ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : "เมตตาณัง" มหาเมตตาใหญ่ ของ เจ้าตำหรับเสือหัวขาด หลวงพ่อไฉน วัดป่าคุณากรบูรพาจารย์ ขอนแก่น



(N)


ถ้าจะกล่าวถึงผู้ที่นยิมความงดงามและพุทธคุณของรอยสักในปัจจุบันแล้วล่ะก็ น้อยคนนักที่จะไม่ทราบถึงรอยสักอันเป็นเอกลักษณ์ของหลวงพ่อท่าน เนื่องจากได้มีทีวีหรือหนังสือต่างรวมไปถึงรายการวิทยุได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับรอยสักอันเป็นเอกลักษณ์นี้ จึงทำให้ผู้ที่นิยมรอยสักเพิ่มมากขึ้นไปจนถึงคนต่างประเทศก็เข้ามาสักที่วัดไม่ขาดสาย แม้ปัจจุบันพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจะวางเข็มมาได้หลายปีแล้ว เนื่องจากสมัยก่อนนั้นท่านเพ่งกสิณไฟอย่างจิงจังและสักมาโดยแทบไม่ได้พักสายตา จึงทำให้ปัจจุบันไม่สะดวกในการสักเท่าใดนัก แต่ท่านยังมีลูกศิษย์ที่ฝีมือการสักนั้นยังคงเอกลักษณ์ไม่ต่างท่านพระผู้เป็นอาจารย์ และทุกครั้งที่สักนั้น หลวงพ่อจะต้องเป้นผู้เป่ากำกับตลอดทุกยันต์ ทุกรอยสัก ที่ลงบนร่างกาย พูดถึงเรื่องรนอยสึกกันพอหอมปากปอมคอ มาลองมาศึกษาประวัติของพระเดฃพระคุณหลวงพ่อไฉนพอเป็นสังเขปบ้างส่วนกันครับ

ประวัติโดยสังเขปและประสบการณ์บางส่วนคับ

ประวัติพระครูปลัดธนาทร (หลวงพ่อไฉน ฉนฺทสาโร)

หลวงพ่อไฉน ฉนฺทสาโร เป็นพระอีกรูปหนึ่งที่มีความเมตตาต่อศิษย์อย่างมากและยังเป็นพระที่ปฏิบัติดี มีความแตกฉานในวิชาอาคมต่างๆ เช่นอักขระ ยันต์ และวิชาต่างๆไม่ว่าจะเป็น การสักยันต์ ทำตะกรุด ดูดวง ลงทองที่หน้าผาก และเชี่ยวชาญในการเล่นอักขระมากๆ ท่านเป็นลูกศิษย์ในสายของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยทุกๆวันจะมีลูกศิษย์ลูกหามากราบนมัสการจากที่ต่างๆอย่างไม่ขาดสาย ท่านเป็นพระที่มีอุปนิสัยเป็นกันเองกับลูกศิษย์คุยสนุกสนานพูดตรงไม่ถือเนื้อถือตัว ใครได้มากราบนมัสการก็จะสัมผัสได้ในความเมตตาของท่านที่มีต่อศิษย์ มีความสุขสบายใจกลับไปทุกราย พุทธคุณของท่านนั้นที่ลูกศิษย์ได้พบเจอกันไม่ว่าใจเป็นในเรื่องของ คงกระพัน แคล้วคลาด เจริญก้าวหน้า โชคลาภ เมตามหานิยม มีความศักดิ์ศิษย์ยิ่งนัก
หลวงพ่อท่านเป็นคนวัดพระยาไกร เขตยานนาวา กรุงเทพฯ เป็นบุตรของ นายเฉลียว และ นางสมจิตร สงปรีดี มีพี่น้อง 5คน ท่านเป็นคนที่ 4 เมื่อวัยเด็กท่านชอบเรื่องของพระมาก และศึกษาการเป็นอยู่ของพระ และเมื่ออายุ 15 ปี นั่งกสินทุกอย่าง คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่ออายุครบ 21 ปี ท่านก็ได้ไปเป็นทหารจนครบ 2ปี เมื่อปลดจากทหารท่านก็ได้บวชเป็นพระเมื่อปี 2530 ท่านได้เดินธุดงค์ ไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์ อ.บึงสามพัน ท่านได้ตำราการทำกสินของ หลวงปู่แหวน ที่วัดหินดาดน้อย ท่านจึงเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง และเดินธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆหลายจังหวัด เช่น เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ ลำพูน เชียงใหม่ เชียงราย อุดร ขอนแก่น ศรีษะเกศ และอีกหลายจังหวัด และเมื่อกลับมาถึงวัดหนามแดง ท่านก็ได้พบเจอกับอาจารย์มานิต อาจารย์มานิตเป็นศิษย์ของอาจารย์ย่ามแดง เป็นลูกศิษย์ของ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท และพระอีก 3 รูป จึงได้เรียนวิชาของหลวงปู่ศุขกับอาจารย์มานิต พระที่เรียนกับอาจารย์มานิต มีหลวงพี่จาบ หลวงพี่ทิพ หลวงพี่เม และท่าน ต่างคนต่างได้วิชาคนละแบบกัน และแล้วท่านต้องสึกจากการบวชเป็นพระเพราะไม่มีใครดูแลแม่ เมือปี 31 เมื่อถึงปี 33 ท่านก็ได้บวชอีกครั้ง เพราะท่านไม่ชอบชีวิตของการครอง ฆราวาส ชีวิตของท่านจึงหวนคืนสู่เพศบรรพชิตอีกครั้ง และครั้งนี้ทำให้ท่านมุ่งมั่นในการปฎิบัติมากขึ้น ในเรื่องของการรื้อภพรื้อชาติ ปลดวิบากกรรมของญาติโยม และเพียรในการฝึกฝนวิชาของหลวงปู่ศุขมากขึ้นจนแตกฉานและเพียรในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านได้เดินทางจากนครสวรรค์ มาที่จังหวัดนครราชสีมาและได้มาอยู่ที่ วัดมิตรภพ ต.กลางดง อ.ปากช่อง ได้ 4 ปี เจ้าคณะอำเภอได้ส่งให้ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสที่ วัดซับสวอง ต.ขนงพระ เมื่อปี 40 ท่านได้เปิดการสักยันต์ในสายของ หลวงปู่ศุข จนมีลูกศิษย์มากมายและเป็นที่รู้จักของคนใน อำเภอปากช่องและจังหวัดอื่นๆมากมาย ท่านเป็นเจ้าอาวาสได้ 10 ปี ท่านก็ได้ลาออกและเดินทางไปอยู่วัดดอยน้อย อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ แต่ก็อยู่ได้แค่ครึ่งปี ท่านก็ต้องได้กลับมาอยู่ปากช่องอีกครั้ง เพราะลูกศิษย์ขอให้กลับมา จึงกลับมาอยู่ที่วัดหนองแก ต.วังไทร อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ทุกวันนี้
ประสบการณ์ตอนเดินธุดงค์
การเดินธุดงค์เมื่อปี 30 ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ณ. อุทยานน้ำหนาว เมื่อสมัยนั้นยังเป็นป่าดงดิบ อยู่เลย ท่านจำได้ว่าตอนเที่ยงวันแทบจะมองไม่เห็นพระอาทิตย์เลย และอากาศเย็นมากๆ ท่านได้เดินเข้าไปอยู่ในป่าลึกเพื่อฝึกสมาธิให้แกร่งยิ่งขึ้น และขอเรียนวิชากับป่า จนคืนหนึ่งระหว่างที่กำลังปฏิบัติธรรมตามปกติ ในนิมิตมีฤๅษีองค์หนึ่งมาปรากฏและยังมีแนะนำในเรื่องการดูธาตุของ
คนหรือพูดอีกอย่างก็คือสอนให้ดูดวงนั้นเอง เรียกว่าตรวจดูธาตุสี่ แต่การสอนของท่านๆเป็นการพูดให้ฟังและจำเอาเองจำจดไม่ใช่จดจำเป็นการเรียนในสมาธิเสร็จแล้วจึงออกจากสมาธิมาจดเป็นอักษร ท่านจึงใช้อยู่ทุกวันนี้ ในสถานที่เดียวกันคือ ป่าอุทยานน้ำหนาว ระหว่างการเดินอยู่ในป่า ท่านก็เดินในตอนกลางวันพอสี่โมงเย็นก็ต้องหาที่พักใหม่ทุกวันระหว่างที่เดินก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังเดินตามเสือโคร่งอยู่เห็นรอยเท้าอยู่ทางที่จะลงลำธารเป็นลอยขนาดใหญ่กว่ากำปั้นสักหน่อย ลองเอามือแตะดูยังอุ่นอยู่เลย แต่ท่านต้องเดินทางไปเส้นทางนั้น ท่านจึงเดินข้ามลำธารไปอีกฝั่งหนึ่ง แล้วเดินเลี้ยวซ้ายไปซัก 20 เมตร แล้วเลี้ยวขวาอีกที ท่านต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ เดินเบื้องหน้าท่านประมาณ 50 เมตร เมื่อตั้งสติได้ท่านได้ตั้งจิตอธิฐานแผ่เมตตาให้กับเสือ ไม่น่าเชื่อเสือตัวนั้นก็เดินเลี้ยวซ้ายหายไป ท่านจึงเดินทางต่อไป เมื่อตกตอนเย็นประมาณ 4 ทุ่ม ท่านก็ปักกรดของท่านและทำกิจกรรมต่างๆ และทำสมาธิเช่นเคย ท่านจะมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆติดตัวไปด้วยไว้ทำวัตรสวดมนต์ คืนนั้นท่านก็ทำวัตรสวดมนต์เหมือนเคยและนำพระพุทธมาวางบนแคร่เล็กๆเพี่อสวดมนต์ เมื่อสวดมนต์ก็ทำสมาธิจนดึก ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรลากเข้ามาใกล้กรดเสียงดังแสกๆเข้ามาใกล้ๆเรื่อยๆ จึงลืมตาดูในบริเวณที่นอนต้องจุดไฟไว้หนึ่งกองจึงทำให้มองเห็นงูตัวใหญ่มากๆตัวหนึ่ง ( ลองกางแขนให้สุดนั้นคือความใหญ่ไม่รวมความยาว) มาหยุดอยู่ตรงเบื่องหน้าพระพุทธรูป และแผ่พังพานโน้มหัวลง ทำความเคารพพระพุทธอยู่ 3 ครั้ง แล้วจึงหันไปโดยรอบ เหมือนจะบอกว่าอย่ามายุ่งพระท่านปฎิบัติธรรมอยู่ แล้วงูใหญ่ก็เอาหัวลง ที่ข้างหลังงูซิ มีผู้ชายใส่ชุดขาวผมขาวแก่มากเกล้าผมมวยนั้งอยู่บนหลังงู หนวดเครายาวมาก แล้วงูใหญ่ก็เลี้ยวลอดใต้แคร่ ที่วางพระพุทธรูปไปได้ แคร่ตัวนั้นสูงประมาณครึ่งศอก กว้างครึ่งซอกแต่งูใหญ่เลื้อยผ่านไปได้ หน้าประหลาดมาก

ได้พบหลวงปู่คำคนิง
ท่านได้มีโอกาสที่จะเดินธุดงค์เป็นประจำ มีอยู่ปีหนึ่งที่ท่านได้พักอยู่ที่วัดคลองปลัดเปลี่ยง วันหนึ่งขวัญจิต ศรีประจัญ ได้จัดงานทำบุญบ้านหลังใหม่ ที่โยมขวัญจิตได้ซื้อไว้ที่สายบางนา และในวันงานนั้นโยมขวัญจิตได้นิมนต์แต่พระปฏิบัติ มาสวดมนต์หนึ่งในนั้นมีท่านและหลวงพี่หมูอยู่ด้วย เมื่อท่านไปถึงบ้าน โยมขวัญจิตบอกว่าหลวงปู่คำคนิงอยู่บนบ้านที่ห้องพระ ท่านจึงได้ขึ้นไปกราบนมัสการหลวงปู่ แต่ว่าหลวงปู่ท่านทำสมาธิอยู่จึงไม่รบกวน สักพักหลวงปู่ท่านคลายจากสมาธิ ท่านจึงเข้าไปกราบหลวงปู่คนิงที่ตัก ซึ่งคำแรกที่หลวงปู่คำคนิงพูดท่านพูดกับหลวงพ่อไฉนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “รอมานานแล้ว”และหลวงปู่ท่านช้อนมือของท่านขึ้น แล้วบอกว่า ”อย่าสึกจากพระนะ จะได้เป็นใหญ่เป็นโตในทางพระพุทธศาสนา” แล้วหลวงปู่ก็เอามือของท่านมาจับที่ศรีษะของหลวงพ่อไฉนแล้วจึงเป่าวิชาประสิทธิให้ หลวงปู่ท่านบอกว่าสักวันจะรู้เอง สิ่งที่หลวงปู่ให้คือวิชาหรืออะไรสักอย่างที่ได้จากหลวงปู่คำคนิงซึ่งนั่นก็คือวิชาฤษีแปลงสาร

ปัจจุบัน พระเดชพระคุณหลวงพ่อไฉนท่านได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าคุณากร อ.บ้านฝาง โดยได้สร้างศาสนะสถาน ปรับปรุงและพัฒนา จากวัดที่แถบไม่มีพระสงฆ์มาจำพรรษาในแต่ล่ะให้กลายเป็นวัด ที่มีความสวยงามร่มรื่น แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้นอกจากสรรพวิชาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้ร่ำเรียนมา จนถึงปัจุบัน ท่านก็คงศึกษาหาความรู้กับพระเกจิอาจารย์ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าอย่างมิได้ขาด ส่วนจะมีองค์ใดบ้างนั้นคงได้นำมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปครับผม....

โดยคุณ ลูกปู่ตาก (2K)  [อา. 25 ธ.ค. 2559 - 18:52 น.]



!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1