาจเป็นบุญเก่าบารมีเก่าที่ชาติก่อนเคยเป็นฤษีหรือเป็นนักพรตอยู่ตามป่าตามเขามาก่อน ชาตินี้จึงชอบป่าชอบภูเขา ขณะที่ปฏิบัติธรรมอยู่ตามป่าตามภูเขารู้สึกเหมือนอยู่ในโลกทิพย์ เป็นโลกแห่งความบริสุทธิ์ อิสระเสรี ไม่ต้องวิตกกังวลกับสิ่งใด ๆ ในป่าจะมีกลิ่นไอของป่า มีเสียงหรีดหริ่งเรไรอันเป็นเสียงธรรมชาติที่น่ารื่นรมย์ เป็นที่ ๆ พระอรหันต์และผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายส้องเสพ ในป่ามีความสะอาดแม้ไม่ได้อาบน้ำเป็นเดือน ๆ ก็ไม่เหนียวตัวเหมือนอยู่ในเมือง การปฏิบัติธรรมก็มีอารมณ์สงบตั้งมั่นดี
#พบเขาหินเทิน ฉันได้ดินธุดงค์ไปตามที่สงบสงัดหลายแห่ง ใน พ.ศ. ๒๕๒๔ จำพรรษาอยู่เขา กระได อำเภอเมืองจังหวัดประจวบฯ ซึ่งครั้งนั้นเป็นเพียงที่พักสงฆ์ ฉันได้สร้างกุฏิ, ศาลา, และรูปปั้นไว้ได้อยู่ที่นั่น ๒ ปี ออกจากที่นั่นคิดจะจาริกไปยังประเทศพม่าอยากไปแดน พุทธภูมิในอินเดียไม่คิดจะกลับ มีพระภิกษุ ๒ องค์ แม่ชี ๓ รูป ติดตามไปด้วย เดินไปตาม ถนนสายหนองบัว ด่านสิงขร ผ่านหมู่บ้านมะขามโพรงเห็นกลุ่มหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่บ้าง ซ้อนกันอยู่บ้างเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มท่ามกลางไร่สับปะรด คิดว่าสวยดี แต่ไม่คิดจะอยู่ พากันเดินต่อไปจนเวลาบ่ายมีเจ้าของโรงเลื่อยชาวไทยที่ไปทำไม้ในเขตประเทศพม่าขับรถ คืนนั้นพักอยู่ในโรงเลื่อยใน พม่า ในคืนนั้นฉันเกิดความสังหรณ์ใจทั้งคืนว่า " ตามภูเขาเล็ก ๆ แถวบ้านมะขามโพรง น่าจะมีถ้ำ " อยากจะกลับไปดูอีกที รุ่งขึ้นเช้าเป็นวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖ หลังจากเจ้าของโรงเลื่อยเลี้ยงอาหารเช้าแล้วได้ลาเขาออกเดินทาง เมื่อไปถึงทาง ๓ แพร่ง ทางหนึ่งเข้าไปในพม่าอีกทางหนึ่งกลับเมืองไทย ผู้ติดตามทุกคนเคี่ยวเข็ญให้เดินทางต่อไปแต่ฉันก็พากลับเมืองไทยทุกคนก็ตามกลับด้วยความเกรงใจ เดินทางมาถึงหมู่บ้านมะขามโพรงเป็นเวลาบ่าย ได้แวะพักหลบแดดอยู่ที่ศาลาข้างทางแห่งหนึ่ง( เวลานี้พังหมดแล้ว )ได้เห็นเด็กกลุ่มหนึ่ง จึงถามพวกเด็ก ๆ ว่า " แถวนี้มีถ้ำไหม? " พวกเด็ก ๆ ตอบว่า " มี " จึงให้พวกเด็กพาไป
พวกเด็กพาเดินผ่านไร่อ้อยไร่สับปะรด ถึงเขาหินเทินอันเป็นกลุ่มหินขนาดใหญ่ตั้งซ้อนกันอยู่คล้ายถ้ำ ขณะที่เดินขึ้นสู่ปากถ้ำมีความรู้สึกคุ้นเหมือนเคยอยู่มาก่อน คิดว่า " คงมีอะไรดลใจให้มาพบเข้า " เมื่อขึ้นไปดูบภูเขาเห็นหินก้อนมหึมาตั้งอยู่บ้างซ้อนกันบ้างทั่วไปเป็นธรรมชาติที่สวยงามและอัศจรรย์ มีบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนที่ไหน มีความสงบสงัดไกลบ้านคน ไกลความเจริญทางด้านวัตถุเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม คิดว่า " เราเจอสถานที่ ๆ ดีที่สุดแล้ว " จึงตกลงใจอยู่ที่นี่ ต่อมาอีก ๓ วัน พระภิกษุที่ติดตามมา ๒ องค์ได้ลาเข้าไปในเขตพม่าใหม่ ส่วนแม่ชีทั้ง ๓ อยู่จำพรรษาด้วยกันพรรษาหนึ่งแล้วก็ลาจากไป ฉันจึงอยู่ที่นี้ผู้เดียวอย่างสงบ ครั้งนั้นที่นี้มี ไก่ป่า, นกกระทา, กระแต,เต่า,ตะกวด, งู เป็นจำนวนมากต่างก็เดินบ้าง วิ่งบ้าง เลื้อยบ้าง คลานบ้าง อยู่ทั่วไป พวกไก่พวกนกก็พากันขันพากันร้องกันให้แซ่ดไปหมด มักมีคนมาล่ามาดักมายิงเอาไปบ่อย ๆ จนในที่สุดสัตว์ต่าง ๆ เหล่านี้ก็ค่อย ๆ หมดไป. มีคนแถวนั้นเล่าให้ฟังว่า " ที่เขานี้จะมีพระธุดงค์มาพักมาปฏิบัติธรรมไม่ขาด " ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า " เมื่อสัก ๓๐-๔๐ ปีมาแล้ว ที่นี้ในเวลาเย็นเวลาค่ำจะมีเสียงมโหรี เสียงดนตรีทิพย์บรรเลงขับกล่อมทุกวัน นานวันเข้าต่อ ๆ มาก็หายไป
#ท่านพัฒนาเขาหินเทิน เขาหินเทินเป็นกลุ่มหินมีขนาดประมาณ ๑๐๐ ไร่ ไม่ใช่อุทยาน ไม่ใช่ที่ๆ อยู่ในความคุ้มครองของกรมป่าไม้ เป็นเพียงที่รกร้างว่างเปล่าที่ชาวบ้านทำประโยชน์ไม่ได้แล้ว แต่ฉันเห็นประโยชน์มหาศาลจากความงามความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วจึงพาชาวบ้านที่มาทำบุญช่วยกันพัฒนาเขานี้ เช่น ขุดปรับแต่งดิน ปรับแต่งพื้นที่ จัดระเบียบก้อนหินให้เหมาะสมงดงาม สร้างกุฏิ ศาลา สร้างแทงค์น้ำ สร้างห้องน้ำ จนมีความสะดวกสบายแต่ก็รักษาความเป็นธรรมชาติไว้ด้วย มีการปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นโดยรอบ เมื่อมาถึงที่นี่ใหม่ ๆ ฉันบอกชาวบ้านว่า " ต่อไปคนกรุงเทพฯจะมาดู "
ต่อมา พ.ศ. ๒๕๒๘ มีนายทุนชาวไต้หวันทำเรื่องขอสัมปทานตัดหินที่เขาลูกนี้และกลุ่มหินบริเวณหมู่บ้านมะขามโพรงโดยรอบเพื่อทำหินประดับส่งขายต่างประเทศ เนื่องจากหินเหล่านี้มีลายสวยงาม ฉันได้ต่อสู้คัดค้านจนนายทุนเอาไม่ได้ ฉันจำพรรษาที่นี่อย่างสงบเรื่อยมา บางครั้งก็มีพระภิกษุที่ต้องการปฏิบัติธรรมในที่สงบมาพักอาศัยอยู่ด้วย ตั้งแต่
มาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ก็มีญาติโยมมาทำบุญและถือศีลอุโบสถทุกวันพระไม่ขาด ฉันก็อบรมสั่งสอนให้รู้จักการเจริญสมาธิภาวนา แนะนำให้ทุกคนรู้จักพระไตรปิฎก อยู่ที่นี่มาก็มีอุปสรรคบ้างได้ทำเฉยเสีย ไม่รับทราบ ไม่โต้ตอบอดทนข่มใจไว้ ถือว่าเป็นเวรเป็นบาปเก่าที่เราเคยก่อไว้ แต่แล้วก็เบาบางลง
ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ พิจารณาเห็นว่าอนาคตมีความไม่แน่นอนที่นี้ควรเป็นวัดให้เป็นหลักฐานเสียที จะได้เป็นที่พึ่งพิง เป็นที่พักอาศัยแก่ผู้แสวงหาหนทางพ้นทุกข์ แก่ชาวพุทธผู้แสวงหาความสงบได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม จึงได้ปรึกษากับญาติโยม อุบาสกอุบาสิกา และผู้มีศรัทธาถึงการจัดซื้อที่ดินโดยรอบเขาเพื่อสร้างวัด เพียงเอ่ยปากก็มีผู้ตอบสนองด้วยดี จึงพากันไปปรึกษาพระเถระชั้นผู้ใหญ่และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทุกท่านในจังหวัดก็ได้รับความสนับสนุนเต็มที่ แล้วตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อจัดหาทุนดำเนินการ จากนั้นก็มีผู้เลื่อมใสศรัทธามาร่วมประสานงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นที่น่ายินดี

ฉันได้รจนาไว้เป็นหลักฐานดังนี้ ขอสัตว์โลกทั้งปวงจงมีความสุขความเจริญโดยทั่วกันทุกท่านเทอญ

โดยคุณ pilamat (523)(1)   [พ. 28 ก.ย. 2559 - 01:58 น.]



โดยคุณ pomkaew (15.8K)  [พ. 28 ก.ย. 2559 - 02:39 น.] #3776459 (1/4)

โดยคุณ วัตรราชบุรี (289)  [พ. 28 ก.ย. 2559 - 07:41 น.] #3776467 (2/4)
ผมเคยไปกราบนมัสการท่านมาแล้วครับ

โดยคุณ pralike (1.4K)  [พ. 28 ก.ย. 2559 - 13:17 น.] #3776523 (3/4)

โดยคุณ molotee (2.6K)  [จ. 03 ต.ค. 2559 - 15:58 น.] #3777656 (4/4)

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1