(N)
หลวงปู่เบ้า จตฺตมโล* ในพื้นที่ท้องถิ่นมีผู้นับถือศรัทธาจำนวนมาก ต่างยกย่องให้ท่านเป็นพระเกจิผู้มีเมตตาธรรมอย่างยิ่ง เครื่องรางวัตถุมงคลของท่านมีทั้งปกป้องคุ้มครอง มหาอุดคงกระพัน อำนวยโชคลาภการงานการเงิน ครอบคลุมทุกด้านของชีวิตประจำวัน เห็นผลเป็นประจักษ์ต่อผู้ศรัทธาอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง
หลวงปู่เบ้า มีนามเดิมว่า เบ้า สัตยาคุณ พื้นเพเป็นชาวบ้านโพนงาม ต.บัวแดง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด
เกิดเมื่อวันที่5กุมภาพันธ์
ปีกุน ปีพ.ศ 2465
บิดาท่านมีนามว่า คุณพ่อพวง สัตยาคุณ
มารดานามว่า คุณแม่ผึ้ง สัตยาคุณ ท่านมีพี่น้องร่วมมารดา 2 คน คือ
1. หลวงปู่เบ้า จตฺตมโล (สัตยาคุณ)
2. นางมี สัตยาคุณ
ในวัยเด็กท่านได้ช่วยบิดา มารดา ทำไร่ทำนา และเล่นซนตามประสาเด็กทั่วไป สมัยนั้นบิดาของท่านเป็นคนมีวิชาอาคม แก่กล้ามากคนหนึ่ง ท่านได้สนใจเรียนวิชาอาคมกับบิดาของท่านตั้งแต่เด็ก อีกทั้งในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงกำลังเริ่มภัยสงคราม บิดาของท่านได้สอน ให้ทำกับดักขุดหลุมเพาะ
(หลุมหลบภัย) ท่านจึงมีความชำนาญเรื่องการเอาตัวรอดในยุคภัยสงคราม ในช่วงเป็นหนุ่มวัยคะนอง ท่านใช้ชีวิตโลดโผน อย่างเสือ เพราะความลำบากจากทั้งสงครามและมีโจรผู้ร้ายชุกชุม
บ่อยครั้งที่ถูกโจรปล้น และชาวบ้านถูกรังแก ท่านจึงต้องออกไปปล้น โจรด้วยกัน เพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ มีเพียงม้าคู่กายกับมีดดาบ ไปแย่งของที่โดนปล้นและแย่งชิงไปกลับมา คนจึงเรียกติดปากว่า เสือเบ้า โดยมีที่มาคือท่านอยู่อย่างเสือ ไม่ทำใครก่อน เมื่อเว้นว่างภัยจากผู้ร้ายและสงคราม ท่านก็ ทำไร่ทำนาตามวิถีทั่วไปของชาวบ้านทั่วไป
หลังจากนั้น เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมจึงได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา และสมัยนั้น การสัญจรไปมาไม่มีรถยนต์ ต้องอาศัยเดินเท้ากัน พระภิษุเวลาเดินทางจะไปด้วยม้าเกวียน เมื่อบวชท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยและวิปัสสนากรรมฐานไสยเวท โดยเสาะแสวงหาครูอาจารย์หลายท่าน โดยเดินทางไปเรียนกับ *พระครูสีดา วัดโสมนัฐประดิษฐ์
และ *พระครูจันทร์ดี วัดโพธาราม อ.นาดูน จ.มหาสารคาม* ซึ่งเป็นพระเกจิปรมาจารย์ที่มีลูกศิษย์มากมาย
หลวงปู่เบ้า เป็นผู้มีสติปัญญามีความจำเป็นเลิศ และท่านยังขยันพากเพียรมุมานะ ทำให้เรียนวิชากับครูอาจารย์จนสำเร็จ
ท่านได้สำเร็จวิชา "สาวสามหมู่บ้านกินน้ำบ่อเดียวกัน" และยังเชี่ยวชาญวิชาด้านมหาอุตม์คงกระพันยิ่งนัก โดยวัตถุมงคลของท่านที่มีผู้นำไปใช้ได้เห็นผลเป็นที่ปนะจักษ์ชัดมานักต่อนักแล้ว จึงนับได้ว่าหลวงปู่เบ้า ท่านเป็นผู้ใฝ่ในการศึกษาเล่าเรียน ท่านได้ศึกษาวิชากับพระเถราจารย์ต่างๆ และฆราวาส ผู้มีวิชาอาคมอีกหลายคน จนช่ำชองเจนจบสรรพวิชาหลายประการ ซึ่งล้วนมีคุณวิเศษอเนกอนันต์
ช่วงสมัยที่หลวงปู่เบ้า ท่านเดินธุดงค์ มาแถบชายแดน กัมพูชา
สุรินทร์ บุรีรัมย์ โคราช
พอมาถึง อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ชาวบ้านร่ำลือกันว่า มีโจรผู้ร้าย ชอบจี้ปล้น ไม่เว้นแม้กระทั่งพระสงฆ์ ท่านจึงชักชวนสหธรรมมิกของท่าน ว่าจะเดินไปให้โจรมันปล้นดู โจรมันจะกล้าปล้นท่านไหม ท่านจึงเดินทางไปที่พวกชุมโจรอาศัยอยู่ พอไปถึงป่าข้างทาง ได้มีกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่ง ค่อยๆ เดินออกมาจากป่า ท่านจึงเอ่ยปากถามไปว่า ไหนๆ เขาว่ามีโจรผู้ร้าย ชอบดักปล้น แม้แต่พระสงฆ์
ก็ไม่เว้น" โจรกลุ่มนั้น พอได้ยินท่านเอ่ยแบบนั้น กลุ่มโจรร้ายเลยบอกว่า "ไม่ปล้นหรอกครับ อาจารย์" (ตอนนั้นท่านยังเป็นพระหนุ่มอยู่) ท่านจึงได้เทศนาสั่งสอน และบอกว่าให้เลิกเป็นโจร อย่าไปทำร้ายจี้ปล้นใครเขาอีก มันเป็นบาปเป็นกรรม โจรกลุ่มนั้นเลยรับปากกับท่าน
และก็ได้ของดี (ตะกรุด) กับท่าน ท่านก็มีเมตตาให้ไป และโจรกลุ่มนั้นได้กราบลาท่านจากไปโดยได้เลิกเป็นโจร และไปประกอบอาชีพสุจริตไม่กลับมาปล้นชาวบ้านอีกเลย
เมื่อท่านบวชได้ 9 พรรษา ท่านได้มีความจำเป็นต้องลาสิกขาออกมา เพื่อตามหาน้องสาว ที่บ้านดอนยาง อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ท่านได้พบเนื้อคู่และได้แต่งงานมีครอบครัว ทำไร่ทำนา ทำสัมมาอาชีพ ดั่งประชาชนทั่วไป วันหนึ่งท่านกับคนในหมู่บ้าน ได้พากันไปทอดแหหาปลาอยู่ลำห้วยหลังหมู่บ้าน ไปด้วยกัน 4 คน เพื่อนของท่านได้หว่านแหลงน้ำและลงไปงมแห แต่ได้หัวระเบิดขึ้นมา 1 ลูกใหญ่ๆ เลยพากันคิดว่าระเบิดมันคงไม่ทำงานแล้ว จึงนำมาทุบ เพื่อเอาปลอกระเบิด มาใส่ ของใช้ให้ยาย ในขณะที่กำลังทุบระเบิดกันท่านได้นั่งตรงกลาง ระหว่างคนทุบกับเพื่อนอีก 2 คน
พอทุบๆ ไประเบิดเกิดทำงาน ระเบิดขึ้นมา "ตู้มมมม...!!!"
เพื่อนคนที่ทุบเสียชีวิตคาที่ คนอยู่หลังท่านก็เสียชีวิตเช่นกัน ส่วนตัวท่าน โดนสะเก็ดระเบิดฝังตามผิวหนัง แต่ไม่เข้าเนื้อในร่างแม้แต่น้อย เหตุการณ์ครั้งนั้น
ทำให้ท่านหูหนวกเสียการได้ยิน
ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ท่านได้รักษาตัวอยู่ระยะหนึ่ง จนได้ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่ บ้านโนนมาลัย ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ และต่อมาท่านได้เข้าอุปสมบทในพระพุทธศาสนาอีกครั้งที่วัดอัมพวัน ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ 2533 เวลา 11.11 น. โดยมีเจ้าอธิการสุวรรณ สิริปุญฺโญ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอธิการไสว กิตฺติสาโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอธิการทองดี
เป็น พระอนุสาวนาจารย์ มีฉายาว่า "จตฺตมโล" แปลว่า ผู้มีมลทินอันสะอาดหมดจดผ่องแผ้วแล้ว
ปัจจุบันหลวงปู่เบ้า ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่ วัดบ้านโนนมาลัย ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ และได้ดำรงตำเเหน่ง
เจ้าอาวาสวัดบ้านโนนมาลัย ท่านได้บูรณะก่อสร้างถาวรวัตถุหลายอย่างในวัด เช่น ศาลาการเปรียญ 2 หลัง หอระฆัง ห้องน้ำ และอีกหลายอย่าง
จนมาถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันหลวงปู่เบ้า จตฺตมโล ท่านอุปสมบทได้ 28พรรษา มีอายุ 96 ปี (พ.ศ.2561) หลวงปู่เบ้าท่านเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติสมถะสันโดษน่าเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง ไม่ยึดติดในสิ่งก่อสร้างอันสะดวกสบายใหญ่โต กุฏิที่ท่านจำวัดเป็นกุฏิเก่าๆ ในทุกๆวัน จะมีญาติโยม เข้าไปกราบ ขอความเมตตาให้ท่านปัดเป่า ช่วยให้คลายจากทุกข์ต่างๆ อย่างไม่ขาดสาย
ภาพถ่าย โดย สาธิต ช่วยผักแว่น |