(N)
เหรียญรุ่นที่สองของหลวงปู่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2506 คือ อีก 2 ปีถัดต่อมานั้นเอง การสร้างเหรียญครั้งนี้ก็เนื่องด้วย เหรียญรุ่นแรกมีคนไม่ได้จำนวนมาก และมีผู้ประสงค์อยากจะได้อีกจำนวนไม่น้อย จึงได้มีการจัดสร้างขึ้น เป็น 3 แบบ ด้วยกันคือ
เหรียญเสมาเล็ก สีขาว เนื้ออัลปาก้า เหรียญนี้มีจำนวนสร้าง 2,000 เหรียญ ลักษณะเหรียญเป็นเหรียญเสมาขนาดเล็ก ด้านหน้ามีรูปหลวงปู่ครึ่งองค์ หน้าตรงห่มสังฆาฏิ ส่วนบนของขอบเสมามีตัวหนังสือเป็นแถวตรงว่าหลวงพ่อเพิ่ม ด้านหลังที่ส่วนล่างของยันต์มีตัวหนังสือเป็นแถวโค้งตามแนวของเหรียญว่า วัดกลางบางแก้ว
เหรียญเสมาใหญ่รมดำ มีรูปร่างลักษณะเหรียญเหมือนเหรียญรุ่นแรกทุกประการ เพราะว่านำเอาบล็อกเก่าของรุ่นแรกมาสร้างใหม่อีกครั้งหนึ่ง ด้านหลังยังคงเป็นปี พ.ศ. 2504 แต่นำมาสร้างปั๊มในปี 2506 จำนวนสร้าง 1,000 เหรียญ
เหรียญเสมาใหญ่ทองแดง ไม่กะไหล่ทองหรือรมดำ เป็นเนื้อทองแดง มีผิวไปเป็นบล็อกเก่าของเหรียญรุ่นแรก 2504 มาปั๊มเช่นเดียวกัน จำนวนสร้าง 1,000 เหรียญ
สำหรับข้อสังเกต ของเหรียญรุ่น 2506 แบบเสมาใหญ่ซึ่งนำเอาบล็อกเก่าของเหรียญรุ่น
แรกมาปั๊มนี้ จะมีข้อแตกต่างกันคือ ของรุ่นแรกมีเฉพาะกะไหล่ทองเท่านั้น ส่วนรุ่นสองเป็นรมดำ และไม่กะไหล่ทองไม่รมดำเป็นเนื้อทองแดงธรรมดาออกสีแดงแบบมีผิวไฟ นอกจากนี้ยังสังเกตได้โดยเปรียบเทียบกับเหรียญที่ปั๊มครั้งแรกรุ่นแรกได้ โดยพิจารณาจากความหนา รุ่นสองจะหนากว่ารุ่นแรกเล็กน้อย และเมื่อพิจารณาด้วยกล้องจะพบพื้นผิวของเหรียญ รุ่นสองจะมีรอยพรุนไม่เรียบเหมือนรุ่นแรก ตัวหนังสือไม่คมชัดเหมือนรุ่นแรก อักษรบางตัวจะขาดไปบ้าง ส่วนรูปหลวงปู่ด้านหน้าก็เช่นเดียวกัน ความคมชัดจะสู้รุ่นแรกไม่ได้คงจะเนื่องด้วยบล็อกเก่าซึ่งทิ้งเอาไว้ 2 ปีมาแล้ว คงจะมีการเกิดสนิมหรือกัดกร่อนไปบ้าง นอกจากนั้นยังพิจารณาได้จากเส้นแนวตะเข็บบนพื้นเหรียญรุ่นสองจะมีเส้นเล็ก ๆ เป็นแนวขีดอยู่ประปราย ส่วนรุ่นแรกจะไม่มี
ถึงแม้ว่าการสร้างเหรียญรุ่นสอง 2506 นี่จะนำเอาบล็อกเหรียญรุ่นแรกมาปั๊มอีกจนมีหลายคนกังขาว่าจะดูยากลำบากไม่ รู้ว่ารุ่นไหนเป็นรุ่นไหนก็ตาม แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดตามที่ได้กล่าวมาแล้วก็จะทำให้สามารถแยกเหรียญ ทั้งสองรุ่นนี้ได้
เหรียญรุ่นสองทั้งหมดที่สร้างขึ้นสามแบบซึ่งมีจำนวนรวม กันเป็นจำนวน 4,000 เหรียญนี้ หลวงปู่ท่านก็ลงเหล็กจารตัวเฑาะว์ มหาอุดเอาไว้ด้านมุมบนของเหรียญทุกเหรียญแล้วจึงทำการปลุกเสกจนได้ครบไตรมาส จึงได้นำออกมาแจกจ่าย หากจะพูดถึงพุทธคุณแล้วก็คงไม่แตกต่างกันกับเหรียญรุ่นแรก เพราะหลวงปู่ปลุกเสกเช่นเดียวกัน
ประสบการณ์ทางพุทธคุณของเหรียญหลวงปู่เพิ่มรุ่นที่สองที่ มีประสบการณ์มากเช่นกันโดยเฉพาะเหรียญแบบเสมาใหญ่ ทั้งแบบรมดำและทองแดงไม่ดำ จึงทำให้เหรียญซึ่งสร้างจำนวนไม่มากนักหมดไปอย่างรวดเร็วและคงเป็นด้วย เหรียญรุ่นนี้เป็นบล็อกเดียวกับเหรียญรุ่นแรกมีความคล้ายคลึงกัน ผู้ที่แสวงหารุ่นแรกจริง ๆไม่ได้จึงหันมาบูชาเหรียญรุ่นนี้แทนก็อาจจะเป็นไปได้
การสร้างเหรียญและปลุกเสกเหรียญของหลวงปู่ท่านทำอย่าง พิถีพิถัน ผู้เขียนเคยดูท่านหลายครั้งก่อนอื่นท่านจะเอาเหรียญที่ทำมาจากโรงงานใส่บาตร เอาไว้บาตรหนึ่ง แล้วเอาบาตรเปล่ามาวางเคียงคู่กัน จากนั้นท่านจะเอาเหล็กจารมาจาร เฑาะว์มหาอุด ลงบนเหรียญการจารของท่านมิใช่ว่าเพียงแต่จารหรือขีดเขียนลงไปเท่านั้น ขณะจารท่านจะเรียนสูตรภาวนาไปในขณะนั้นด้วย ท่านทำของท่านเช่นนั้นทีละเหรียญ ถึงแม้เหรียญรุ่นสองจะมีจำนวนถึง 4,000 เหรียญ ท่านก็จะทำเช่นนั้นจนครบเรียกว่า 4,000 เที่ยว ผู้เขียนเคยถามท่านว่า วันนี้หลวงปู่ทำไมไม่ลงเหรียญ บางทีท่านก็บอกว่าวันนี้ฤกษ์ไม่ดี ดังนั้นนอกจากท่านจะจารแล้ว ก่อนจารแต่ละวันและเวลาท่านจะต้องกำหนดดูฤกษ์ยามอันเหมาะสมด้วย เหรียญที่ท่านจารแล้ว ท่านจะเอาไปใส่ไว้ในอีกบาตรหนึ่ง ท่านจารของท่านไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อนนานหลายวันกว่าเหรียญในบาตรเต็มจะลงไปในอีกบาตรหนึ่งซึ่งว่าง เปล่าเต็มซึ่งหมายถึงเหรียญเหล่านั้นได้ลงจารหมดแล้ว
หลังจากหลวงปู่ท่านจารครบหมดทุกเหรียญแล้ว ท่านจะให้ลูกศิษย์เอาบาตรไปวางไว้หน้าที่บูชาพระของท่าน แล้วท่านก็จะปลุกเสกไปตลอดไตรมาสในวันและเวลาที่ไม่เหมือนกัน บางวันท่านปลุกเสกเช้า บางวันกลางคืน เรื่องนี้ท่านก็เคยเล่าว่า บางวันฤกษ์ดีการทำของขลังจะได้ผลประสิทธิ์ บางวันฤกษ์ไม่ดีปลุกเสกอะไรก็ไม่ได้ผลจริงจัง ท่านก็ไม่ทำ เรื่องโหราศาสตร์และฤกษ์ยามนี้หลวงปู่มีความชำนิชำนาญเป็นพิเศษ คนที่เคยไปกราบสักการะท่านคงจะทราบดีโดยเฉพาะคนนครชัยศรี สมัยเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ใครจะทำอะไร ตั้งแต่โกนผมไฟ ไปจนถึงแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ มักจะไปขอฤกษ์จากท่าน
ข้าง ๆ หลวงปู่จะมีกระดานชนวนแผ่นใหญ่และแท่งดินสอพองแท่งใหญ่ ท่านมักจะหยิบเอาแท่งดินสอพองมาขีดเขียนบนกระดานชนวนไปมาลงเลขต่าง ๆ สักครู่หนึ่งแล้วบอกฤกษ์ให้แก่ผู้ไปขอฤกษ์บางครั้งท่านก็เอากระดานชนวนขึ้น มาดูแล้วขีดเขียนเพียงนิดหน่อยก็สามารถให้ฤกษ์ได้ บางครั้งท่านก็นั่งนับนิ้วโดยไม่ใช้กระดานชนวนก็มี ผู้เขียนเคยถามท่าน ท่านบอกว่า บางวันฤกษ์ท่านดูเอาไว้แล้ว ช่วงไหนเป็นอย่างไร เมื่อมีคนมาขอก็จะบอกได้ทันที
นอกจากการให้ฤกษ์ดังกล่าว หลวงปู่ยังเป็นนักพยากรณ์ด้วยความแม่นยำเหมือนตาเห็น เรื่องคนเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อมีคนไปหาท่าน ท่านจะถามวันเดือนปี แล้วท่านก็ขีดเขียนบนกระดานชนวนไปมาแล้วก็สามารถพยากรณ์ได้ว่าคนนั้น คนนี้จะหายเมื่อใด หรือรักษาไม่หายจะต้องแก้ไขความเจ็บไข้นั้นอย่างไร เรื่องนี้หลวงปู่ชำนาญมาก
ครั้งหนึ่งมีคนทางท่าตำหนักมาหาหลวงปู่แล้วเล่าให้หลวง ปู่ฟังว่าบิดาของเขาอายุยังไม่มากนัก อยู่ดี ๆ เกิดล้มลงแล้วมีอาการตายตามแขนขามือเท้า ไม่รู้สึกเป็นเหมือนอัมพาต แต่สามารถพูดจาได้ ท่านนั่งฟังคนที่มาเล่า แล้วท่านก็ถามวันเดือนปีเกิดของคนไข้ ลูกชายคนไข้ที่มาเล่าให้ฟังก็บอกว่าจำไม่ได้ จึงขอตัวกลับไปบ้านอีกสักครู่กลับมาบอกท่าน ผู้เขียนขณะนั้นบวชอยู่กับท่านด้วย เห็นท่านเอากระดานชนวนขึ้นมาขีดเขียนด้วยแท่งดินสอพองสักครู่หนึ่งแล้วท่าน ก็พยากรณ์ว่า ลมเพลมพัด เอาน้ำมนต์หลวงปู่เก่าในตุ่มไปกินแล้วอาบแล้วพ่อเธอจะหาย อีก 5 วัน เธอจุดธูปขอเอากับหลวงปู่เก่าท่านเถิด
คำว่าหลวงปู่เก่า ของหลวงปู่เพิ่มที่ท่านกล่าวนั้นหมายถึง หลวงปู่บุญ ท่านเรียกว่าหลวงปู่เก่าเสมอ ๆ คนนั้นก็หายลงไปข้างล่างแล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับขวดเปล่าตรงไปที่หน้าโต๊ะ หมู่บูชา ซึ่งมีตุ่มน้ำมนต์เก่าแก่ สมัยหลวงปู่บุญตั้งอยู่ข้าง ๆ เขาจุดธูปเทียนบูชาพระและขอน้ำมนต์จากหลวงปู่บุญแล้วก็กรอกน้ำมนต์ใส่ขวด กลับไป
หลังจากนั้นอีกไม่นานผู้เขียนจำได้ว่าสักประมาณอาทิตย์ หนึ่งเห็นคนนั้นกลับมาอีก เอาดอกไม้ธูปเทียนและถาดใส่ผลไม้มาถวายหลวงปู่ ด้วยความอยากรู้ของผู้เขียนจึงเข้าไปนั่งฟังอยู่ใกล้ ท่าน เขามารายงานว่าเอาน้ำมนต์ไปให้บิดาอาบ กิน แล้ว พอถึงวันที่ 6 จากวันที่หลวงปู่บอก บิดาของเขาก็มีอาการดีขึ้น ขณะนั้นเขาบอกว่าเริ่มจะเดินได้บ้างเล็กน้อย ขยับแขนขาได้แล้ว หลวงปู่ฟังแล้วท่านก็บอกว่า เมื่อหายแล้วเธอให้พ่อใส่บาตรทำบุญอุทิศไปให้เจ้ากรรมนายเวรเขาเสียนะ
เมื่อคนนั้นกลับไปแล้ว ผู้เขียนเข้าไปถามหลวงปู่ว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะหายได้ภายใน 5 วัน ท่านบอกว่าเกณฑ์อายุคนหากพิจารณาจากโหราศาสตร์ให้ดีแล้วก็อาจจะพยากรณ์ได้ ว่าเขามีเคราะห์อย่างไรบ้าง เป็นเคราะห์ชั่วคราวหรือเคราะห์กรรมที่แก้ไม่ได้ แต่ต้องอาศัยอย่างอื่นประกอบด้วย ผู้เขียนจึงถามท่านว่าอย่างอื่นที่หลวงปู่ว่านั้นหมายถึงอะไร ท่านไม่ตอบได้แต่ยิ้ม ๆ ผู้เขียนก็ถามย้ำท่านอีก ท่านจึงกล่าวว่า รู้เฉพาะตน |