(N)
หลวงพ่อโสต สิริธมฺโม หรือที่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายนิยมเรียกนามกันว่า ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม เดิมที่นั้นท่านมีนามว่า โสต นามสกุล เฉื่อยวิบูลย์ เกิดเมื่อวันอังคารที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ ตรงกับวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะแม ณ บ้านเลขที่ ๕ หมู่ ๗ ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี บิดา คุณพ่อทวี เฉื่อยวิบูลย์ มารดา คุณแม่ซึ้ง ผ่องพัก เป็นครอบครัวที่ประกอบอาชีพหลักใน ทำไร่ทำสวน เกษตรกรรมตามประสาชาวบ้านแถบภาคตะวันออก มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จำนวน ๗ คน ดังนี้
๑. นายไพโรจน์ เฉื่อยวิบูลย์
๒. นายโสต เฉื่อยวิบูลย์ (หลวงพ่อโสต หรือ ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม)
๓. นายสุรินทร์ เฉื่อยวิบูลย์
๔. นางสำรวน เฉื่อยวิบูลย์
๕. นางวรรณา เฉื่อยวิบูลย์
๖. นายไพรัตน์ เฉื่อยวิบูลย์
๗. นายอนันต์ เฉื่อยวิบูลย์
เด็กคนนี้อนาคตจะเป็นหมอหรือเป็นพระเถระ เป็นคำทำนายของหมอดูท่านหนึ่งสมัยเมื่อท่านเกิดมาดูโลกและถ่อยคำนี้คุณพ่อทวี เฉื่อยวิบูลย์ ได้กล่าวกับท่านไว้เมื่อครั้งท่านยังเป็นเด็กอยู่จึงได้มีใจปฏิพัทธ์ในพระพุทธศาสนาตั้งแต่นั้นมา โดยในช่วงชีวิตเยาว์วัยก็ใช้ชีวิตตามแบบเด็กทั่วไปในสังคมชนบท เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ ก็ได้รับการศึกษาด้านการเรียนเขียนอ่านเบื้องต้นตามเกณฑ์ภาคบังคับในขณะนั้นจนสำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่โรงเรียนวัดสามผาน ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี (สมัยนั้นการเรียนจบเพียงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ก็เป็นครูได้แล้ว) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๖ อายุได้ ๑๗ ปีย่าง ๑๘ ปี ได้เข้ารับการบรรพชาเป็นสามเณร ณ พัทธสีมา วัดทุ่งเบญจา ตำบลท่าใหม่ อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี โดยมีท่านพ่อพิศาลธรรมคุณ วัดใหม่บูรพา เป็นพระบรรพชาจารย์ เมื่ออยู่ครองสมณเพศสามเณรได้จำพรรษาที่วัดทุ่งเบญจา เพื่อศึกษาเล่าเรียนในทางพระปริยัติธรรมแผนกนักธรรมบาลี และในพรรษาแรกก็สามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี ในสำนักเรียนวัดทุ่งเบญจา ต่อจากนั้นได้เข้าศึกษาเล่าเรียนในหลักพระอภิธัมมัตถสังคหะชั้นตรี หรือพระอภิธรรมชั้นตรี ในสำนักเรียนวัดคลองน้ำใส โดยอยู่ในการอุปถัมภ์ของพระอาจารย์หลี เจ้าอาวาสวัดคลองน้ำใส หรือวัดสุทธิวารี บ้านคลองน้ำใส ถนนพระยาตรัง ตำบลท่าช้าง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี อันจะเห็นได้ว่าความรู้ในทางหลักพระพุทธศาสนา ทางธรรมของก็อยู่ขั้นดีพอสมควรแล้ว
ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ด้วยการที่ท่านเป็นคนที่รู้สิ่งใดต้องรู้ลึกถึงแก่น ถ้ารู้ถึงแก่นแล้วจะทำสิ่งใดก็ไม่ยาก ท่านจึงศึกษาวิชาต่างๆเพิ่มเติมจากหลวงพ่อคง สุวณฺโณ วัดวังสรรพรส (ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๘) โดยการฝากตัวเป็นอันเตวาสิกวิหาริกธรรม โดยในระหว่างนั้นท่านต้องเดินทางไป-กลับวัดวังสรรพรสและวัดทุ่งเบญจาเพื่อสอบเรียนไปด้วยอันจะได้ซึ่งความวิริยอุตสาหะของท่าน อย่างที่ทราบกันดี หลวงพ่อคง สุวณฺโณ วัดวังสรรพรสนั้นท่านรับการยกย่องให้เป็นเจ้าตำรับในสายวิชาเสือ หนุมาน พระขุนแผน กุมารทอง ที่เน้นหนักสรรพวิชามหาภูตรูป มหาภูตกสิณ วิชามหาธาตุ ที่ควบคุมดูแลในวัตถุอาถรรพ์ตามธรรมชาติ ดินศักดิ์สิทธิ์ ดินวิเศษ ว่านยาสมุนไพร ว่านมงคล ว่านวิเศษ ๑๐๘ ไม้มงคลทั้ง ๓๒ แร่ทนสิทธิ์ กายสิทธิ์ โลหะธาตุวิเศษ ตามสูตรที่นำมาจัดสร้างเป็นเนื้อหามวลสารส่วนผสมต่างๆ ซึ่งเป็นพระเถรานุเถระที่มีชื่อเสียงและเป็นพระอาจารย์ที่คอยเพียรวิชา เช่น พระอักขระคาถาขอม ปฐมบท สระพยัญชนะ ยันตรศาสตร์ในการขีดลากเส้นสายลายยันต์ เป็นขั้นปฐมก่อนแล้วจึงเรียนวิชาขั้นสูงต่อยอดอันได้แก่ การลบผงผสมว่านวิเศษ การลงถมกลบองค์ยันต์ การสักเสกเดินเข็มแทงหมึก การปลุกเสกเพิ่มอิทธิคุณวิเศษให้แก่วัตถุมงคลแบบต่างๆ ควบคู่กับการฝึกฝนพระกรรมฐานอันเป็นคุณในการส่งเสริมให้สรรพวิชาการในตำรับตำราโบราณมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ได้ตามที่ตั้งอธิษฐานจิตบริกรรมภาวนาในทางวิกุพพนาฤทธิ์ทั้งจำกัดและทั้งไม่จำกัด ยังจะส่งผลให้พระพุทธคุณมีทั้งอิทธิฤทธิ์และบารมีธรรมแก่วัตถุนั้นๆ โดยเรียนรู้จนเข้าใจถึงแก่นแท้สรรพวิชา
ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ๒๕๑๘ ได้ศึกษาเล่าเรียนการสัก เสก เลข ยันต์ กับพระอาจารย์พ่อจุ่ย วัดทุ่งเบญจา สุดยอดพระเกจิคณาจารย์ในสมัยนั้นซึ่งเป็นสหธรรมิกกับเกจิหลายๆ ท่าน เช่น หลวงพ่อเป๋า อดีตเจ้าอาวาสวัดทุ่งเบญจา หลวงพ่อจิ่ม วัดไผ่ล้อม หลวงพ่อย้อย วัดคลองขุด หลวงพ่อเปี๊ยก วัดวังเวียน และหลวงพ่อกล้วย วัดหมูดุด เป็นต้น และยังถ่ายทอดวิธีการจัดสร้างพระเครื่องเป็นพระพิมพ์แบบต่างๆ เช่น พระพิมพ์พระสมเด็จฯ พระพิมพ์พระขุนแผน พระพิมพ์พระปิดตา เป็นต้น เครื่องรางของขลัง การเรียกสูตรลงพระอักขระคาถาแผ่นโลหะสร้างเป็น ตะกรุดโทน ตะกรุดมหารูด ตะกรุดมหาปราบ ตะกรุดเมตตา เป็นต้น วิชาสีผึ้งเมตตามหาเสน่ห์ หุงด้วยเดโชธาตุ ในครั้งนั้น ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ได้ช่วยเหลือหลวงพ่อจุ่ย บดตำโขลกผสมเนื้อหามวลสารส่วนผสมต่างๆ แบบโบราณที่นิยมใช้ กล้วยสุก น้ำผึ้ง น้ำอ้อย มาเป็นตัวประสานผงวิเศษ ว่านมงคลตามแบบโบราณ กดปั้มเป็นพระพิมพ์แบบต่างๆ เมื่อเสร็จแล้วได้นำไปตากแดดรับรังสีสุริยันจำแลง และได้มอบหมายให้ลูกศิษย์คนหนึ่งคอยเฝ้ามิให้ นก หนู หมู หมา มาลักขโมยกัดกินพระพิมพ์ ปรากฏมีสุนัขเกเรเจ้าถิ่นมาแอบกินพระพิมพ์ที่ตากไว้เสียหลายองค์ ลูกศิษย์คนนั้นกลัวว่าเมื่อหลวงพ่อจุ่ยทราบเรื่องจะตำหนิติเตียนในความไม่รอบคอบจึงเกิดการบันดาลโทสะเป็นอย่างยิ่งจึงคว้าเอาปืนแก๊ปยาวมาไล่ยิงสุนัขเกเรตัวนั้น แต่เหนี่ยวไกปืนอย่างไรก็ยิงไม่ออกเป็นเรื่องที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันมากในสมัยนั้น
ในช่วงแรกท่านพ่อโสตนั้นได้ช่วยพระอาจารย์จุ่ยสักยันต์ให้ลูกศิษย์ก็สักยันต์อักขระบ้างและช่วยท่านครอบครูบ้าง และการลงมนต์พระคาถาบรรจุในเลขยันต์นั้นพระอาจารย์จุ่ยก็ได้ถ่ายทอดให้กับท่านพ่อโสตจนหมดสิ้น ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงพ่อจุ่ย ได้ถึงกาลมรณภาพลง ก่อนจะมรณภาพท่านได้สั่งเสียให้มอบตำรับตำราโบราณในศาสตร์พุทธาคมให้แก่ท่านพ่อโสตทั้งหมดทั้งสิ้น ซึ่งต่อมานั้น ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ได้สืบทอดต่อช่วงในการสัก เสก เลข ยันต์ ให้แก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายซึ่งก็นับราวสองพันกว่าคน เคยมีครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์อยากลองของประมาณว่า หลวงพ่อท่านยังหนุ่มนักไม่รู้จะเหนียวจริงหรือเปล่า แต่ครั้งเมื่อท่านลงหมึกเดินเข็มแล้วบรรจุพระคาถาตามแบบฉบับ หลวงพ่อคง และหลวงพ่อจุ่ย เสร็จก็หยิบดาบและหอกมาฟันและแทงต่อหน้าลูกศิษย์จำนวนมาก ปรากฏว่า มีดหรือหอกไม่ได้กินเข้าไปในเนื้อ จึงทำให้ชื่อเสียงของท่านพ่อโสตดังไปยังลูกศิษย์และบุคคลทั่วไปที่นิยมชมชอบในเรื่องคงกระพันชาตรี จนมีการแทงเข็มเดินหมึกสักเป็นรูปใบโพธิ์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของท่านพ่อที่ทรงอิทธิคุณในทางมหาอุตม์ แคล้วคลาด และคงกระพันชาตรีที่คงหนัง คงเนื้อ คงกระดูก คงโลหิต มาแต่สมัยที่ยังบรรพชาเป็นสามเณร ได้รับฉายานามจากบรรดาลูกศิษย์ที่ได้รับการประสิทธิ์ประสาทว่า หลวงพ่อเณรโพธิ์ดำ หรือ พระอาจารย์โพธิ์ดำ ครั้งเมื่อท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากก็มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งที่สนิทสนมไปมาหาสู่ท่านมารบเร้าท่านให้ท่านทำวัตถุมงคลเพื่อติดตัวไว้ใช้ โดยจิตใจท่านพ่อเป็นผู้ดีงามและเมตตาท่านจึงสงเคราะห์แก่การอันสมควร โดยรวบรวมว่าน ๑๐๘ อย่างที่พระอาจารย์จุ่ย วัดทุ่งเบญจาได้ปลูกและเลี้ยงไว้มาบดและกำกับพระคาถาลงไปและใช้วิธีแบบโบราณที่นิยมใช้ กล้วยสุก น้ำผึ้ง น้ำอ้อย มาเป็นตัวประสานผงวิเศษ ว่านมงคลตามแบบโบราณ ตามตำราของพระอาจารย์จุ่ย ได้พระผงพิมพ์โพธิ์ดำ-โพธิ์ขาว สำหรับแจกลูกศิษย์ลูกหาจำนวนไม่เกิน ๕๐๐ องค์
เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านจึงกราบโยมบิดามารดาเพื่อขออุปสมบท และเป็นการอุปสมบทครั้งแรก ณ พัทธสีมา วัดทุ่งเบญจา โดยมี พระครูพิศาลธรรมคุณ วัดบูรพา ท่าใหม่ เป็นพระอุปัชฌาจารย์ พระครูรัตนคุณ วัดศรีเมือง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูเป๋า นนฺทสาโร วัดทุ่งเบญจา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า สิริธมฺโม แปลว่า ผู้มีธรรมอันเป็นสิริจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งเบญจา เพื่อศึกษาเล่าเรียนใน พระนวกะภูมิ พระธรรมวินัย ตามพระพุทธบัญญัติควบคู่กับการฝึกฝนพระสมถสมาธิ พระวิปัสสนากรรมฐาน เมื่ออยู่จำพรรษาจึงมีโอกาสฝึกฝนอบรมทางธรรมปฏิบัติวัตรปฏิปทาการถือในพระธุดงควัตร ๑๓ กับพระครูเป๋า นนฺทสาโร ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เป็นการปูพื้นฐานองค์ความรู้ของผู้ที่จะถือปฏิบัติในการออกเดินล่องท่องธุดงค์ไปยังสถานที่สัปปายะ ตามแบบอย่างการปฏิบัติของพระอริยสงฆ์และคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่เมื่อได้อุปสมบทล่วงมาถึงเดือนมกราคม ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทางราชการได้ส่งหนังสือให้เข้ารับการตรวจคัดเลือกเข้ารับราชการทหารในเดือนเมษายน เป็นเหตุให้ ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ต้องเข้ารับการตรวจคัดเลือก และผลปรากฏว่า ท่านพ่อโสตจับได้ใบแดงต้องเข้ารับราชการเป็นทหารเกณฑ์ผลัด ๔ สังกัดนาวิกโยธิน ท.ร. ๑๙ หลังการออกพรรษาที่สองแล้ว ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม จึงต้องลาสิกขาบทออกมารับราชการเป็นทหารเกณฑ์ทำหน้าที่รับใช้ประเทศชาติ เข้ารับการฝึกเป็นเวลา ๖ เดือน และได้ถูกจัดส่งให้ไปประจำการภาคสนามอยู่ที่ชายแดนด่านคลองใหญ่และหาดเล็ก จังหวัดตราด ในยุคสมัยนั้นเป็นยุคที่เขมรแดงแตกพ่ายมีความวุ่นวายและลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย อีกทั้งยังมีการปล้นสะดมทรัพย์สินมีค่าของชาวไทยบริเวณตะเข็บชายแดน มีหลายครั้งที่ท่านต้องตะเวรไปยังแนวตะเข็บชายแดนแล้วพบผู้ก่อการร้ายต้องยิงต่อสู้หลายครั้งหลายคราวท่านก็ได้ใช้สรรพวิชาที่ร่ำเรียนมาสมัยในครั้งก่อนเพื่อป้องกันและกำบังกายของตนให้คงกระพันชาตรีสำหรับสู้รบกับผู้ก่อการร้าย มีหลายครั้งที่ท่านโดนกระสุนและกับระเบิด อาจจะโดยการสั่งสมบารมีในอดีตชาติกับการประกอบคุณงามความดีเพื่อบ้านเมืองทำให้แคล้วคลาดจากคมอาวุธนานาชนิดมาเป็นท่านพ่อโสต สิริธมโมในปัจจุบัน โดยรับราชการเป็นทหารผ่านศึกรุ่น ๔ ใน ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ในระหว่างที่รับราชการทหารที่จังหวัดตราด มารดาของ ท่านพ่อโสตได้ถึงแก่กรรมลง ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ก็ได้ปฏิบัติกิจเพื่อตอบแทนคุณมารดาตามหน้าที่ของบุตรอันเป็นที่รัก หลังจากนั้นได้ไม่นานก็ปลดประจำการในปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๑
ชีวิตทางโลกหลังจากปลดประจำการแล้ว ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ได้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของผู้อยู่ครองเรือน ยึดการประกอบอาชีพสุจริตของชาวสวน-ไร่ ด้วยพรหมโลกลิขิตเก่าแต่ชาติปางก่อนจึงได้พบและสมรสกับนางมะปราง เฉื่อยวิบูลย์ จนมีบุตรและบุตรี รวม ๓ คน ดังนี้
๑. นายประเสริฐ เฉื่อยวิบูลย์
๒. นายพลสิทธิ์ เฉื่อยวิบูลย์ (เสียชีวิต)
๓. นางสาวโสภา เฉื่อยวิบูลย์
ตลอดเวลานั้นเหล่าบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่เคยร่ำเรียนวิชา สักยันต์ และมีประสบการณ์จากวัตถุมงคลต่างๆ จากท่านสมัยเป็นเณร และเป็นพระภิกษุสงฆ์ ก็มีแวะเวียนไปมาหาสู่ท่านอยู่เป็นประจำจนมีคนมากมายเข้าหาท่านอยู่ไม่ขาดสาย ที่เดือดร้อนก็มาขอให้ท่านช่วยบ้าง ท่านก็เมตตาช่วยเหลือกันไปตามศรัทธา ครั้นมากเข้าก็มักจะนำความเดือดร้อนมาสู่ท่านและครอบครัว จนทำให้หลายๆ ครั้งเกิดเรื่องต่างๆ นานาจนหาความสุขไม่ได้ ด้วยการที่มีลูกศิษย์จำนวนมากเมื่อลูกศิษย์กระทำผิดก็อ้างชื่อท่านพ่อโสตเป็นหลักทำให้ท่านต้องถูกเรียกจากชาวบ้านและตำรวจว่าเป็น เสือโสต มีหลายครั้งหลายคราที่ท่านมักถูกดักทำร้ายด้วยการโดยดักลอบยิงด้วยอาวุธสงครามชนิดต่างๆ แม้กระทั่งตำรวจในท้องที่ก็ยังเป็นที่โจทก์ขานถึงความคงกระพันและแคล้วคลาดของท่านพ่อโสต ด้วยเป็นอำนาจกรรมเก่าบันดาลให้เห็นถึงสุข - ทุกข์ เรื่องราวต่างๆ นานาที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงทำให้ได้รับรู้และเห็นยมทูตทั้ง ๔ ตน อันได้แก่ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันได้ลิ้มรสรับรู้ความทุกข์ยากลำบากของการเป็นผู้อยู่ครองเรือนแม้กระทั่งยามหลับนอนยังต้องขุ่นคิดจับจิตขับความกังวลทั้งหลายออกไปจากจิตใจ เมื่อมองเห็นด้วยการนี้กอรปกับบุตรและบุตรีเจริญแก่วัยอันสมควรแล้วจึงคิดควรหันหน้าเพื่อปฏิบัติทางธรรมละเว้นทางโลกเพื่อหาทางหลุดพ้น
การอุปสมบท ในครั้งที่สอง เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม มีอายุ ๓๘ ปี ณ พัทธสีมา วัดทุ่งตาอิน ตำบลพลวง อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี โดยมี พระครูประดิษฐ์สาธนการ หรือ หลวงพ่อจำนงค์ ชยฺยวํโส วัดทุ่งตาอิน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สมแดง จิรวํโส วัดจันเขม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการฉาบ ฉนฺทธมฺโม วัดคลองพลู เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า สิริธมฺโม แปลว่า ผู้มีธรรมอันเป็นสิริ
หลังอุปสมบท ได้อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์คลองชีพ บ้านจันเขม อยู่ฝึกฝนอบรมในพระวิปัสสนากรรมฐานนาน ๓ เดือน ด้วยการที่ท่านปฏิบัติมาโดยตลอด ณ แม้เป็นเพศฆราวาสจึงทำให้ท่านสามารถเข้าถึงกรรมฐานได้ดังใจนึก แต่ด้วยความวุ่นวายของจิตใจและสภาพแวดล้อมอันได้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่เวียนมาหาสู่ ประกอบกับการตั้งจิตที่มุ่งมั่นเพื่อหาคำตอบของสมาธิจิตอันมั่นคงตามสภาวะธรรมอันเป็นปกติในพระวิปัสสนาปฏิบัติพระกรรมฐาน จึงได้กราบนมัสการขออนุญาตเจ้าสำนักสงฆ์ออกธุดงค์แสวงหาสถานที่สัปปายะอันเงียบสงบ ในวันนั้นจึงได้ออกเดินเท้าไปข้างหน้าแบบยังไม่มีจุดหมายปลายทาง ได้มุ่งหน้าไปยังเบื้องหน้าอาศัยตามสวนผลไม้ ป่าละเมาะ เดินลัดเลาะป่าอยู่หลายวัน ต่อมาจึงได้มาอยู่ที่ตีนเขาแห่งหนึ่งก็บังเกิดฝนตกลงมาอย่างหนักสามวันสามคืน พอรุ่งเช้าในวันที่สี่นั้นก็พบว่าสถานที่แห่งนี้มีความร่มรื่นเงียบสงบมีความเหมาะสมในการบำเพ็ญความเพียรทางจิตเป็นอย่างยิ่ง จึงได้อยู่พักอาศัยที่ตีนเขาแห่งนี้ประมาณ ๕ - ๖ วัน จึงได้ขึ้นไปสำรวจบนยอดเขา ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม เห็นว่ามีความเหมาะสมในการเข้าอธิษฐานอยู่จำพรรษาในปีนี้
ณ บนยอดเขา ยังได้พบกับ โยมชาวบ้าน ๒ คน ที่มาเที่ยวหาเก็บของป่าตัดใบตองไปขาย ได้สอบถามว่าภูเขานี้มีชื่อเรียกกันว่าอย่างไร ซึ่งโยมชาวบ้าน ตอบว่าคนแถวนี้เรียกกันว่า เขาหินโค่ง ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม จึงได้ขอบิณฑบาตใบตองจำนวนหนึ่งเพื่อนำมาใช้เป็นที่พำนักชั่วคราวในการฝึกฝนปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยพาดใบตองกับหินสองก้อนและหลบเข้าไปนั่งกรรมฐานปรากฏว่ามีความสุขสงบเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ถอนกลดจากที่ตีนเขาขึ้นมาอยู่จำพรรษาเสียบนยอดเขา นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสำนักสงฆ์ในเวลาต่อมาด้วยมีประชาชนที่มีจิตศรัทธาได้มาร่วมทำบุญสร้างอาคารศาลาเล็กๆ พอได้พักพิงอาศัยให้เป็นที่สบายขึ้น ง่ายต่อการปฏิบัติธรรมได้สะดวกสบายขึ้น ต่อมาเมื่อชาวบ้านทราบข่าวว่ามีพระธุดงค์ปฏิบัติธรรมที่บนเขา ต่างก็หลั่งไหลมาร่วมทำบุญกันมากยิ่งขึ้น และได้มีพระภิกษุมาอยู่ร่วมจำพรรษาเพิ่มอีก ๒ รูป จากนั้นไม่นานญาติโยมทั้งหลายได้เห็นกิจปฏิบัติของท่านพ่อก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาได้นิมนต์ให้ท่านพำนักที่นี้ตลอดก็จัดตั้งเป็นสำนักสงฆ์สันติธรรมคีรี (วัดเขาหินโค่ง) และก็ได้มาสร้างศาลาขึ้นให้ใหม่ในปีพ.ศ. ๒๕๓๗ ใช้เวลาสร้าง ๑ ปี เต็มๆ ในการสร้างศาลาในครั้งนี้ก็ได้จัดสร้างพระผงสิริฤ (รึ) โดยใช้ผงวิเศษในถ้ำม่วง ถ้ำผาหลวง จ.พิษณุโลก ในการธุดงค์เพื่อจาริกแสวงบุญในพรรษาแรก เพื่อมาแจกญาติโยมที่มาร่วมทำบุญและก็พัฒนามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นสร้างกุฏิ ห้องน้ำ ศาลาต่างๆ
ในระหว่างนั้นท่านได้เดินทางธุดงค์ไปยังปราสาทต่างๆ ในภาคอีสาน เช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง ฯลฯ จนมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านได้เข้าสมาธิจิตเป็นตั้งมั่นนิมิตเห็นชายผู้หนึ่งเข้ามากราบเพื่อขอสร้างพระโดยชี้ไปยังมวลสารอันได้แก่อิญเก่าๆ ที่แตกหักตามปราสาท หลังจากพอท่านกลับมายังสำนักสงฆ์สันติธรรมคีรี ท่านก็ได้ดำเนินการสร้าง พระผงขุนแผนชมตลาด ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ก็เดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อปฏิบัติกรรมฐานเพื่อให้มีสมาธิจิตที่แน่วแน่ เจอทั้งเรื่อง ภูตผีปิศาจ สัตว์ร้าย เสือโคร่ง งูเจ้าที่ และสัตตานัง ครั้งหนึ่งท่านพ่อโสตเคยเล่าว่า เดินธุดงค์ไปยังเขาฉวาก ซึ่งเป็นเขาที่มีป่ารกชัดในละแวกนั้นเมื่อเห็นทำเลอันเหมาะสมก็ได้ปักกลดลงเพื่อปฏิบัติวัตร พอตกกลางตึกอันเป็นคืนเดือนหงาย ก็ได้ยินเสียงดัง ต็อกแต๊กๆ พร้อมเสียง แปล็บๆ เมื่อท่านพ่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามีงูเจ้าที่ ขนาดลำตัวใหญ่เท่าจานข้าว ความยาวไม่ต่ำกว่าสิบเมตร เลื้อยมาจ้องหน้าท่านพ่อที่หน้ากลด เมื่อท่านพ่อเห็นท่านก็ได้แต่นิ่งและตั้งสติแผ่เมตตาให้กับงูเจ้าที่ตัวนั้น เวลาผ่านไปเนิ่นนานเสียงนั้นกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ท่านพ่อถอดใจที่จะแผ่เมตตาให้กับงูตัวนั้นและหันมาผู้ด้วยสมาธิจิตว่า ถ้าฉันเคยกินเจ้า เจ้าก็กินฉันเถอะ ถ้าเราไม่มีอะไรต่อกันก็ขอให้ต่างคนต่างอยู่เถอะ อาจด้วยบารมีท่านพ่อหรือกรรมเก่าอาจะลิขิตงูเจ้าที่ตัวนั้นก็เลื้อยผ่านหน้ากลดและหายเข้าไปในป่า โดยท่านพ่อโสตก็ออกเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆทุกๆปีที่ท่านมีโอกาส ไม่ว่าจะเป็น จังหวัดเชียงราย จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดอุดร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น ร่วมอยู่นับ ๑๐ ปี
หลังจากท่านธุดงค์มาร่วม ๑๐ ปีท่านพ่อโสตก็ติดกิจนิมนต์จากบรรดาลูกศิษย์และภาระกิจที่ต้องดูแลและสร้างถาวรสถานจนมีอยู่ครั้งหนึ่งมีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งต้องการจะได้ที่บริเวณทั้งหมดของสำนักสงฆ์สันติธรรมคีรี (เขาหินโค่ง) แห่งนี้เนื่องด้วยมีชัยภูมิที่ตั้งอยู่บนเขาและสภาพแวดล้อมอันสวยงามซึ่งมีจำนวนพื้นที่ร่วมสองร้อยไร่ อีกทั้งยังไม่มีโฉนดและใบถือสิทธิ์ (สมัยก่อน) จึงเป็นที่ต้องการของกลุ่มนายทุน กลุ่มนายทุนจึงให้เล่ห์กลปลุกระดมชาวบ้านโดยการปล่อยข่าวในแง่ลบ และได้ร่วมกลุ่มชาวบ้านเพื่อขับไล่พระภิกษุสงฆ์ออกจากวัดทั้งหมด ในเบื้องต้นท่านพ่อโสตก็ได้รับฟังและชี้แจงเพื่อไม่ให้เรื่องต่างๆ ลุกลามไปมากกว่านี้ จนทำให้นายทุนนั้นต้องล่าถอยออกมา ด้วยความที่กิเลสของมนุษย์ซึ่งจบลงในห้วงแห่งอบายจึงดำเนินการจัดฉากและสร้างความเสื่อมเสียให้กับตัวท่านพ่อโสตด้วยวิธีต่างๆนานา แม้กระทั่งนำสีกามากล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานถึงในสำนักสงฆ์ แต่ด้วยการที่ท่านพ่อโสตได้สมาธิจิตที่นิ่งดังน้ำในภาชนะแก้วใส ท่านก็นิ่งเฉยพร้อมทั้งกล่าวในที่ประชุมว่า ถ้าฉันทำไม่ดีจริงอย่างที่พวกท่านว่าก็ถือเป็นบุญของพวกท่านและพระศาสนา แต่ถ้าฉันทำดีจริงก็ถือว่าพวกท่านนั้นกล่าวหาฉันและคอยทำลายพระศาสนา โดยหลังจากเหตุการณ์นั้นท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยในกรณีดังกล่าว แต่ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้ท่านไม่สามารถบิณฑบาตบริเวณนั้นได้เพราะมีแต่คนดูแคลน แม้บิณฑบาตก็ไม่สามารถฉันอาหารได้เพราะมีแต่ของไม่ดี ดังนั้นจึงรวบรวมเงินซื้อรถเพื่อไปบิณฑบาตที่ตัวอำเภอแก่งหางแมว ด้วยกาลเวลาได้ผ่านบทพิสูจน์เรื่องการปฏิบัติและจริยวัตรอันเป็นที่ภิกษุสงฆ์พึงปฏิบัติก็ออกมาอย่างชัดเจนผลกรรมดีแม้จะช้าแต่สว่างชัดเจนยิ่งนัก กลุ่มนายทุนที่กล่าวหาท่านพ่อโสตต่างก็ล้มหายตายจาก บ้างก็บ้านแตกสาแหรกขาด บ้างก็ติดคุกติดตาราง ก็หาความเจริญมิได้แม้แต่คนเดียว แต่ท่านก็มิได้สมทับแต่คอยอโหสิกรรมอยู่เป็นนิต แม้กระทั่งไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลท่านก็ไปร่วมเป็นพระสงฆ์ในพิธี หลังจากชาวบ้านได้รับรู้ข้อเท็จจริงแล้วก็หันกลับมาเลื่อมใสและศรัทธาในตัวท่าน
ในขณะนั้นถือว่าเป็นผู้คงแก่เรียนที่มุ่งเน้นให้น้ำหนักไปทางการศึกษาเล่าเรียนพระเวท พระคาถา พระอาคม หลักวิชาการต่างๆ จากบรรดาฆราวาสคณาจารย์ อีกหลายท่าน ดังนี้
ศิษย์ฆราวาสของหลวงพ่อผุด วัดวังเวียน ธรรมทายาทศาสตร์สายวิชาพระปิดตาหลวงพ่อผุด วัดวังเวียน เมืองท่าใหม่ ที่ขึ้นชื่อลือนามร่วมยุคสมัยกับ พระปิดตาห้าเสือเมืองชลบุรี พระปิดตาหลวงพ่อจีน วัดท่าลาด เมืองฉะเชิงเทรา ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสำนักใหญ่เมืองจันทบุรีที่คงเอกลักษณ์ในการจัดสร้างพระพิมพ์พระปิดตา เนื้อผงพระพุทธคุณคลุกรัก ตะกรุดโทนกันปืน อานุภาพมหากันรอบตัว
อาจารย์เนือง ท่าใหม่ เชี่ยวชาญชำนาญการในทางเจตภูตวิญญาณ ขับไล่ภูตผีปีศาจ และรักษาผู้คนที่ถูกกระทำย่ำยีบีฑาจากเดรัจฉานวิชา ศาสตร์มืด มนต์ดำ ไสยต่ำ
อาจารย์พัด วัดทุ่งเบญจา เชี่ยวชาญชำนาญการในสายวิชาชุมเสือ หรือสายเหนียวที่เน้นไปในเรื่อง คงกระพันชาตรี ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า มหาอำนาจตบะเดชาชัย ในสายเมตตา วิชาด้านเสน่ห์มหานิยมทางอิตถีเพศ ด้วยเหตุที่อาจารย์พัด เคยเป็นเสือเก่ามาก่อนอยู่ชุมเสือเดียวกันกับเสือเท้ว เสือฝ้าย เสือใบ โดยบรรดาชุมเสือเหล่านี้เป็นที่กล่าวข่านในภาคตะวันออกมานับสิบปีถึงความน่าเกรงขาม
อาจารย์ด๋วน บ้านเขาวงกต เชี่ยวชาญชำนาญการในกำหนดจิตติดต่อนายผี สามารถเรียกผีได้ ขับไล่ผีได้ ใช้งานผีได้ และยังเชี่ยวชาญในการต่อกระดูก ผูกกระดูก
นอกจากนี้ท่านยังศึกษาตำราที่เกี่ยวกับพระเวทย์ ยาสมุนไพรแผนโบราณ ดูดวง ฤกษ์ยาม จนเข้าใจท่องแท้จนกระทั้งมีลูกศิษย์นำวิชาความรู้ไปประกอบธุรกิจจำนวนมากยกตัวอย่าง เช่น หมอกิ่งแก้ว พลับพลานารายณ์ ปัจจุบันมีชื่อเสียงมากในจังหวัดจันทบุรีด้านสมุนไพรแผนโบราณซึ่งก็ได้นำวิชาความรู้จากท่านพ่อโสตไปใช้เพื่อประกอบสัมมาอาชีพ
ผู้เรียบเรียง กรณ์ จันทบุรี
บรรณาธิการ พี่สรรค์ จันทบุรี, พี่เบน สุพรรณ |