ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : หลวงพ่อเนียร วัดต้นเลียบ



(N)


สำหรับพระหลวงพ่อทวด เนื้อผงผสมว่าน ปี ๒๕๓๘ ของสำนักสงฆ์วัดต้นเลียบนี้ เป็นพิมพ์หลังเตารีด แบบเดียวกับของวัดช้างให้ มี ๒ พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก ซึ่งนอกจาก หลวงปู่จำเนียร ได้ปลุกเสกเดี่ยวแล้ว ยังได้ผ่านพิธีปลุกเสกจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกหลายท่านหลายวัด อาทิ วัดบ้านไร่, วัดปราสาทบุญญาวาส, วัดศรีมหาโพธิ์, วัดสายเขาอ้อ, วัดวังก์วิเวการาม และพิธีสำคัญๆ อีกหลายวัด

โดยคุณ ปฐมกรรมฐาน (231)  [จ. 07 ธ.ค. 2558 - 19:26 น.]



โดยคุณ ปฐมกรรมฐาน (231)  [จ. 07 ธ.ค. 2558 - 19:29 น.] #3702343 (1/3)


(N)
หลวงปู่จำเนียร โชติธัมโม มีนามเดิมว่า นายจำเนียรเรืองศรี เกิดเมื่อเดือน 4 ปีเถาะ พ.ศ.2440 ที่บ้านพังไทร ตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ท่านเกิดเบื่อหน่ายชีวิตฆราวาส ซึ่งท่านเห็นว่ามีแต่ความวุ่นวายสับสนจึงตัดสินใจเดินมุ่งสู่ร่มกาสวพัสตร์ เมื่อตอนอายุ 60 ปี หลังจากอุปสมบทแล้วได้รับฉายาว่า ?โชติธรรมโม? แปลว่า ?ธรรมะอันสว่างไสว? หลวงปู่จำเนียรได้ศึกษาปฏิบัติกรรมฐาน ? เจริญกสิณเวทวิทยาคม จากสำนักเขาอ้อ (เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันกับ พล.ต.ต.ขุนพันธ์ รักษ์ราชเดช) กับท่านอาจารย์ยู วัดปากพล จังหวัดพัทลุง และอาจารย์ทวดขาว ฆราวาสจอมขมังเวท จังหวัดพัทลุง จนมีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาคมจนเป็นเลิศ ร่ำเรียนวิชาอยู่ยงคงกระพัน วิชากำบังตัววิชาปลาไหลใครจับท่านไม่ได้
หลังจากที่อุปสมบทแล้ว ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ ในขณะที่ท่านนั่งเจริญสมาธิภาวนา ปรากฏดวงวิญญาณขององค์หลวงปู่ทวดมาปรากฏต่อหน้าท่าน และได้ชี้มาที่ตัวท่านบอกให้ไปช่วยดูแลต้นเลียบ อันเป็นสถานที่ฝังรกขององค์หลวงปู่ทวด ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดดูแล มีสภาพที่รกร้าง
เมื่อหลวงปู่จำเนียร มาจำพรรษาที่ต้นเลียบแห่งนี้แล้ว ก็ได้รวบรวมชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงมาช่วยกันพัฒนา เพื่อให้เหมาะเป็นสถานที่เจริญธรรม วิปัสสนากรรมฐาน
ใครมีเรื่องเดือดร้อน ถูกคุณไสย หรือถูกผีเข้า ท่านจะช่วยรักษาประพรมน้ำมนต์ให้และใช้ไม้เท้าคดคู่กายของท่านชี้ไปที่หน้าผาก กลับหายเป็นปกติทุกรายไป อีกอย่างท่านสามารถดูดวง ผูกชะตาได้แม่นยำนัก ท่านจะมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ไม่ว่าไทยหรือเทศ โดยเฉพาะลูกศิษย์ทางมาเลเซีย สิงคโปร์ นั้นมีมากมายนัก
หลวงปู่จำเนียร เป็นพระที่ถึงพร้อมด้วยความดี เป็นพระที่สมถะ สามารถกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ ไม่สะสมสิ่งใด มุ่งปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน ชาวบ้านเชื่อกันว่าท่านเป็นผู้ที่มีเมตตามหานิยม มีวาจาสิทธิ์ ท่านสามารถหยั่งรู้ได้ถึงวันมรณภาพของตัวเอง โดยท่านได้บอกกล่าวกับลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า ก่อนจะถึงวันเข้าพรรษา 7 วัน ท่านจะละสังขารแล้ว และท่านระบุไว้ในพินัยกรรมว่าร่างของท่านจะไม่เน่าเปื่อย จะแห้งไปเอง ปรากฏว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็เป็นจริงอย่างที่ท่านพูดเอาไว้ โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2539 เวลา 21.20 นาฬิกา ท่านก็ได้จากไปอย่างสงบ แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยการปฏิบัติและคุณงามความดีไว้ให้คนรุ่นหลังได้เจริญรอยตาม และยึดเป็นเยี่ยงอย่าง รวมอายุได้ 99 ปี 40 พรรษา
ซึ่งปัจจุบันนี้ สรีระสังขารของท่าน ทางคณะศิษยานุศิษย์ได้เก็บไว้ในโลงแก้ว ณ สำนักสงฆ์ต้นเลียบ เพื่อให้สาธุชนได้เข้ากราบไหว้ เพื่อขอพรบารมี ถึงแม้ว่าท่านจะมรณภาพไปแล้ว แต่ปาฏิหาริย์ที่ท่านได้ปลุกเสกและสร้างวัตถุมงคลของสำนักสงฆ์ต้นเลียบ ก็ยังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยว แสวงหาของนักสะสมพระเครื่องหลวงปู่ทวด
คาถาอาราธนา
หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
ปาทัง ราชะมุนีสามีรามัง
อาราธะนัง สะระณังอาคัจฉามิ
(3 ครั้ง)
คาถาบูชา
หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
นะโมโพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา

โดยคุณ ปฐมกรรมฐาน (231)  [จ. 07 ธ.ค. 2558 - 19:33 น.] #3702344 (2/3)
นับเป็นอีกเรื่องที่ต้องบอกว่า “เหนือความลิขิต” โดยแท้เนื่องจากเป็นเรื่องที่ “ไม่ธรรมดา” ทั้งที่ระหว่างเกิดเหตุมีผู้ที่โดน “ระเบิด” ครั้งนั้นหลายรายแต่ก็มี “ผู้หญิง” ผู้หนึ่งทั้งที่ยืนอยู่ในกลุ่มของผู้ที่โดนระเบิดซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง “10 เมตร” แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลยชนิด “เหนือลิขิต??... ประกาศิตฟ้าดิน ??” ตรงนี้ต้องสืบเสาะเจาะมานำเสนอเพื่อพิสูจน์ว่า “ปาฏิหาริย์” บนแผ่นดินไทยนี้ “ยังมีให้ประจักษ์” อยู่เสมอเพราะเหตุ การณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 4 สิงหาคม 2550 นี้เองโดย “นางสำลี สมมิตร” อยู่บ้านเลขที่ 319/1 หมู่ 10 ต.รือ เสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส อายุ 55 ปี มีอาชีพเป็น “แม่บ้าน” ได้เผยถึงเหตุระทึกขวัญที่เกิดขึ้นกับนางว่า “ในวันที่ 4 สิงหาคม 2550 เวลาประมาณ 07.30 น. ได้ไปจ่ายตลาดตามปกติทุกวันที่ “ตลาดนัดสถานีรถไฟรือเสาะ” ขณะเดินอยู่ในตลาดห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 8-10 เมตร ก็ได้ยินเสียงระเบิด (รีโมตคอนโทรล) ที่ซุกอยู่ใต้เบาะ “รถจักรยานยนต์” ที่คนร้ายนำมาจอดไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ดังสนั่นปานฟ้าถล่ม ผลจากระเบิดปรากฏว่ารถจักรยานยนต์คันนั้นขาดออกเป็น “2 ท่อน” ส่วน “นางสำลี” เกิด “อาการช็อก” ทำอะไรไม่ถูก ยังยืนตะลึงอยู่กับที่กระทั่ง “เจ้าหน้าที่” ซึ่งประจำอยู่ “สถานีรถไฟ” ที่ห่างออกไปหลายสิบเมตรได้ยินเสียงระเบิดจึงหันมามองยังต้นเสียงระเบิดได้ตะโกนบอกให้หมอบลง “นางสำลี” จึงกุลีกุจอล้มตัวลงหมอบอย่างตกใจ

ครั้นควันระเบิดจางผู้คนรวมทั้ง “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” จึงกรูกันมาสำรวจความเสียหายปรากฏว่ามีผู้บาดเจ็บ “สาหัสถึง 2 ราย” ซึ่งทั้ง 2 รายนี้ล้วนยืนซื้อของอยู่ติดกับ “นางสำลี” นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บจาก “สะเก็ดระเบิด” อีก 6 คน (รวม 8 คน) เจ้าหน้าที่จึงหามส่งโรงพยาบาลกันวุ่นวายโดยมี “นางสำลี” ติดร่างแหไปด้วยจึงทราบว่า “ตัวเอง” ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใดจะมีเจ็บก็เพียง ตอนทิ้งตัวลงหมอบกับพื้นตามเสียงตะโกนบอกเท่านั้นคือปรากฏ “รอยถลอก” ที่ฝ่ามือและหัวเข่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ชำนาญ “วัตถุระเบิด” จึงทราบว่าระเบิดที่ “คนร้าย” นำมาซุกไว้ใต้เบาะรถจักรยานยนต์แล้วทำการ “กดรีโมตคอนโทรล” ครั้งนี้มีน้ำหนักถึง “10 กิโลกรัม” และมีรัศมีการทำลายล้างถึง “50 เมตร” จากนั้นจึงนำ “นางสำลี” ไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ “อำเภอรือเสาะ” พร้อมสอบสวนถึงช่วงที่เกิดเหตุเนื่องจาก “นางสำลี” เป็นผู้ที่ยืนอยู่ใกล้จุดเกิดระเบิดที่สุด แถมไม่ได้รับบาดเจ็บอีกด้วยและคำถามหนึ่งที่บรรดา “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ทำการถามก็คือมี “ของดี” อะไรจึงรอดจากการบาดเจ็บ “นางสำลี” จึงโชว์ “ของดี” ให้ดูปรากฏว่าเป็น “เหรียญรูปไข่กะไหล่ทองเหลืองอร่าม” โดยด้านหน้าเป็นรูป “หลวงปู่ทวดนั่งสมาธิเต็มองค์” ส่วนด้านหลังเป็นรูป “หลวงพ่อจำเนียนครึ่งองค์” ที่เรียกกันว่า “เหรียญกันภัย (รุ่น 1) สำนักสงฆ์ต้นเลียบ จ.สงขลา” ซึ่งนางสำลีแขวนไว้เพียงองค์เดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้นางสำลีจึงเชื่อมั่นว่าเป็นเพราะบารมีของ “หลวงปู่ทวด” และ “หลวงพ่อจำเนียน” คุ้มครองทำให้แคล้วคลาดจากระเบิดที่เกิดขึ้น

โดยคุณ ปฐมกรรมฐาน (231)  [จ. 07 ธ.ค. 2558 - 19:34 น.] #3702345 (3/3)
อีกรายหนึ่งที่มีประสบการณ์จากเหรียญ “หลวงปู่ทวด” ที่ “หลวงพ่อจำเนียน” เป็นผู้สร้างไว้คือเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 “นายฐิติ ลัมพชวา” อายุ 15 ปี เรียนหนังสืออยู่ “ชั้น ป.4 โรงเรียนวัดบวรนิเวศ” โดยมีบ้านพักอยู่เลขที่ 79/27 ซึ่งเป็นบ้านพักในกรมพลาธิการทหารบก สนามบินน้ำ อ.เมือง จ.นนทบุรี วันนั้นเดินทางไปเรียนหนังสือตามปกติด้วยการ “โดยสารเรือด่วนเจ้าพระยา” ที่ “ท่าน้ำนนทบุรี” เมื่อเรือโดยสารมาถึง “นายฐิติ” ก็ลงเรือเฉกเช่นผู้โดยสารคนอื่น ๆ และตรงไปนั่งยัง “บริเวณท้ายเรือ” ใกล้ห้องเครื่องและขณะเรือเร่งเครื่องลอยลำออกจากท่าปรากฏว่ามี “เรือโดยสาร” อีกลำแล่นสวนทางมาเร็วมากพร้อมพุ่งเข้าชนเรือที่ “นายฐิติ” นั่งอยู่ตรงท้ายเรือแบบประสานงาเป็นผลให้ “นายฐิติ” กระเด็นตกน้ำทันทีซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ “นายฐิติ” ได้เล่าเหตุการณ์ให้เพื่อน ๆ ฟังว่า

“เรือโดยสาร 2 ลำประสานงากันอย่างแรงเศษไม้ของเรือ แตกเป็นชิ้น ๆ กระเด็นใส่ผมเร็วมากตอนนั้นผมตกใจมาก เพราะไม่ได้ระวังตัวจึงกระเด็นลงในแม่น้ำแล้วจมลงไปทันที ระหว่างนั้นผมรู้สึกสำลักน้ำเพราะหายใจไม่ออก ได้แต่ตะเกียกตะกายช่วยตัวเองให้ขึ้นบนพื้นน้ำ ระหว่างนั้นก็เบิ่งตามองขึ้นไปบนผิวน้ำเลยเห็นมีอะไรดำ ๆ ลอยอยู่ ผมจึงใช้ขาถีบตัวทะลึ่งพรวดขึ้นบนผิวน้ำจึงทราบว่าที่เป็นเงาดำนั้นก็คือ “ห่วงยาง” ที่มีผู้โยนให้ตอนผมตกลงไปในน้ำ จากนั้นก็มีคนนำเชือกมาโยนให้และดึงเข้าฝั่งในที่สุด ผมว่ายน้ำไม่เป็นเลย ถ้าตอนนั้นไม่เห็นห่วงยางแล้ว หากผมจมไปครั้งที่สองก็คงสำลักน้ำขาดใจตายแน่ เพราะไม่เห็นมีใครว่ายน้ำมาช่วยเลยผมจึงมั่นใจว่าที่รอดมาได้ก็เพราะบารมี “หลวงปู่ทวด” ที่ผมห้อยคอเพียงองค์เดียวคือ “เหรียญรุ่นที่หลวงตาเนียน” สร้างไว้ที่สำนักสงฆ์ต้นเลียบซึ่งปัจจุบันท่านมรณภาพไปแล้ว”

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www1