(N)
ประวัติครูบาอริยชาติ
ครูบาถือกำเนิดเมื่อวันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2524 ที่บ้านปิงน้อย อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เป็นบุตรของ โยมพ่อสุข โยมแม่จำนง อุ่นต๊ะ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาด้วยกัน 3 คน เป็นผู้ชายทั้งหมดคือ
1. นายนิเวศน์ อุ่นต๊ะ
2. นายนิรันดร์ อุ่นต๊ะ
3. ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต
เมื่อแรกที่ครูบาจะถือกำเนิดนั้น ขณะที่โยมแม่ตั้งครรภ์อุ้มท้องได้ฝันประหลาดไปว่า ได้รับผ้าขาวผืนใหญ่สีขาวนวลตา เมื่อพิจารณาก็รู้สึกชอบใจยิ่งนัก เพราะผ้าผืนนั้นขาวสะอาดไร้รอยเปื้อนใด ๆ จากนั้นโยมแม่ก็สะดุ้งตื่น แล้วได้นำความฝันนี้ไปเล่าให้ผู้เฒ่าผู้แก่ฟัง ซึ่งล้วนมีแต่คนบอกว่าน่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดี ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้นฐานะทางบ้านของโยมพ่อโยมแม่ก็ไม่สู้จะดีนัก เป็นชาวสวนเกษตรกร ปลูกผัก ปลูกไม้ เลี้ยงดูลูก ๆ ไปวัน ๆ
และเมื่อบุตรชายคนสุดท้องของท่านได้ถือกำเนิด ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่เด็กชายผู้นี้เป็นเด็กที่มีผิวพรรณผุดผ่อง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ซึ่งโยมพ่อโยมแม่ได้ตั้งชื่อในวัยเด็กของครูบาว่า เด็กชายเก่ง ซึ่งครูบาก็เก่งสมชื่อ เพราะนอกจากมีความจำเป็นเลิศและเรียนเก่งแล้ว ยังมีอุปนิสัยเป็นผู้ที่ชอบความสงบไม่ชอบเบียดเบียนผู้ใด จนครั้งหนึ่งอายุได้ราว 7- 8 ปีเกือบต้องเสียชีวิตเนื่องจากจิตใจอันประกอบไปด้วยความเมตาต่อสรรพสัตว์คือ ในครั้งนั้นครูบาได้เห็นชาวบ้านไปดักปลาก็เกิดความสงสารจึงคิดจะไปปล่อยปลาเป็นเหตุให้พัดตกน้ำโชคดีที่พี่ชายมาเห็นเหตุการณ์จึงเข้าช่วยเหลือได้ทัน และอุปนิสัยอีกประการในช่วงวัยเด็กของครูบาก็คือ ครูบามักจะนำดินเหนียวมาปั้นเป็นพระพุทธรูปอยู่เสมอ บางครั้งก็นำไปวางไว้ตามกำแพง ร่มไม้ จนเพื่อนๆ ชอบล้อว่าอยากเป็น ตุ๊เจ้า หรือ ซึ่งครูบาก็ไม่เคยปฏิเสธหรือโกรธเพื่อน ๆ เลย
เมื่อก่อนโยมพ่อโยมแม่ต้องหาเลี้ยงชีพอยู่ตลอดคือที่บ้านจะทำสวนทำไร่ ครูบาก็ช่วยท่านทุกอย่างชีวิตในวัยเด็กถือว่าลำบาก เลิกเรียนก็ต้องมาช่วยแม่ปลูกผัก รดน้ำ ใส่ปุ๋ย เก็บผัก ทำทุกอย่างบางครั้ง ตีหนึ่ง ตีสองต้องไปเก็บผักก็ช่วยท่านมาตลอด ที่บ้านทำสวนทำไร่ โยมแม่ก็เลยไม่ค่อยได้มีเวลาไปวัดท่านก็จะจัดสำรับให้ แล้วบอกให้ครูบาไปกับตาแทน ตาของครูบาชื่อ พ่ออุ้ยอิ่น จนครูบาสามารถสวดมนต์ไหว้พระได้ตั้งแต่เป็นเด็ก เท่าที่จำความได้สมัยเป็นเด็กอายุ 9-10 ขวบ ครูบาเป็นเด็กคนเดียวที่ไปวัด แล้วก็สามารถสวดมนต์ไหว้พระได้ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ
การศึกษาเล่าเรียน
ซึ่งการที่ได้ไปวัดอย่างนี้เลยทำให้ครูบามีความผูกพันกับวัดและขณะอายุได้ 12 ปีนั้น ครูบามักจะตามพี่ชายซึ่งเป็นขโยม (เด็กวัด) ไปที่ วัดชัยชนะ จ. ลำพูน เสมอ ๆ จึงทำให้มีโอกาสได้พบกับ ครูบาจันทร์ติ๊บ ญาณวิลาโส อดีตเจ้าอาวาสวัดชัยชนะ ต.ประตูป่า อ.เมือง จ.ลำพูน ซึ่งครูบาจันทร์ติ๊บผู้นี้นับได้ว่าเป็นพระผู้เรืองในวิทยาคุณในยุคนั้น ท่านได้สืบทอดวิทยาคมมาจากครูบาชุ่ม โพธิโก อดีตเจ้าอาวาสวัดชัยมงคล หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดวังมุย นั่นเอง ครูบาจันทร์ติ๊บเมื่อได้มาเห็นลักษณะของครูบาก็มองว่ามีวาสนาในทางธรรม ท่านจึงได้สอนศีลธรรมจรรยาต่างๆ ให้ และด้วยความที่ครูบาอ่อนน้อมถ่อมตัวเป็นคนเรียบร้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วทำให้ครูบาจันทร์ติ๊บมีความรักใคร่ในตัวครูบามาก
ต่อมาจึงได้เริ่มสอนอักขระพื้นเมืองหรือที่เรียกว่า ตั๋วเมือง โดยท่านได้สอนพร้อมกับเด็กวัดอีกหลาย ๆ คน ซึ่งอักขระตัวเมืองคนอื่นที่เรียนเขาใช้เวลาเป็นเดือน แต่ครูบาสามารถอ่านออกได้ช่วงเวลาเพียงข้ามคืนเท่านั้น เรื่องนี้ถูกเล่าขานในกลุ่มผู้ที่ทราบเรื่องราว หนึ่งในนั้นคือ ครูบาตั๋น หรือตุ๊ลุงตั๋น ซึ่งในขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้าคณะอำเภอสารภีรูปที่ 4 และเป็นประธานศูนย์เผยแผ่พุทธศาสนา วัดหวลก๋าน อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ตุ๊ลุงตั๋นท่านไม่เชื่อว่าครูบาจะสามารถเรียนตั๋วเมืองจนอ่านออกเขียนได้ในเวลาแค่ข้ามคืนท่านจึงเดินทางมาพิสูจน์ข่าวนี้ด้วยตนเอง ปรากฏว่าครูบาสามารถอ่านออกเขียนได้ในภาษาล้านนาจริงๆ ตุ๊ลุงตั๋นรู้สึกมีความชื่นชมในตัวของครูบามาก จึงได้มอบเงินเป็นรางวัลจำนวน 1,000 บาท จากนั้นครูบาจันทร์ติ๊บก็ได้พร่ำสอนสั่งสอนถ่ายทอดวิชาการทั้งปวงให้กับครูบา และครูบาก็สามารถเรียนรู้วิชาทั้งปวงได้ในเวลารวดเร็ว สามารถลงอักขระ เลขยันต์ต่างๆ แทนครูบาผู้เป็นอาจารย์ได้ จนต่อมาครูบาจันทร์ติ๊บถึงกับเอ่ยปากพูดว่า เด็กผู้นี้มีวาสนาทางธรรมสูงยิ่งนัก ต่อแต่นี้ไปเราขอตั้งชื่อเด็กชายผู้นี้ว่า อริยชาติ อันหมายถึง ผู้ที่มีภพชาติอันเป็นอริย นั่นเอง
ชีวิตในวัยเด็กครูบาเริ่มการศึกษาที่ โรงเรียนวัดชัยชนะ ต.ประตูป่า อ. เมือง จ. ลำพูน จนจบชั้นประถมศึกษา จึงได้มาเรียนต่อโรงเรียนมัธยมที่ โรงเรียนสารภีวิทยาคม ซึ่งช่วงที่เรียนอยู่ชั้น ป.6 นั้น ครูบามีความคิดอยากจะบวช ขอกับโยมแม่ว่าถ้าจบ ป.6 แล้วบวช โยมแม่บอกว่าเอาไว้ให้จบ ม.3 ก่อนแล้วค่อยบวช พอจบ ม.3 ก็คิดว่าจะได้บวชแล้ว แต่ก็ไม่ได้บวช โยมแม่บอกว่าเอาไว้ ม.6 ค่อยบวช เลยคิดว่ายังไงๆ ก็คงไม่ได้บวชแล้ว แต่พอครูบาเรียนถึงชั้น ม.4 รู้สึกมันวุ่นวาย อะไรๆ ก็วุ่นวาย ช่วงนั้นรู้สึกอยากจะบวชมากจริงๆ รู้ว่าต้องได้บวช ขอโยมแม่ๆ ก็ไม่ให้บวช เพราะครูบาเป็นความหวังของโยมแม่ เนื่องจากพี่ชายคนแรกพิการ เกิดมาได้เดือนหนึ่งก็เป็นไข้เลือดออกพาไปหาหมอ หมอก็ฉีดยาให้ร่างกายนั้นปกติดีแต่พิการ พี่ชายคนที่สองแต่งงานแล้วก็ไปอยู่ลำปาง ครูบาเป็นลูกคนสุดท้องอยู่กับโยมแม่ สมัยนั้นครูบาขอบวชโยมแม่ก็ไม่ให้บวช ท่านบอกว่า คนขาดีมาอยู่กับกูไม่ได้พึ่งคงจะได้พึ่งคนขาไม่ดี เพราะคนขาดีมันไปกันหมดแล้ว ซึ่งคนขาไม่ดีที่ว่าจะได้พึ่งนั้นมีอยู่คนเดียวคือโยมพี่ ทุกวันนี้เป็นจริงแล้วนะโยมแม่ก็ได้พึ่งเขาจริงๆ
พอครูบาเรียนที่โรงเรียนสารภีจบแล้ว ก็ได้บวชเป็นสามเณรเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2541 ณ วัดชัยมงคล ต.ประตูป่า อ.เมือง จ.ลำพูน ขณะที่มีอายุ 17 ปี โดยมี พระครูภัทรปัญญาธร วัดศรีสุพรรณ จ.ลำพูน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูไพศาลธรรมานุศิษย์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์และ พระครูวัดเจดีย์ขาว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ซึ่งวัดชัยมงคลนี้สมัยก่อนครูบาชุ่ม โพธิโก ท่านเป็นเจ้าอาวาส แต่ครูบาไม่ได้เจอท่านหรอก เพราะท่านมณภาพตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 |
|