ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : @@@ ประวัติ หลวงพ่อเฮง ปภาโส ศิษย์ผู้สืบทอดวิทยาคม จากหลวงพ่อคง สุวัณโณ วัดวังสรรพรส @@@



(N)


หลวงปู่เฮง ปภาโส

วัดพัฒนาธรรมาราม ( วัดบ้านด่านพัฒนาช่องจอม ) บ้านด่านพัฒนา ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์





พ่อแม่เป็นชาวกัมพูชาโดยกำเนิด ได้อพยพมาอยู่ประเทศไทยในสมัยที่ฝรั่งเศสปกครอง

ประเทศกัมพูชา ได้มาอยู่หมู่บ้านปราสาท ต.ตาอ็อง อ.เมือง จ.สุรินทร์ประกอบอาชีพทำนาทำสวน

สมรสมีบุตรด้วยกัน 13 คน(หลวงปู่เฮง ปภาโส)เป็นบุตรคนที่ 7เกิดปีเถาะ เดือนสิงหาคม พ.ศ.2470

ที่หมู่บ้านปราสาทในวัยเด็กอายุประมาณ 13-14 ปี หลานของแม่คือพระอาจารย์เฉิด ธมฺมกโร

ซึ่งท่านเป็นลูกผู้พี่ลูกของป้า(พี่สาวของแม่) ท่านได้เดินทางธุดงค์มาจากประเทศกัมพูชา

ท่านได้เดินทางมาเยี่ยมญาติพี่น้องที่ประเทศไทย ท่านบอกจะเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ

ก่อนที่ท่านจะไปท่านได้บอกกับแม่ว่า โยมอาฉันอยากจะขอให้น้องไปด้วยโยม

อาจะว่าอย่างไร ฉันจะได้สอนให้น้องได้หัดเรียนเขียนอ่านจะได้รู้หนังสือ

แม่บอกว่า ตามใจจะไปก็ไปถ้าน้องอยากจะกลับก็ให้พระมาส่งน้องก็แล้วกัน

หลังจากนั้นก็ออกเดินทางธุดงค์ไปตามป่าเขาตามแนวเขตชายแดนกัมพูชา

เจอลานหินใหญ่ๆท่านก็พาหยุดพักค้างคืน แต่ก่อนที่จะนอน อาจารย์ท่าน

จะเดินรอบๆลานหินก่อน 3 รอบ และขีดเป็นวงกลมให้นั่งให้นอนอยู่ในบริเวณที่ขีดไว้

ห้ามออกนอกพื้นที่ เจอที่พักท่านจะทำแบบนี้เป็นประจำทุกครั้ง ท่านจะสอน

ให้เขียนให้อ่านภาษาขอมภาษาบาลีท่านสอนอะไรมาหลวงปู่ก็เข้าใจง่ายเพราะว่า

ตอนอยู่บ้านโยมพ่อก็ได้สอนให้หัดเขียนหัดอ่านอยู่บ้างแล้ว และยังมีคาถาอยู่

บทหนึ่งที่ท่านบอกให้ท่องให้ได้เขียนเอาไว้ท่องให้ขึ้นใจ เพราะเป็นคาถาที่สำคัญที่สุด

ในเวลาที่คับขันจะได้ใช้เป็นคาถาบังตัวแคล้วคลาดปลอดภัยเมตตามหานิยม

ท่องเอาไว้ให้ได้ ระยะเวลาที่เดินธุดงค์ไปกับท่าน ทำให้หลวงปู่แปลกใจ

อยู่หลายเรื่องแต่ก็ไม่กล้าถามมีอยู่วันหนึ่งท่านบอกให้นั่งหลับตา หลวงปู่ก็นั่งหลับตา

ตามที่ท่านบอก สักพักหลวงปู่ก็แอบลืมตาดูท่าน แต่ก็ไม่เห็นท่านนั่งอยู่เลย

เห็นแต่เสือแต่ช้างเดินอยู่ข้างลานหินเต็มไปหมด หลวงปู่ก็กลัวก็เลยหลับตาต่อ

ลืมตาอีกครั้งก็เห็นท่านนั่งอยู่ที่เดิม แปลกใจจริงๆเวลาฝนตกเหมือนกัน

แปลกใจทำไมไม่เปียก นั่งอยู่ที่ลานหินที่พักไม่มีอะไรบังแดดบังฝนเลย

ฝนก็ตกแรงน้ำไหลเต็มไปหมดท่านก็ไม่เปียก หลวงปู่ก็ไม่เปียก อัศจรรย์จริงๆ

ตอนเช้าก็เหมือนกันไม่รู้ไปบิณฑบาต เอาข้าวเอาน้ำมาจากไหน ตอนเดินธุดงค์ก็ไม่เคยเดิน

ผ่านหมู่บ้านเลยสักหลัง เวลากินข้าวท่านจะให้กินวันละ 7 คำเท่านั้น แต่ก่อนจะกินท่าน

จะเสกให้กินทุกครั้ง แล้วก็ออกเดินทางต่อทั้งวันไม่รู้สึกหิวเลย เวลานอนก็เหมือนกัน

เสื่อไม่มีปูนอนผ้าก็ไม่มีห่มแต่ก็ไม่มียุงกัดหนาวก็ไม่หนาว ร้อนก็ไม่ร้อน

เวลานอนท่านจะหักใบไม้มาปัดกวาดให้ก่อน แล้วก็ขีดเป็นวงกลมรอบๆลานหิน

ที่พักก่อนที่ท่านจะให้นอนตลอดระยะเวลาที่เดินธุดงค์อยู่ในป่ากับท่านนานถึง 14 เดือน

ได้รู้ได้เห็นอะไรหลายอย่างที่ท่านได้สั่งสอนอักขระจนแตกฉานทุกตัวท่านก็กลับพามาส่งที่

ประเทศไทยแล้วท่านก็เดินทางกลับประเทศกัมพูชาและท่านก็ได้มรณภาพอายุ 97 ปี

ที่ประเทศกัมพูชาเมื่อหลายสิบปีแล้ว ท่านคือครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาอาคมให้

หลวงปู่ คือ พระอาจารย์เฉิด ธมฺมกโร ญาติท่านเอง


หลังจากท่านได้ส่งหลวงปู่กลับบ้าน ตอนนั้นหลวงปู่อายุประมาณ 15-16 ปี

โยมพ่อโยมแม่ก็ให้บวชเณรเรียนหนังสือไทยและบาลีเพิ่มเติม สอบได้นักธรรมโท

พออายุครบ 21 ปี ก็ไปเป็นทหารอยู่ที่ลพบุรี ที่กรมทหารม้าลพบุรี เลี้ยงม้าขี่ม้าอยู่กรมทหาร 3 ปี

ก็ปลดจากการเป็นทหาร ตอนนั้นก็ได้เริ่มออกเที่ยวไปในหลายจังหวัดหลายอำเภอ เที่ยวไปเที่ยวมาก็กลาย

เป็นเสือเป็นนักเลง ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายต่อหลายครั้งไม่ได้รับอันตรายเลย แคล้วคลาดปลอดภัยทุกครั้ง

ในหลายจังหวัดอยู่ไม่ได้ ชัยภูมิ-ร้อยเอ็ด-ศรีสะเกษ-บุรีรัมย์-สุรินทร์ที่ปะทะกับเจ้าหน้าที่นานที่สุดคือที่หมู่บ้านกระดาษ-

บ้านโคกทม จ.สุรินทร์ นานถึง 8 ชั่วโมง ก็หนีรอด และต่อมาก็ได้ย้อนกลับมาบ้าน เพราะคิดถึงโยมแม่ พอมาถึงบ้าน

พ่อแม่ตกใจเพราะหายไปนาน แม่บอกว่าเมื่อเช้านี่เองแม่ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ แม่นึกว่าเองตายไปแล้วเห็น

หายไปนานถึงว่าสิแม่ผมอยู่ไม่ถูกเลย มันร้อนรนบอกไม่ถูก อยากจะกลับมาหาแม่

แม่บอกว่า อย่าอยู่เลยลูกเอ๋ยให้หลบไปก่อน ตำรวจมาตามหาที่บ้านทุกวันเลย


จากนั้นในปี 2492 ก็ได้เดินทางหลบไปอยู่ที่ประเทศกัมพูชา 3 ปี และในปี พ.ศ.2495 ได้กลับมาที่ จ.จันทบุรี

อยู่ระยะหนึ่งก็ได้บวชอยู่กับ หลวงพ่อคง สุวณฺโณ ที่วัดวังสรรพรส ต.บ่อ อ.ขลุง จ.จันทบุรี ตอนที่จำพรรษาอยู่

วัดวังสรรพรสท่านให้เป็นผู้จารอักขระวัตถุมงคลที่ท่านสร้างท่านจะเขียนเป็นภาษาไทยมาให้ หลวงปู่ก็จะจาร

เป็นภาษาขอมให้ท่านเพราะว่าตอนนั้นท่านยังไม่เก่งภาษาขอม หลวงปู่เป็นผู้จารท่านจะเป็นผู้ปลุกเสกตอนหลัง

ท่านเรียนรู้ท่านก็เก่งมากมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านทำพิธีปลุกเสกปลัดขิกของท่าน ท่านได้นิมนต์หลวงพ่ออี๋

วัดสัตหีบ มานั่งปลุกเสกร่วมท่านจะทำที่นั่งอยู่ที่สูงมาก จุดธูปเทียนอยู่ข้างบนท่านจะนั่งคู่กัน

อยู่ที่สูงๆและหย่อนด้ายสายสินธุ์ลงมาที่กะละมังใบใหญ่ที่ท่าน

ใส่น้ำลอยปลัดขิกเอาไว้ สายสินธุ์ที่ท่านหย่อนมาเส้นใหญ่มากๆเส้นเท่าแขน

และท่านก็นิมนต์พระมานั่งล้อมรอบจับด้ายสายสินธุ์นั่งปรกอธิษฐานจิตที่กะละมังปลัดขิกอยู่ชั้นล่าง

หลวงปู่ก็ได้นั่งปลุกเสกร่วมกับท่านด้วยเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ปลัดขิกวิ่งวนชนกันอยู่ในน้ำ

ที่กะละมังใบใหญ่ ท่านบอกว่าตัวไหนมันตายจะไม่วิ่ง มันจะจมน้ำ ตัวไหนที่มันไม่ตายมัน

จะวิ่งวนชนกันอยู่อย่างนั้นแหละ หลวงปู่เห็นกับตาอัศจรรย์จริงๆ ตอนนั้นหลวงปู่ไม่ได้จำพรรษาอยู่

กับท่านได้ออกธุดงค์และได้พัฒนาสร้างวัดสร้างศาลาสร้างพระอุโบสถไว้หลายแห่งที่จังหวัดจันทบุรี





ธรรมสวัสดี

อ.อุดมชัย อมรวิกัยกุล
ขอขอบคุณที่มา https://www.facebook.com/notes

โดยคุณ ansaldo (2.5K)  [อา. 11 มิ.ย. 2560 - 07:57 น.]



!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1